ภายในจัตุรัสกุหลาบของเมืองแคสวิก…
ยามที่จู่ๆ อัลเฟอร์ริสก็ปรากฏกายและปล่อยพลังข่มขวัญระดับสัตว์อสูรชั้นสูงสุด ฝูงชนก็พลันอุทานและกรีดร้องดังระงม ทุกต่างถอยหลังราวกับถูกกระแสน้ำสาดซัด ความตื่นตระหนกและความกลัวของพวกเขาแทบจะจับต้องได้
“สัตว์อสูร!”
“มะ-มังกร!”
“ตายแน่…พวกเราตายแน่…”
“น่ากลัวเหลือเกิน!”
ภายในชั่วพริบตานั้น รอบๆ ‘ม่าน’ ก็ปรากฏพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ แม้พวกเขาจะรู้ดีว่ามันเกิดขึ้นภายในโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโต ปฏิกิริยาที่เกิดจากความกลัวจากใต้จิตสำนึกก็พลันทำงานโดยสัญชาตญาณ ไม่มี ‘เทคนิคพิเศษ’ อะไรที่จะทำงานได้ดีไปกว่ามังกรตัวจริงอีกแล้ว!
ภายในเมืองโคคัส ซัลลีแวร์ แพฟอส และซามาราต่างเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันนี้ขึ้น บางคนถอยหลังด้วยความกลัว บ้างก็นิ่งงัน บ้างก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไป
มนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ห่างไกลนักแทบไม่เคยเห็นมังกรมานับแต่ช่วงที่จักรวรรดิเวทมนตร์กำลังรุ่งโรจน์ แต่เพราะมันคือตัวร้ายตลอดกาลในเรื่องเล่าทั้งหลาย ความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อมังกรจึงไม่เคยเลือนหายไปกับกาลเวลา นอกจากนี้ ‘มนุษย์และธรรมชาติ’ รายการวิทยุของช่อง ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ก็เคยแนะนำสัตว์อสูรในตำนานมาแล้วหลายครั้ง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่บานัสกับอาลีจะรู้จักมังกร
ขณะกลั้นหายใจอยู่นั้น พวกเขาพบว่าขาของตนกำลังสั่น แม้ว่าจะอยู่ไหล แต่มังกรบนม่านก็ยังทำให้บานัสและอาลีหวาดกลัวอยู่ดี พวกเขาอาจจะหมุนกายวิ่งหนีไปแล้วหากมิใช่ว่าพวกเขาตื่นตะลึงเกินกว่าจะขยับได้
ทันใดนั้น อาลีก็ได้สติ ‘นางอยู่ในโรงละคร ใกล้กับมังกรตนนั้น!’
‘ทำอย่างไรดี ข้าจะทำอย่างไรดี’
ในตอนที่ความกลัวเกือบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่งนั้น เจ้าหญิงอะแมนซา นักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่บนเวที ก็พูดเป็นท่วงทำนองซึ่งแฝงด้วยเสน่ห์ของการร้องเพลง “สมบัติล้ำค่าที่สุดของข้าก็คือความกล้าหาญและศรัทธาแห่งอัศวินของข้า มิมีผู้ใดจักฉกฉวยไปได้ เจ้ามังกรชั่วร้าย จงสังหารข้า หรือดับดิ้นด้วยน้ำมือข้า มิมีตัวเลือกอื่นใด!”
‘หา?’
ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่กันแน่ จึงรู้สึกสับสน ‘ท่านหญิง เจ้าเป็นนักแสดงโอเปร่านะ มิใช่อัศวินจริงๆ! การสังหารมังกรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้เชี่ยวชาญ” เถิด!’
‘หือ หรือว่าจะเป็น…’ ในที่สุด บานัสและอาลีก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อเจ้าหญิงเริ่มร้อง วงออเคสตราที่ ‘ไม่ได้รับผลกระทบ’ ก็เริ่มบรรเลง ท่วงทำนองเร็วรี่แห่งความกระสับกระส่ายชวนอึดอัดและสะเทือนอารมณ์ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับนาง!
นักร้องนักแสดงที่สวมบทเป็นเจ้าหญิง ‘ถลึงตา’ ใส่เจ้ามังกรเบื้องหน้าขณะที่หัวใจเต้นระรัว เพราะพวกนางซ้อมบทมาก่อนหน้านี้และเจ้ามังกรก็จงใจยับยั้งพลัง นางจึงสามารถควบคุมร่างกายกับเสียงและแสดงต่อไปได้
นอกจากนี้ ความกลัวจากจิตใต้สำนึกก็ส่งผลให้ร่างกายนางหลั่งอะดรีนาลีนและทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเองแสดงได้ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บรรดาชนชั้นสูงที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างล่างนั่นเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าความรู้สึกของนางเป็นความจริง
วงออเคสตราก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเจ้ามังกรเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถทำการแสดงต่อไปได้
เมื่อได้ยินบทร้องเดี่ยวแสนตื่นเต้นเร้าใจของเจ้าหญิง บานัสและอาลีก็ได้สติและหายจากผลกระทบของพลังมังกร
“นี่พวกเขาเชิญมังกรมาเล่นเป็นมังกรชั่วร้ายโลภมากอย่างนั้นหรือ” บานัสรู้สึกว่าคำถามของเขาช่างไม่เข้าท่า แต่ตอนนี้เขาตื่นเต้นเกินกว่าจะครุ่นคิดได้อย่างสงบนิ่งเพราะความหวาดกลัวในจิตใต้สำนึก
ความกังวลของเขาเลือนหายไปแล้ว อาลีจึงมองสังเกตอัลเฟอร์ริสให้ถี่ถ้วน อย่างไรเสีย โอกาสที่จะได้เห็นมังกรตัวจริงก็หาได้ยากนัก เรื่องราวท่านผู้บัญชาอะตอมนั่งมังกรมาถึงงานแต่งงานของท่านกับองค์ราชินีนั้นกลายเป็นบทเพลงที่นักกวีขับลำนำร้องกันไปทั่ว ซึ่งแต่ละคนก็อ้างตัวว่าได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องราวของตน
“บางที…มันอาจจะเป็นภาพมายาของพวกนักเวทหรือเปล่า” ขณะจดจ้องลำคอหนาและเกล็ดสีกึ่งโปร่งแสงของอัลเฟอร์ริส เขาก็ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ผู้ชมรอบๆ นั้นตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น “มันไม่มีทางเป็นภาพมายาแน่นอน องค์ราชินี เจ้าชายอีวานส์ และนักเวทท่านอื่นที่อยู่บนกล่องที่นั่งส่วนตัวต่างก็เป็นผู้มีพลังชั้นตำนาน พวกท่านจะมองภาพมายาไม่ออกได้อย่างไรกันเล่า ผลที่ได้คงจะเป็นการที่พวกท่านเห็น ‘เจ้าหญิง’ ร้องเพลงอยู่ตามลำพัง ซึ่งนั่นคงจะเป็นการไม่ให้เกียรติพวกท่านนัก ดังนั้น มันจึงต้องเป็นมังกรตัวจรงแน่ๆ…”
ชายผู้ตอบเองก็ได้รับผลกระทบจากการหลั่งอะดรีนาลีนและแทบไม่สามารถหยุดตัวเองได้เมื่อเขาเริ่มพูด
“ก็จริง โอ้ มังกรตัวเป็นๆ…”
“ทางอาณาจักรและสภาเวทมนตร์ปล่อยให้มังกรได้เป็นนักแสดงโอเปร่า!”
ท่ามกลางความอัศจรรย์ใจของพวกเขา อัลเฟอร์ริสก็ไดตอบรับคำท้าทายของเจ้าหญิง เขาแอ่นตัวไปด้านหลังพลางชูกรงเล็บขึ้น ก่อนจะทุบอกพร้อมกับ ‘คำราม’ ด้วยความเดือดดาล
“โฮก!”
‘ว้าว!’ ผู้ชมที่มีพลังต่ำกว่าระดับสูงต่างถูก ‘เสียงคำถามข่มขวัญ’ ของเจ้ามังกรสะกดข่มจนต้องก้าวถอยหลังอีกครา
“น่ากลัวยิ่งนัก!” บานัสร้องกล่าว ขณะกำหมัดแน่น แต่น้ำเสียงเขากลับฟังดูตื่นเต้นมากกว่าหวาดกลัว
“มันน่ากลัวมากจริงๆ…” เจน ลูกสาวของดยุกเจมส์ ยกมือขึ้นลูบอกตนเองราวกับว่านางเพิ่งจะตกใจกลัว แต่ดวงตาของนางกลับจดจ้องไปทางเวทีด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งส่วนหนึ่งแฝงด้วยความกลัว
ภายในจัตุรัสทุกแห่งที่มีการถ่ายทอดสด ผูชมต่างมีปฏิกิริยาเหมือนกันไม่มากก็น้อย พวกเขาไม่เคยรู้จักโอเปร่าประเภทนี้มาก่อน มันทั้งมหัศจรรย์และน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง!
อาลีกลืนน้ำลายอึก “‘เจ้าหญิง’ แข็งแกร่งมากจริงๆ นางยังคงยืนอยูต่อหน้ามังกร ดูคนอื่นที่อยู่รอบๆ นางสิ…”
“ก็นางคือวัลคีรี…” บานัสมองไปทาง ‘ม่าน’ โดยที่ตาไม่กระพริบและได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าวัลคีรีหมายถึงอะไร
ภายในที่นั่งส่วนตัว นาตาชาหันไปทางลูเซียนด้วยความสับสน “เหตุใดอัลเฟอร์ริสจึงแสดงและคำรามได้น่าขันเช่นนั้นกันเล่า เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ตอนที่ออกแบบการแสดงน่ะ”
เฟอร์นันโดเองก็ถลึงตามองลูเซียนอยู่เช่นกัน นี่ลูกศิษย์ของเขาปล่อยให้อัลเฟอร์ริสแสดงและคำรามเช่นนั้นได้อย่างไร เขาคือมังกร ไม่ใช่สัตว์อสูรดาษดื่นทั่วไป แม้ว่าเจ้ามังกรน้อยจะเหมาะกับท่าทางนั้นก็ตามที…
“ข้าออกแบบท่าทางออกมาหลายแบบอยู่นะ แต่อัลเฟอร์ริสกลับเลือกท่านี้ด้วยตัวเขาเอง เขาเชื่อว่ามันนำเสนอ ‘ความน่าดึงดูด’ ในตัวเขาได้ดีที่สุด” ลูเซียนหัวเราะขัน
นาตาชาเลิกคิ้วขึ้นพลางยกมือขึ้นเกาคาง “ข้ารู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างจากเสียงหัวเราะของเจ้านะ ท่าทางอื่นๆ คงจะแย่ยิ่งกว่าแบบนี้เป็นแน่ หลังจากเปรียบเทียบพวกมันแล้ว อัลเฟอร์ริสย่อมรู้สึกว่าท่าทางนี้ดูดีที่สุด”
ลูเซียนแย้มยิ้มกว้าง “ผลลัพธ์ของการเลือกนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบตัวเลือกทั้งหลายนี่นะ ฮะๆ แบบนี้ไม่ดีหรือ มันไม่เหมาะกับอัลเฟอร์ริสเช่นนั้นรึ”
“มันเหมาะกับเขามากเลยล่ะ!” นาตาชาเองก็หัวเราะออกมา
บนเวที การต่อสู่ครั้งสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น และเหล่าอัศวินของเจ้าหญิงก็หายจากอาการตื่นกลัวแล้ว พวกเขามารวมตัวอยู่รอบกายนางและตั้งท่าจะพุ่งเข้าโจมตีพร้อมๆ กัน
เจ้าหญิงเริ่มร้องเพลง ใบหน้าของนางดูทั้งมุ่งมั่นและอ่อนโยน บทเพลงแสนหวานตราตรึงใจดังเข้าไปในใจทุกผู้คนพร้อมกับเสียงดนตรีจากวงออเคสตรา
คนส่วนใหญ่จะนึกถึงสิ่งสวยงามในอดีตเมื่อพวกเขากำลังจะทำบางสิ่งบางอย่างในช่วงเวลาสำคัญ และตอนที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย สิ่งที่พวกเขาจะนึกถึงย่อมเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขาจดจำได้ดี และเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าหญิงนึกถึงเจ้าชายและความรักแสนหวานระคนขมขื่นของทั้งสอง
ขณะที่นางขับร้องนั้น คนส่วนใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกันหรือตั้งตอคอยที่จะได้รักใครสักคนต่างก็ตกอยู่ในมนตร์เสน่ห์ของบทเพลง อาลีมองไปที่ม่านด้วยดวงตาพร่าเลือน ขณะที่เขานึกภาพหญิงสาวในดวงใจและคิดถึงหุบเหวระหว่างพวกเขา เขารู้สึกหวานและระทมทุกข์อยู่ในอกครู่หนึ่ง
หลังจากที่บทเพลงนั้นจบลง ยังมีอีกบทเพลงหนึ่ง ครั้งนี้เป็นการร้องประสานของเหล่าอัศวินที่ฟังดูทั้งอบอุ่นและจะคงอยู่ชั่วกาลนาน มันทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ปกป้อง’
ในตอนท้าย เจ้าหญิงขับร้องเสียงดังอีกครั้งและทำลายความอบอุ่นนั้นลง ในท่วงทำนองแสนไพเราะชวนลืมหายใจนั้นแฝงไว้ซึ่งความเด็ดขาดแน่วแน่ พวกเขาต่างมุ่งมั่นที่จะสังหารเจ้ามังกร มิเช่นนั้นก็ยินยอมเสียชีวิตเพราะมัน
มังกรตัวเป็นๆ อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่เจ้าหญิงและเหล่าอัศวินยืนหยัดเคียงข้างกันเพื่อปกป้องมาตุภูมิ เมื่อได้ยินเสียงเพลงจากวงออเคสตราที่กลืนเข้ากับบรรยากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ชมต่างก็พุ่งความเกลียดชังไปที่ศัตรูตัวเดียวกัน พวกเขาต่างมีความรู้สึกอันสูงส่งในการเสียสละตนเพื่อคนที่รัก
ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้พวกเขารู้สึกตราตรึงใจและทำให้อาลีกำหมัดแน่น ‘จะกลัวอะไรหากว่าความตายยังไม่อาจทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้ แม้แต่ระยะห่างที่กว้างไกลที่สุดก็สามารถปิดมันได้ตราบใดที่คนผู้นั้นเริ่มก้าวออกไป!’
หวูด!
เสียงแตรเขาสัตว์สั่งโจมตีดังกึกก้องขึ้นอีกครา แล้วท่วงทำนองก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและเร่งเร้า ซึ่งทำให้เหล่าชนชั้นสูงและสามัญชนผู้ที่ไม่สามารถกระตุ้นพลังโลหิตได้ต้องจับสิ่งที่อยู่รอบกายตนเองแน่น ทุกคนต่างรู้สึกถึงความกล้าหาญและความมุ่นมั่นในการโจมตีที่แท้จริง
ดนตรีประเภทนี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่มีทางนึกเสียดาย ท่วงทำนองแห่งการพุ่งรบดังก้องสะท้อนอยู่ในใจพวกเขา ในทุกๆ องค์ พวกเขาจะได้ค้นพบบทเพลงที่คลาสสิกยิ่งกว่าบทเพลงก่อนหน้า แต่ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่า ‘พุ่งรบ’ คือส่วนที่คลาสสิกและเป็นจุดศูนย์กลางที่สุดของโอเปร่าเรื่องนี้!
การต่อสู้อันดุเดือดเริ่มต้นขึ้น และท่ามกลางเสียงแตรเขาสัตว์สั่งโจมตีนั้น อัศวินเริ่มร่วงหล่นไปทีละคนๆ และคนที่อยู่เคียงข้างเจ้าหญิงก็เหลือน้อยลงเต็มที
ท้ายที่สุด เจ้าหญิงก็แทงดาบทะลุหัวใจเจ้ามังกรได้ โดยต้องแลกกับแขนข้างหนึ่ง
เจ้าหญิงถือดาบในมือแน่นขณะมองไปรอบๆ แล้วก็พบว่าสหายทุกคนได้ล้มลงไปกองกับพื้นและไม่หายใจแล้ว
ท่วงทำนองเพลงพลันเปลี่ยนเป็นทุกข์ระทมและโหยหา
เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่นางจะอ้าปาก เสียงเพลงที่ฟังดูคล้ายกับดังมาจากก้นบึ้งของดวงวิญญาณจึงดังก้องกังวาลไปทั่ว
“วีรบุรุษไม่มีทางตายจาก
“เพียงเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน”
บานัสตัวสั่นสะท้านและสัมผัสได้ว่าอาการนี้เกิดจากดวงวิญญาณในร่างกายเขา ท่วงทำนองแสนเศร้าสร้อยทว่าเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นเสียดแทงเข้าไปในดวงวิญญาณของเขาอย่างจัง
เขาไม้อาจอธิบายความรู้สึกนี้ได้ เพียงรู้ว่าบทเพลงนี้ทำให้เขางงงวยมากเสียจนลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายและพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังโลกที่บทเพลงนี้สร้างขึ้น
…
“จงฝังกระดูกข้า แต่มิต้องตั้งอนุสาวรีย์อันใด…
“…เพราะเมืองอันรุ่งเรืองนี้จักเป็นอนุสาวรีย์ที่ดีที่สุดสำหรับเรา!”
หยาดน้ำตารินไหลจากหางตาของผู้ชมส่วนใหญ่ เจ้าหญิงกระชากดาบยาวของนางออกมาก่อนจะโซเซเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงภาพแผ่นหลังเหยียดตรงแสดงความแน่วแน่
ม่านค่อยๆ ร่วงลงมา
“นี่คือโอเปร่าที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาเลย ไม่มีอะไรจะยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว!” หลังจากนั้นครู่ใหญ่ โอลิเวอร์ก็เข้ามาแสดงความยินดีกับลูเซียนด้วยความตื่นเต้น
นาตาชากระพริบตา “ข้าก็คิดเช่นนั้น ลูเซียน ขอบคุณสำหรับของขวัญนะ”
“ว่าแต่ บทร้องเดี่ยวบทสุดท้ายมีชื่อว่าอะไรงั้นหรือ” โอลิเวอร์ถามอย่างเร่งร้อนใจ
ลูเซียนตอบกลับยิ้มๆ “อนุสาวรีย์วีรบุรุษขอรับ”
จวบจนถึงตอนนี้เอง ผู้ชมส่วนใหญ่จึงได้สติกลับมาจริงๆ เสียงปรบมือด้วยความกระตือรือร้นดังเกรียวกราวไปทั่วโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโต จัตุรัสในเมืองน้อยใหญ่แห่งอาณาจักรโฮล์ม และเมืองหลักๆ ของอีกสามอาณาจักรบนฝั่งตะวันออกของช่องแคบสตอร์มและตามแนวชายฝั่งทางตอนเหนือ
ภายในห้องสมุดบนชั้นสูงสุดของหอคอยเวทมนตร์แห่งราชสำนักโฮล์ม แฮทธาเวย์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของนาง เบื้องหน้านางคือจอภาพจากน้ำที่ฉายภาพภายในโรงละครหลวงแห่งราชสำนักเรนทาโต
เสียงผิวปากของนางดังก้องไปทั่วห้อง แต่เสียงร้องเพลงของนางฟังดูเพี้ยนมิใช่น้อย…
…………………………………