ณ เมืองซาน อีวานส์เบิร์ก…
เมื่อดาวตกพุ่งผ่านท้องฟ้าและปะทะเมืองอัลลินราวกับพายุ เบลคอฟสกี พระสังฆราชแห่งคริสตจักรเหนือ ซึ่งอยู่ภายในมหาวิหาร สัมผัสอะไรได้บางอย่าง แม้เขาจะไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม เขาแหงนมองเพดานซึ่งมีลวดลายนูนต่ำงดงาม แล้วก็พูดกับตัวเองด้วยอารามตกใจ “ไวเค็นลงมือแล้วรึ? พวกนั่นวางแผนยึดดาวเทียมสินะ?”
เขากับพระคาร์ดินัลหลวงแห่งคริสตจักรเหนือวางแผนไว้ว่าจะ “อ้างสิทธิ์” ยึดเอาดาวเทียมมาสักดวง ตอนที่คริสตจักรใต้ไล่ตามจับดาวเทียม พวกเขาวางแผนถึงขั้นที่จะแอบสนับสนุนอยู่ลับๆ หากคริสตจักรใต้ชักช้า และจะช่วยให้ดาวเทียมมีศักยภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง เขายังคงนิ่งสนิทและไม่ได้เรียกประชุมเหล่านักบุญและคาร์ดินัลหลวงอื่นๆ ด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะคริสตจักรทางใต้ดำเนินการเร็วเกินกว่าที่สภาเวทมนตร์จะตอบโต้ได้ทัน จริงๆ แล้ว พวกเขาคาดว่าจะไม่มีการต่อสู้กันครั้งใหญ่ หากพวกเขาจะกระโดดเข้าสู่วงโคจรผ่านวงเวทเคลื่อนย้ายที่ติดตั้งไว้ในตอนนี้เลย พวกเขาจะไม่เห็นอะไรนอกจากด้านหลังของพระคาร์ดินัลหลวงแห่งคริสตจักรฝ่ายใต้ที่กำลังล่าถอย และต้องเผชิญหน้ากับกำลังเสริมจากสภาเวทมนตร์ที่มาถึงล่าช้า และแบกรับความเคียดแค้นของสภาเวทมนตร์แทนคริสตจักรใต้!
ใครจะเคยยอมรับผิดแทนคนอื่นโดยไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย?
“สภาเวทมนตร์คงไม่เฉื่อยช้าขนาดนั้นหรอกนะ? ถึงไวเค็นจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่อาจออกห่างจากเมืองแลนซ์นานๆ หรือเขาจะจัดการพวกชั้นตำนานสูงสุดกับมหาจอมเวทมากมายได้อย่างไร?” เบลคอฟสกีขมวดคิ้ว ขณะที่รู้สึกถึงความผิดปกติของเรื่องนี้
ในสถานการณ์ปกติ ไวเค็นน่าจะโจมตีอัลลิน เพื่อขัดขวางพวกชั้นตำนานสูงสุดและกับมหาจอมเวทส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากเขาไม่อาจสกัดนักเวททั้งหมดได้ จอมเวทที่เหลือจะนำนักเวทชั้นตำนานคนอื่นเข้าสู่วงโคจร และต่อสู้กับคาร์ดินัลหลวงอย่างเมลแม็กซ์ แม้จะหยุดคริสตจักรใต้ไม่ให้ยึดดาวเทียมไปไม่ได้ เพราะเหล่านักเวทถูกถ่วงเวลาไว้ แต่การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่คริสตจักรเหนือตั้งตารอจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในเหตุการณ์จริง ท้องฟ้าในตอนนี้กลับเงียบสงบ! แล้วมหาจอมเวทของสภาเวทมนตร์ไปอยู่ที่ไหนกัน?
หากไม่มีการนำทางของมหาจอมเวท ก็เป็นไปไม่ได้ที่นักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ จะมาถึงวงโคจรผ่านภาพสะท้อน เพราะนั่นจะทำให้มีพลังด้อยกว่าเมลแม็กซ์ถึงสองขั้นและจะถูกบดขยี้เอาง่ายๆ ถ้าเมลแม็กซ์มี “กางเขนชำระล้าง” อยู่ พวกนั้นอาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา!
เขาใช้พลังพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์ในทันที ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ไม่มีใครพยายามแทรกแซง หรือปกปิดวิถีแห่งโชคชะตา เบลคอฟสกีก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เจตจำนงแห่งอเวจีย่างกรายมาถึงดินแดนทางเหนือโดยไม่มีสัญญาณเตือน!
“เขาร่วมมือกับไวเค็นรึ?” เบลคอฟสกีรู้สึกขำราวกับได้เห็นนิมิตเตือนความตายของตัวเอง เขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขารู้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะร่วมมือกับเจตจำนงแห่งอเวจีได้ ซึ่งก็คือการประกอบพิธีกรรมอัญเชิญ และเปิดทางไม่ให้มีอุปสรรคกั้น และหากพิธีกรรมทำขึ้นใกล้ศัตรูที่ต้องจัดการ เจตจำนงแห่งอเวจีคงไม่ลังเลใจที่จะสังหารพวกเขา
ดังนั้น เบลคอฟสกีค่อนข้างจะเชื่อว่าไวเค็นจะใช้ประโยชน์จากความไร้สมองของเจตจำนงแห่งอเวจี แต่ไวเค็นอัญเชิญเขามาด้วยวิธีไหนกันแน่? การปล่อยให้มนุษย์ครึ่งเทพที่ไม่ได้อยู่ในโลกหลักเข้ามามีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีวี่แววก่อนเหตุเกิด และไม่มีการสร้างโลกปลอมอย่าง “วิมานบนดิน” บนพื้นโลก…
เบลคอฟสกีพิจารณาแนวทางของไวเค็น เผื่อเขาต้องทำแบบเดียวกันนี้ในอนาคต ทันใดนั้น หัวใจแห่งศรัทธาของเขาก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เขาหายวับไปโผล่ที่หน้าต่างและมองขึ้นไปที่ท้องฟ้า
ณ เวลาบ่ายอันมืดมนของฤดูหนาว มีแสงระยิบระยับที่ดูเหมือนสว่างวาบสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
คนอื่นอาจไม่มีใครสนใจ แต่เบลคอฟสกี ในฐานะผู้มีพลังชั้นตำนานที่แข็งแกร่งที่สุด ก็มองเห็นปรากฏการณ์นั้นได้ไม่ยาก เขาหรี่ตาและพูดขึ้น “ดาวเทียมระเบิดแล้วรึ?
“พลังระเบิดยังทรงพลังเทียบเท่าพลังชั้นตำนาน!”
“พวกนอกรีตคริสตจักรใต้ไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ล้างเวทมนตร์ก่อน? พวกนั้นไม่น่าโง่ขนาดนี้?”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่พวกตนยังไม่ลงมือในตอนนี้ มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ความพยายามจะเป็นศูนย์ แต่เจตนาของพวกเขาจะถูกเปิดเผย และพาลทำให้สภาเวทมนตร์โกรธแค้นอีกด้วย
แม้ว่าผลประโยชน์เรื่องอื่นยังคงร่วมมือกันเหมือนเดิม แต่ก็เป็นไปได้ที่สภาเวทมนตร์จะหมด “ความปลาบปลื้ม” เข้าสักวัน
……
บนวงโคจรที่ว่างเปล่า นักบุญหญิงเคธี เทวทูตวายุแอสทีรา และคนอื่นๆ ที่คอยระวังอยู่ห่างๆ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของดาวเทียม เมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนมหาศาลมามุ่งมาทางพวกตน พายุพลังงานที่พวยพุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“บ้าชะมัด!”
“เป็นไปได้ยังไง?”
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกกระตุ้น ขณะที่ต้องเขาอุทานกับตัวเอง ก่อนที่ทั้งหมดจะจมหายไปกับพายุพลังงาน
ตามหลักแล้ว เครื่องปฏิกรณ์ฟิชชันของเฟอร์นันโดและแฮทธาเวย์ใช้วิศวกรรมย้อนกลับจาก “เวทฟิชชันปรมาณู” และการศึกษาเรื่องปฏิกิริยาฟิชชัน ทั้งสองเข้าใจบทบาทของนิวตรอนเพียงผิวเผิน และยังห่างไกลจากการใช้งานให้เสถียร ตามที่ลูเซียนบอก แกนกลางของเครื่องปฏิกรณ์ฟิชชันของพวกเขาก็คือระเบิดปรมาณู ซึ่งพลังงานถูกเวทมนตร์ค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา เพราะฉะนั้นถึงเกิดอุบัติเหตุระเบิดตลอดเวลา และสร้างระเบิดพลังชั้นตำนานขึ้นมา
เมื่อกางเขนชำระล้างกำจัดวงเวทย์ภายนอกและหยุดเวทมนตร์จากการปิดกั้นปฏิกิริยา “เครื่องปฏิกรณ์ที่ล้มเหลว” ภายในดาวเทียมก็เดินเครื่อง ในขณะนั้น พลังชำระล้างยังแผ่ไปไม่ถึงแกนกลางและไม่อาจกำจัดวงเวทภายในเครื่องปฏิกรณ์ได้
ตอนนั้นเอง ปฏิกิริยาฟิชชันเริ่มขึ้น มันเกิดขึ้นตามหลักธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่สามารถยับยั้งได้ ในทางกลับกัน วงเวทที่ยับยั้งไม่ได้เป็นตัวช่วยปลดปล่อยพลังงาน จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ ดังนั้น การระเบิดหลังจากสูญเสียการควบคุมจึงรุนแรงและทรงพลังมาก!
แสงสุกสกาวแผ่นไปทั่วทุกสิ่งรอบตัวด้วยพลังงานที่ท่วมท้น ใจกลางดาวเทียมระเหยอย่างสมบูรณ์ พื้นที่โดยรอบจึงถูกเล่นงานจาก “คำสาป” ที่ซับซ้อนที่สุด
เมื่อแสงสว่างมืดลง เมลแม็กซ์ ฟิลิป และคาร์ดินัลหลวงคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บางคนถูกหุ้มด้วยพลังอาณาจักรแห่งพรศักดิ์สิทธิ์ทั้งตัว บางคนก็มีปีกสีขาวหกปีกป้องกันด้านหลังไว้
เมลแม็กซ์ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือกำดาบยาว “ชำระแค้นศักดิ์สิทธิ์” และลบล้างคำสาปที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ภายในแสง
“โชคดีที่มันไม่ใช่เวทเปลวไฟนิรันดร์…” เขาพูดกับฟิลิปและคนอื่นๆ ด้วยเสียงต่ำ ยากที่จะบอกว่าเขารู้สึกอย่างไร “ระวังคำสาป อย่าประมาท แม้จะดูไม่อันตราย แต่ผลอาจถึงตาย”
แม้ว่า “ฟิชชันปรมาณู” สามารถมีพลังถึงชั้นตำนานระดับสาม หากผู้ร่ายเวทเก่งและมีอุปกรณ์ดีพอ แต่การระเบิดก่อนหน้านี้เป็นเพียงพลังชั้นจำนานระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากดาวเทียมรองรับวงเวทและอุปกรณ์ได้จำกัด การระเบิดทำอันตรายต่อเมลแม็กซ์ อัศวินชั้นตำนานสูงสุด ไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเมลแม็กซ์ไม่กลัว ถ้านั่นเป็น “เวทเวทเปลวไฟนิรันดร์” ในการระเบิดครั้งนี้ เขาคงบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งฟื้นตัวมา และอาจเกิดอาการที่ไม่สามารถรักษาได้เนื่องจากการบาดเจ็บติดต่อกัน
ด้านหลังของเขา ฟิลิปมีผมที่ยุ่งเหยิงและดูค่อนข้างหงุดหงิด ถ้าเมลแม็กซ์ไม่ขวางไว้ เขาอาจเจ็บหนัก เขาพูดด้วยความเกรี้ยวกราดและไม่ยอมรับ “ทำไมวงเวทจึงระเบิดเอง พอถูกกางเขนชำระล้างกำจัดเวทมนตร์?”
เขาคิดไม่ออกจริงๆ!
หากพวกเขาไม่ได้กำจัดเวทมนตร์ด้วยกางเขนชำระล้างก่อน คงต้องใช้เวลานานในการสกัดวงเวทรอบนอกของดาวเทียมและลากดาวเทียมกลับไป และโอกาสเผชิญหน้ากับนักเวทชั้นตำนานก็ยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอกับสถานการณ์ที่เหลือเชื่อเช่นนี้ หลังจากที่ใช้กางเขนชำระล้าง!
“บางที เวทมนตร์ชั้นตำนานที่ร่ายไว้ถูกปิดผนึกไว้ข้างใน พอเจ้าเปิดผนึกมัน มันจึงระเบิดออกมา” เมลแม็กซ์คาดเดาจากประสบการณ์ของเขา
“เป็นไปไม่ได้ เรากำลังพูดถึงเวทมนตร์ชั้นตำนาน ดาวเทียมไม่ใช่อุปกรณ์ชั้นตำนาน แล้วถ้าเราใช้พลังชำระล้างแล้ว ไม่ว่าจะไปกระตุ้นเวทมนตร์หรือไม่ เวทมนตร์ชั้นตำนานทั้งหมดน่าจะถูกล้างออกไป” ฟิลิปส่ายหัวด้วยความสับสนและความกลัว
“หยุด!” ในช่องทางการสื่อสารที่คล้ายกับกระแสจิต นักบุญเคธีพูดขึ้นเสียงเคร่งขรึมว่า “ไม่ต้องกังวลว่าทำไมมันเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะทำอย่างไรต่อไป ท่านจะยึดดาวเทียมดวงอื่นใกล้ๆ หรือเราควรล่าถอยกลับไป? เรามีเวลาไม่มาก ข้าไม่อยากสู้กับมหาจอมเวท!”
พวกเขาเลือกดาวเทียมดวงนี้เพราะมีดาวเทียมอีกดวงลอยอยู่ไม่ไกล
ฟิลิปสงบลง เขาทำสีหน้าบูดบึ้งอยู่สักพักก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “กลับกันก่อนเถอะ เวลาที่ถ่วงสภาเวทมนตร์ไว้หมดแล้ว เว้นแต่พระคุณเจ้าจะอยากถ่วงเวลาไว่ต่อ แต่นั่นก็จะเปิดโอกาสให้ดวงจันทร์สีเงินและเจ้าแห่งนรกโจมตีพระคุณเจ้าได้ หากพระคุณเจ้าได้รับบาดเจ็บหนักเพราะเหตุนี้ เราจะตกที่นั่งลำบาก ราชาทูตสวรรค์ก็ยังไม่ตอบเราในตอนนี้”
เห็นได้ชัดว่าโป๊บสำคัญกว่าดาวเทียม!
ความเกรี้ยวกราดและความโกรธครอบงำพระคาร์ดินัลหลวงคนนี้ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ปฏิบัติการล้มเหลว เมื่อแผนถ่วงเวลาและช่องว่างเวลาถูกทำลาย เว้นแต่พวกเขาเต็มใจที่จะเปลี่ยนปฏิบัติการชั่วคราวให้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
มีแสงสีงาช้างระยิบระยับ และพระคาร์ดินัลหลวงก็หายตัวไปจากวงโคจรรวดเร็วไม่ต่างจากตอนที่ปรากฏตัว แต่กลับไปพร้อมกับความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากยิ่งกว่าเดิม
บนดาวเทียมอีกดวงที่อยู่ไม่ไกลออกไป เส้นสีเงินเปล่งประกายและสร้างวงเวทรูปร่างประหลาด ซึ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบพร่ามัว ราวกับเชื่อมต่อกับโลกอื่นๆ โลกบางใบมีพายุรุนแรง และบางใบก็มีธรรมชาติที่เงียบสงบ
ด้วยผ่านวงเวทดังกล่าว ดักลาส เฟอร์นันโด และคนอื่นๆ มาถึงพร้อมกับภาพสะท้อน แล้วก็เชื่อมต่อกับมิติพิเศษของตน พวกเขาเปลี่ยนภาพสะท้อนให้เป็นกายเนื้อจริงๆ ของพวกเขา
“พวกนั้นไม่ได้มาที่นี่ วิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว” เมื่อเห็นว่าดาวเทียมดวงนี้เงียบสงบเป็นปกติ เฟอร์นันโดจึงไม่ลังเลที่จะเยาะเย้ยศัตรู
ดักลาสยิ้ม “พวกมันไม่โดนปีศาจแห่งความโลภครอบงำ น่าเสียดายที่พวกมันสรุปได้ก่อนว่าที่นี่อันตราย ไม่อย่างนั้น อย่างน้อย พวกมันสักคนต้องตาย”
“ข้า คนหนึ่งล่ะ ที่อยากให้พวกมันมา เราจะปล่อยให้มัน ‘ปล้น’ ซากดาวเทียม หลังจากปะทะครั้งใหญ่” ลูเซียนพูดขึ้นเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ทำไม?” ไม่มีทางที่เฮลเลนจะยังหมกมุ่นกับการศึกษาอาร์คานาและเวทมนตร์ในตอนนี้ นางใส่ใจกับคำพูดของลูเซียน
………………………………….