ในเดือนแห่งการเริ่มต้น (มกราคม) อาณาจักรโฮล์มที่อยู่ใกล้กับดินแดนทางตอนเหนือยังคงอากาศหนาวเหน็บ เกล็ดหิมะปลิวว่อน ขณะที่สายลมโบกพัดรุนแรงราวกับใบมีดคมกริบ
แต่ภายในหอคอยเวทมนตร์อัลลินสาขาสหพันธ์บทเพลงจันทรากลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทำให้นักเวททุกคนที่เดินเข้ามารู้สึกสุขสบายจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้ว่าพวกเขาจะมีเวทมนตร์ป้องกันตัวเอง แต่การถูกสายลมพัดพาใส่ก็ยังไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีที่สุดอยู่ดี
“ไง จูลี่ สวัสดีปีใหม่ ‘อาร์คานา’ ของวันนี้มาถึงหรือยังน่ะ” นั่นคือสิ่งเดียวที่เป็นแรงผลักดันให้เหล่าจอมเวทเดินทางมายังหอคอยเวทมนตร์ท่ามกลางสายลมเย็นเยียบในวันขึ้นปีใหม่
จูลี่ หญิงสาวผู้ฝึกใช้มนตราที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ในยามนี้ใบหน้าแดงก่ำ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่แตกต่างหรือเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ “ทั้ง ‘อาร์คานา’ และ ‘เวทมนตร์’ ยังมาไม่ถึงเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้น นางจึงถามเสียงแผ่วขณะที่ดวงตาเปล่งประกายวิบวับ “ท่านชาย ท่านได้ยินเรื่องเกี่ยวกับห้องสังเกตการณ์จักรวาลหรือไม่เจ้าคะ”
“ห้องสังเกตการณ์จักรวาลอะไรกัน” จอมเวทสองสามคนถามขึ้นด้วยความมึนงง นี่พวกเขาทราบข่าวล่าช้าแค่เพราะใช้เวลาช่วงหยุดยาวปีใหม่อย่างนั้นน่ะหรือ
จูลี่กล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น “ข่าวแพร่จากสถาบันอะตอมมาว่าท่านอีวานส์ได้สร้างห้องสังเกตการณ์จักรวาลไว้บนอวกาศ เพื่อที่เหล่าจอมเวทที่ไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์มากพอ จะขึ้นไปศึกษารังสีคอสมิกกับสิ่งลี้ลับที่เราไม่รู้จักบนจักรวาลอันกว้างใหญ่ได้เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” หนึ่งในจอมเวทระดับกลางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้องโถง ราวกับมันถูกเสริมด้วยเวทมนตร์แห่งเสียง
“การขึ้นไปบนอวกาศเพื่อศึกษาวิจัยจะเป็นไปได้จริงๆ หรือ” จอมเวทอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังขาและไม่เชื่อถือ
จูลี่พยักหน้ารัวแรง “ท่านหญิงไฮดี้และท่านอื่นๆ ไปเยือนที่นั่นมาแล้วเจ้าค่ะ!”
จอมเวทที่เสียงดังเมื่อครู่นี้เชื่อว่าจูลี่ไม่มีทางโกหกเขาในเรื่องนี้แน่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นเหม่อมองเพดาน ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเพดานและหอคอยเวทมนตร์ไปเห็นจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุดได้อย่างไรอย่างนั้น
“จักรวาล…” เขาแทบทอดถอนใจ เพราะจอมเวทส่วนใหญ่แทบไม่มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเยือนจักรวาลเลยตลอดช่วงชีวิต แม้ว่าพวกเขาจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสนั้นในยามนี้ พัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของอาร์คานาได้สำแดงปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่องจริงๆ!
จอมเวทอีกคนถามด้วยความวิตกกังวลระคนกระตือรือร้น “เรายื่นเรื่องขอใช้ห้องสังเกตการณ์นี้ได้หรือไม่ หรือว่าห้องนี้มีไว้ให้เพียงจอมเวทจากสถาบันอะตอมใช้เท่านั้นหรือ”
ก่อนที่จูลี่จะทันได้ตอบ เสียงเรียบนิ่งชัดถ้อยชัดคำของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังมาจากปากทางเข้าหอคอยเวทมนตร์ “ได้แน่นอน ท่านอีวานส์บอกกับคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์อย่างชัดเจนในจดหมายตอบกลับว่าจะมีสองที่ว่างให้เหล่าจอมเวทที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันอะตอมใช้ในทุกๆ ครั้งที่ห้องสังเกตการณ์เปิดใช้งาน แต่ผู้สนใจจะต้องส่งแผนการทดลองเสียก่อนและต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ทรัพยากรของสภาเวทมนตร์จะต้องไม่สูญเปล่าไปกับจอมเวทที่อยากขึ้นไปสัมผัสจักรวาลเพียงเท่านั้น”
จอมเวททุกคนในห้องโถงพลันหันกลับไป บ้างรีบถามด้วยความตื่นเต้น “จริงหรือขอรับ ท่านจูรีเซียน” ในขณะที่คนอื่นๆ ค้อมกายอย่างมีมารยาท “สวัสดีปีใหม่ขอรับ ท่านจูรีเซียน”
เป็นจูรีเซียน ผู้เลื่อนขั้นเป็นนักเวทระดับเจ็ดแล้วที่เดินเข้ามาในหอคอยเวทมนตร์
“หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ลองไปถามคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์เองเลยก็ได้” จูรีเซียนยิ้มเยือน
ในตอนนั้นเอง เหล่าจอมเวทก็กลับมามีสติแล้ว บางคนถามอย่างเป็นกังวล “แผนการทำการทดลองของเราย่อมเกี่ยวข้องกับการศึกษาอาร์คานาของเราเองมาก เช่นนั้นคนอื่นจะมิได้รับแรงบันดาลใจจากมันหรอกหรือ”
เขาพูดอย่างอ้อมค้อม แต่ความนัยนั้นชัดเจนยิ่ง เขากังวลว่าคนอื่นๆ อาจมองงานศึกษาวิจัยของพวกเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งผ่านแผนการทำการทดลองที่ส่งไปและขโมยความสำเร็จไปด้วยการชิงทำการทดลองตัดหน้าพวกเขา
“วางใจได้ แผนการทุกแผนจะเก็บสำเนาไว้บนกระดาษ และสมาชิกคณะกรรมการการวิจัยเวทมนตร์ก็จะเป็นผู้ตรวจสอบ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีใครมาขโมยผลงานของเจ้า” จูรีเซียนตอบยิ้มๆ เขาคือหนึ่งในนักเวทระดับสูงของสหพันธ์บทเพลงจันทราที่มีสหายอยู่มากมาย นั่นคือเหตุผลที่เขาได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกิจการ
ฟู่ จอมเวทหลายคนผ่อนคลายลง พร้อมกับความกังวลที่หายไป บางคนเริ่มครุ่นคิดว่าแผนการทำการทดลองประเภทใดกันที่จะได้รับความเห็นชอบจากเหล่าผู้ตรวจสอบ ส่วนบางคนถามต่อไปว่า “ท่านจูรีเซียนขอรับ ทางสหพันธ์มีแผนที่จะสร้าง ‘ห้องสังเกตการณ์จักรวาล’ เป็นของเราเองหรือไม่ขอรับ”
จูรีเซียนยิ้มกว้าง “ข้าไม่แน่ใจนัก เรื่องแบบนี้ไม่สามารถเร่งร้อนตัดสินใจ ทว่า เป็นที่แน่นอนที่นักเวทชั้นตำนานและผู้วิเศษทั้งหลายจะเชื่อว่า ‘ห้องสังเกตการณ์จักรวาล’ นั้นเป็นของไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาสามารถขึ้นไปทำการวิจัยบนอวกาศได้ด้วยตนเอง บ้างก็เชื่อว่ามันไม่เหมาะสมที่จะสร้างห้องนี้ขึ้นมามากจนเกินไปในคราวเดียว ซึ่งนั่นจะเป็นภาระหนักกับทรัพยากรที่สภาเวทมตร์เก็บสะสมไว้ จนกว่า ‘ห้องสังเกตการณ์จักรวาล’ ของท่านอีวานส์จะเผยให้เห็นถึงคุณค่าของมัน เรื่องนี้จึงมิควรหลับหูหลับตาให้การสนับสนุน”
“ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าท่านประธาน เจ้าแห่งพายุ และเจ้าแห่งธาตุจะสนับสนุนห้องสังเกตการณ์นี้ ในยามนี้ก็คงมีอีกเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่จะสร้างไว้ในองค์กรหอคอย”
“ความกังวลของเหล่ามหาจอมเวทสมเหตุสมผลแล้ว อย่างไรก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าห้องสังเกตการณ์จะเป็นประโยชน์หรือไม่ การรีบร้อนตัดสินใจไม่ใช่แนวทางของสภาเลย” จอมเวทคนหนึ่งพนักหน้าเห็นดีเห็นงาม
ในตอนที่พวกเขากำลังจะกล่าวลาจูรีเซียน บางอย่างก็ส่งเสียงดังปิ๊บอยู่บนโต๊ะประชาสัมพันธ์ด้านหน้าจูลี่
“เจ้าค่ะ” จูลี่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับ “หา ส่ง ‘อาร์คานา’ กับ ‘เวทมนตร์’ มาแล้วหรือเจ้าคะ”
เหล่าจอมเวทที่กำลังจะจากไปพลันหยุดและรอคอยอีกสิบนาทีด้วยความใจเย็น ก่อยที่พวกเขาจะซื้อวารสารจากจูลี่
“‘อาร์คานา’ ฉบับนี้หนาจริงๆ” จอมเวทคนหนึ่งกล่าวกับสหายตนด้วยความมึนงง
แทนที่จะกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อรับเล่มของตนมา จูรีเซียนกลับเริ่มอ่านจากเล่มที่วางขายอยู่บนโต๊ะประชาสัมพันธ์
“ทฤษฎีสนามควอนตัมงั้นรึ มีชุดงานเขียนจากท่านบรูก เจ้าแห่งพายุ และท่านอีวานส์?” จอมเวทคนหนึ่งอ่านสารบัญก็ได้เห็นวลีสำคัญอย่าง ‘ทฤษฎีสนามควอนตัม’
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จอมเวทคนอื่นๆ ก็ยิ่งงุนงง พวกเขารู้จักควอนตัม และก็รู้จักทฤษฎีสนามพลัง แต่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่เมื่อทั้งสองอย่างมารวมกัน มันจะมีความหมายอย่างที่พวกเขาคิดหรือไม่
บทความเรื่องทฤษฎีสนามควอนตัมนั้นซับซ้อนยิ่งและเต็มไปด้วยสมการชวนปวดเศียรเวียนเกล้า เหล่าจอมเวทต่างรู้สึกสับสนมึนงงเหมือนยามที่พวกเขาเผชิญหน้ากับทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปกับกลศาสตร์เมทริกซ์อีกครั้ง บางคนถึงกับข้ามช่วงการอนุมานหาค่าไปอ่านบทสรุป
“แก่นแท้ของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า?” จอมเวทคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ด้วยเพราะมันเป็นหนึ่งในสองแรงพื้นฐานที่มีการศึกษาวิจัยมากที่สุด แรงแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเป็นรากฐานของโลกและบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับ ‘ความจริง’ สำหรับเหล่านักเวทจากสหพันธ์บทเพลงจันทรามาโดยตลอด จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ใครสักคนจะหาคำอธิบายเกี่ยวกับแก่นแท้ของแรงแม่เหล็กไฟฟ้ามาได้ นี่มันเหมือนกับการที่คนเดินไม่ได้จู่ๆ ก็เรียนรู้วิธีการวิ่งมิหรือไม่
จากแรงพื้นฐานทั้งสี่ แรงนิวเคลียร์อย่างเข้มหรืออันตรกิริยาอย่างเข้มนั้นถูกระบุเจาะจงเอาไว้แต่กลับมิมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม กระทั่งคุณลักษณะพื้นฐานของมันก็ยังมิมีผู้ใดเข้าใจ จึงไม่ต้องพูดถึงทฤษฎีที่เป็นระบบเลย แต่แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อนหรืออันตรกิริยาอย่างอ่อนกลับเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของเฟอร์นันโดและมิได้มีการตรวจสอบยืนยันด้วยการทดลองใด และไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะถูกระบุเจาะจงในยามใด ด้วยประการฉะนี้ หลังจากที่ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงได้ส่วนหนึ่ง แก่นแท้ของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าก็กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์
นานมาแล้วที่เหล่าจอมเวทผู้เชี่ยวชาญทางด้านแม่เหล็กไฟฟ้าได้นำเสนอเรื่องธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แต่พวกเขากลับไม่เคยทำให้ทฤษฎีเสร็จสมบูรณ์เลยสักครั้ง ในทางตรงกันข้าม รายงานหลายชุดใน ‘อาร์คานา’ ฉบับนี้ดูจะชี้แนะให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ชวนให้สมองระเบิดโพลง!
จูรีเซียนกำลังอ่านงานเขียนช้าๆ ช่วงต้นบทนำคือสิ่งที่เขาถนัด เขาจึงไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจกับมัน แต่หลังจากที่เขาได้ยินคำอุทานนั้น เขาก็พลิกไปที่ส่วนท้ายแล้วอ่านส่วนที่พูดถึงธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
“แรงแม่เหล็กไฟฟ้าคืออันตรกิริยาที่พบได้จากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นท่ามกลางอนุภาคที่มีประจุทางไฟฟ้าผ่านการแลกเปลี่ยนโฟตอน? โฟตอนเสมือนจริง…” ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งจูรีเซียนพึมพำกับตนเองหลังจากนั้นครู่ใหญ่ บทสรุปนั้นมีทฤษฎีสนับสนุนอย่างละเอียด ทั้งยังมีคำอธิบายทางคณิตศาสตร์ในส่วนของกระบวนการที่มีความซับซ้อน ไม่ว่ามันจะถูกต้องหรือไม่ มันก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในความก้าวล้ำอย่างที่สุดนับแต่มีการค้นพบแรงแม่เหล็กไฟฟ้า จะเป็นรองก็เพียงสมการบรูกเท่านั้น
จอมเวทคนอื่นๆ สามารถเข้าใจส่วนของบทสรุปได้เพียงเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงระคนปีติยินดี “นี่หรือคือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า”
หากสามารถทำความเข้าใจแรงแม่เหล็กไฟฟ้าได้โดยสมบูรณ์ นักเวทผู้เชี่ยวชาญด้านแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นพวกเขาย่อมได้รับผลตอบแทนอันเหนือจินตนาการ!
“แต่ว่า ท่านมหาจอมเวททั้งสามได้เสนอคำถามเกี่ยวกับทฤษฎีสนามควอนตัม ปัญหาเรื่องอนันตภาพที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างจะแก้ไขอย่างไร” จอมเวทคนหนึ่งอ่านมาถึงประโยคสุดท้าย ดูเหมือนว่าทฤษฎีสนามควอนตัมจะยังไม่สมบูรณ์แบบและมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอีกมากมายทีเดียว
ด้วยเหตุผลบางประการ เขาค่อนข้างรู้สึกโล่งอกหลังจากได้อ่านประโยคนี้ การทำความเข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้เขาดีอกดีใจและรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน ตอนนี้มันดูรับได้มากกว่าสำหรับเขา
จอมเวททุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกไปในทางเดียวกัน ทฤษฎีล้ำยุคเพียงทฤษฎีเดียว อย่างทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป ก็เพียงพอแล้ว มันคงจะเหนือจริงเกินไปหากจะมีอีกหลายๆ ทฤษฎี
พวกเขาทอดถอนใจด้วยความโล่งอกพลางแย้มยิ้มกว่าง “หากมีใครแก้ปัญหาเกี่ยวกับอนันตภาพได้ คนผู้นั้นจะต้องชนะรางวัลอีวานส์สาขาอาร์คานาและเหรียญจันทราสีเงินเป็นแน่แท้”
พวกเขาไม่คิดหวังในเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกจนเกินไปที่จอมเวทระดับกลางและสูงจะสามารถแก้ปัญหาที่เหล่ามหาจอมเวทแก้ไขมิได้ กรณีคล้ายคลึงกันนี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างไรเสีย บรรดามหาจอมเวทก็มีองค์ความรู้และประสบการณ์มากเกินไป ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นโซ่ตรวนคอยเหนี่ยวรั้ง ในขณะที่จอมเวทรุ่นใหม่นั้นได้รับผลกระทบในเรื่องนี้น้อยกว่า
“หา ‘ว่าด้วยข้อสันนิษฐานเรื่องโฟตอนและนิวตรอน จากการทดลองการแพร่’ โดยยาโรรัน แฮธทาเวย์ ฮอฟเฟนเบิร์ก…” จอมเวทอีกคนพลิกไปอีกหน้าบทความ
การทดลองการแพร่ในชื่อหัวข้อนั้นค่อนข้างเป็นที่คุ้นเคยกันดี นับแต่ที่มีการค้นพบนิวตรอน การทดลองการแพร่ระหว่างโฟตอนและโปรตอนกับนิวตรอนและโปรตอนก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้ข้อมูลมามากมาย เมื่อไม่กี่เดือนก่อน จากการทดลองประเภทนี้ ราเวนติและมอร์ริสได้ค้นพบว่าแรงนิวเคลียร์ หรือที่เรียกกันว่าอันตรกิริยาอย่างเข้มในยามนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปแม้ว่าจะใช้ทั้งโปรตอนที่มีประจุไฟฟ้าหรือนิวตรอนที่ไม่มีประจุไฟฟ้าแล้วก็ตาม ผลลัพธ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับประจุไฟฟ้าเลยสักนิด ซึ่งเป็นเรื่องขัดแย้งกับความเข้าใจโดยทั่วไปอย่างยิ่ง จอมเวทหลายคนจึงได้นำเสนอข้อสันนิษฐานของพวกตนเพื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้
“บางทีเราอาจมองได้ว่าโปรตอนกับนิวตรอนคืออนุภาคเดียวกัน ซึ่งข้าขอเรียกว่านิวคลีออน ก็เหมือนกับที่อิเล็กตรอนบางส่วนหมุนวนไปทางซ้ายและบางส่วนหมุนวนไปทางขวา นิวคลีออนบางส่วนมีประจุและบางส่วนไม่มี เราจะมองว่าทั้งสองอย่างเป็นอนุภาคคนละอย่างเพียงเพราะความแตกต่างชัดเจนไม่ได้…” จอมเวทคนเดิมอ่านประโยคนั้นแล้วก็ให้รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง
ในงานเขียนของแฮธทาเวย์ นางได้แนะนำเลขควอนตัมใหม่เพื่อแสดงถึงสภาพใหม่นี้
“อะไรนะ โปรตอนกับนิวตรอนคืออนุภาคเดียวกันอย่างนั้นนรึ” จอมเวทและผู้ฝึกใช้มนตราทุกคนที่อยู่ตรงนั้น รวมถึงจูรีเซียน ต่างอึ้งงัน
มันมิใช่เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะพวกเขาถูกความน่าเหลือเชื่อและน่าเกรงขามในธรรมชาติของโลกถาโถมเข้าใส่ เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่ายิ่งพวกเขาขุดคุ้ยลงลึกไปมากเท่าไหร่ สิ่งต่างๆ ก็จะยิ่งเรียบง่ายขึ้นเท่านั้น
“สรุปได้ว่า อนุภาคพื้นฐานมีเพียงสามประเภท อันได้แก่ นิวครีออน อิเล็กตรอน และโฟตอน นอกจากนี้ อันตรกิริยาระหว่างอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้ากับโฟตอนยังแสดงคุณสมบัติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าอีกด้วยงั้นหรือ”
“สมเหตุสมผลนะ สิ่งที่เป็นพื้นฐานไม่อาจแบ่งแยกประเภทให้ซับซ้อนจนเกินไป!”
“นี่คือความจริงของโลกเช่นนั้นหรือ”
บางครั้ง ความซับซ้อนก็มิจำเป็นจะต้องส่งผลให้เกิดความมหัศจรรย์ มันอาจเป็นความเรียบง่ายอย่างถึงที่สุดที่นำความรู้สึกมหัศจรรย์แห่งความงามมาให้ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเหล่าจอมเวทจะยังอ่านบทความไม่จบ พวกเขาก็เอนเอียงไปทางข้อสันนิษฐานของแฮธทาเวย์เสียแล้ว
…………………………………….