ถนนทุกสายในเมืองไฮด์เลอร์เป็นระเบียบ ไม่ได้สกปรก หรือเต็มไปด้วยซากศพเน่า ๆ อย่างที่ดอนนี่หวังจะได้เห็น แต่ค่อนข้างสะอาด กว้างขวางและมีผู้คนสัญจรไปมามากมาย
แต่ถึงอย่างนั้น ถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านที่ควรจะมีชีวิตชีวาและคึกคัก กลับเงียบสงบมาก ไม่มีใครพูดเสียงดังเลย พวกเขาพูดคุยกันเบามากเหมือนยุงคุยกัน ทำยังกับว่ามีพลังลึกลับที่ห้ามไม่ให้ใครเสียงดัง
เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ดอนนี่ก็ตระหนักว่าผู้คนที่สัญจรไปมาส่วนใหญ่เป็นปีศาจผีดิบ บางตัวเป็นสุนัขที่ตายแล้วที่มีร่องรอยแปลก ๆ สีแดงบนดวงตา บางคนก็มีเนื้อผิวบาง ๆ ที่โผล่ออกมาสัมผัสกับอากาศ และบางส่วนก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่น ผี ผีดิบ และโครงกระดูก
ปกติแล้ว หมอผีที่อยู่ในเสื้อคลุมมนต์ดำก็เป็นหนึ่งในปีศาจผีดิบเช่นกัน พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ดุร้ายและน่ากลัวอย่างที่ดอนนี่คิด แต่พวกเขากลับพูดคุยและหัวเราะไปกับเพื่อน ๆ เว้นแต่ว่าพวกเขาใช้เสียงที่เบามาก
“น่าเสียดายที่ไม่มีจอมขมังเวทโครงกระดูก…” ดอนนี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลังจากที่เข้ามาในเมืองไฮด์เลอร์แซมมี่ก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้น แม้ยังมีร่องรอยความง่วงงุน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้หาวบ่อย ๆ เขาขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงเหมือนรังนกแล้วพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าจอมขมังเวทโครงกระดูกชอบเดินบนถนนนะ…”
ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะชอบอะไรเหมือนกัน… ดอนนี่เบี่ยงตัวไปข้าง ๆ เพื่อหลีกทางให้สุนัขสามหัว มันมีรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง มีไฟลุกโชนออกมาจากปาก แต่ที่คอมีกระดิ่งที่นักเวทหญิงตัวเล็ก ๆ ใช้ลากจูงและวิ่งไปข้างหน้าช้าๆ
“หมานรกตัวนี้ตัวใหญ่อย่างกับวัว…” หลังจากที่นักเวทหญิงเดินจากไป ดอนนี่ก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสุนัขและเจ้าของ
แซมมี่หัวเราะคิกคัก “เมื่อวานข้าเห็นจอมขมังเวทโครงกระดูกเดินอยู่กับมังกรกระดูกจากบนท้องฟ้า ใหญ่พอ ๆ กับสุนัขล่าเนื้อจากนรกประมาณร้อยตัวได้”
เขามาถึงเมืองไฮด์เลอร์เมื่อวาน และอาศัยอยู่ที่ 152, ถนนผีดิบนี้ และกำลังรอพวกนักเรียนที่จะมาถึงในวันรุ่งขึ้นเพื่อที่จะได้ไปเรียนที่วิทยาลัยด้วยกัน
“ดีมากเลย” ดอนนี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความชื่นชม ด้วยเพราะมีหอคอยเวทมนตร์ที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะหลงทางได้เลย และตอนนี้พวกเขามาถึงถนนกูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้น กะโหลกสีขาวซีดมีไฟสีแดงเหมือนเข็มสองดวงที่เบ้าตาก็ลอยออกมา ฟันของกะโหลกกระทบกันเปล่งน้ำเสียงแข็งกร้าวเสียงดังออกมา “เด็กใหม่ทุกคนที่จะไปวิทยาลัยมาจงรวมกันที่นี่ ส่วนใครที่มาทีหลังจะถูกมารับในวันมะรืน”
น้ำเสียงที่ดูขัดหู ราวกับว่ามีใครกำลังเอาเหล็กขึ้นสนิมมาถูกับกระดูก ดอนนี่เดินตัวสั่นเข้าไปในห้องโถงกับแซมมี่
“แจ้งลงทะเบียนและเครื่องหมายระบุตัวตนของเจ้าให้ข้ารับรู้” ดอนนี่นิ่งไปเมื่อเห็นชายไร้อารมณ์เดินเข้ามาหาพวกเขา ชายแปลกหน้าคนนี้มีใบหน้าที่ผอมแห้งและมีดวงตาเหมือนเข็มสีแดง
ดอนนี่รีบหยิบใบแจ้งลงทะเบียนและด้วงสีดำออกมา “นี้ ขอรับ”
“เรียกข้าว่าท่านโรเบิร์ต” เสียงของชายผู้นั้นช่างฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างน่าประหลาด เมื่อเขามองไปที่ด้วงสีดำ ด้วงตัวนั้นก็ดูเหมือนจะเรืองแสงสีแดงเช่นกัน “อืม ดอนนี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหอพัก แต่ให้มาที่วิทยาลัยกับเรา”
จากนั้นเขาก็ยื่นใบแจ้งลงทะเบียนและด้วงคืนให้ดอนนี่ เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บังเอิญว่า ข้าเป็นผู้สอนด้านโครงสร้างร่างกายและพันธุศาสตร์ ข้าจะรอติดตามผลงานของเจ้า”
ผ่านไปครู่หนึ่ง แซมมี่ที่มองดูโรเบิร์ตเดินไปอีกด้านหนึ่งของห้องโถง และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า“ว่ากันว่าตอนนี้ท่านโรเบิร์ตมีความใกล้ชิดกับพวกระดับสูงมาก ร่างกายของเขาได้รับการดัดแปลงหลายต่อหลายครั้งจนไม่มีใครรู้ว่ามันมีความสามารถพิเศษอะไรบ้างแล้ว”
“ท่านโรเบิร์ตกดดันข้ามาก…” ดอนนี่มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดออกมาในขณะที่เดินชมสภาพแวดล้อมที่มืดมนของเมืองไฮด์เลอร์ เขามองไปที่โรเบิร์ตและพบว่าชายคนนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าจอถ่ายทอดสดในห้องโถง และกำลังชมรายการตลกขบขันด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าผู้ชายหน้าตาบูดบึ้งอย่างท่านโรเบิร์ตจะชอบดูโทรทัศน์…” ดอนนี่พูดด้วยความตกใจ
แซมมี่มองเขาอย่างสับสน “ทำไมคนตายจะดูโทรทัศน์ไม่ได้ล่ะ”
“ก็…” ดอนนี่พูดไม่ออก จากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เรากำลังจะไปที่วิทยาลัย แต่ข้าได้ข่าวว่ามันไม่ได้อยู่ในเมืองแต่อยู่ในสถานที่ลึกลับใช่ไหม?”
แซมมี่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกใช้เวทมนต์”
ทั้งสองคนค่อนข้างจะมีความสงสัยในเรื่องนี้ และพยายามเดาว่าจุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ที่ไหน หรือมันจะตั้งอยู่ในสุสานขนาดมหึมา?
หลังจากนั้นไม่นาน จอมขมังเวทโครงกระดูกสีซีดก็บินกลับมาและพูดต่อด้วยเสียงฉุนเฉียวว่า “ตามข้ามา อย่าหลงทาง ถ้าพวกเจ้าหลงทางข้าจะถือว่าพวกเจ้าตายไปแล้ว และข้าจะไม่เสียเวลาในการค้นหาพวกเจ้า”
หัวใจของดอนนี่เต้นถี่รัว แม้แต่ชายที่ขี้เซาและเฉื่อยชาอย่างแซมมี่ก็เบิกตากว้างเช่นกัน ตอนนี้ทั้งกลุ่มเงียบกริบ
ดอนนี่และเพื่อนๆตามจอมขมังเวทโครงกระดูกผ่านถนนผีดิบ ทางหลวงวิญญาณและจัตุรัสสมอง ก่อนที่จะผ่านไปถึงอาคารที่ดูไม่ต่างจากหอคอยเวทมนตร์อื่น ๆ
“ที่นี่คือวิทยาลัยของเราเหรอ?” ดอนนี่มองดูหอคอยเวทมนตร์ตรงหน้าเขาอย่างผิดหวัง
จอมขมังเวทโครงกระดูกหยุดเดินและลอยอยู่หน้าประตูหอคอยเวทมนตร์พร้อมทั้งร่ายเวทมนต์ที่หยาบกระด้าง ซับซ้อน และน่าสยดสยอง
เงาดำโผล่ออกมาจากหินที่อยู่บนพื้น ขยายร่างเติบโตจากนั้นมันก็สั่นเบา ๆ ในความมืดเมื่อเปิดประตู
“ตามข้ามา” จอมขมังเวทโครงกระดูกพูดอย่างเย็นชา และแทนที่จะเปิดประตู เขาก็หายไปในเงามืดเสียแล้ว
ดอนนี่และแซมมี่กลั้นหายใจอีกครั้งเพราะความแปลกประหลาด พวกเขาค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเหล่านักเวทฝึกหัดที่อยู่ใกล้ ๆ พวกเขากำลังสงสัยว่าเงาจะพาพวกเขาไปที่ใด
น่าเสียดายที่ถึงแม้พวกเขาจะพยายามเดินช้าแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไปถึงประตูเหงาอยู่ดี จากนั้นดอนนี่ก็กัดฟันและก้าวเข้าไป
ราวกับว่าร่างกายของเขาอยู่ในทะเลสาบ เขารู้สึกหดหู่และหายใจไม่ออก เหมือนกับตอนที่เขาเกือบจะจมน้ำตายในตอนที่เขายังเป็นเด็ก จากนั้นร่างกายของเขาก็รู้สึกเบาสบายอีกครั้งเหมือนกับ “น้ำ” ที่อยู่รอบตัวเขาหายไป และตอนนี้เขาก็กำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เป็นสีดำ สีขาว และสีเทา
นี้เป็นเมืองดูสกปรก และเสื่อมทราม ไม่มีสีสันเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นสีดำ สีขาว และสีเทา แม้แต่สายลมในอากาศก็ยังเยือกเย็น ราวกับเป็นภาพวาดที่ให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
ดอนนี่มองท้องฟ้าด้วยความตกใจ มันเป็นสีซีด ๆ พอๆ กับเมืองไฮด์เลอร์ แต่กลับไม่เห็นดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหนเลย!
ในหัวของดอนนี่ปรากฏความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับมิติอื่น ๆ ขึ้นม่ เขาตะโกนใส่แซมมี่ที่ตกตะลึงอยู่ข้าง ๆ ว่า “นี่คือโลกแห่งวิญญาณ!”
แต่หลังจากที่เขาโพล่งออกไป ดอนนี่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ อีกเลย ทุกอย่างเงียบสนิดราวกับโลกทั้งใบหลับไหลไปชั่วนิรันดร์
อย่างที่คิดนี่คือโลกแห่งวิญญาณ ดอนนี่สูดหายใจเข้าพร้อมกับร่างกายของเขาที่เป็นภาพลวงตากำลังสลายหายไป สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับสำนักศาสตร์มืดอย่างแน่นอน แต่เขาก็ได้รับแจ้งมาว่าสถานที่นี้อันตรายมากสำหรับนักเวทระดับสูง ท้ายที่สุดพวกอสุรกายโง่ ๆ ก็ไม่สนใจภูมิหลังว่าพวกเขาจะรวยหรือไม่รวย พวกมันต้องการเพียงเลือดและเนื้อสด ๆ เท่านั้น
“ตามข้ามา ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง อย่าสูญหายไปเป็นอันขาด” จอมขมังเวทโครงกระดูกพูดขึ้นในจิตของทุกคนด้วยเวทมนตร์ที่พวกเขาไม่รู้จัก
ดอนนี่ตบแซมมี่เบา ๆ ที่ยังคงมึนงงและเดินตามจอมขมังเวทโครงกระดูกไปอย่างระมัดระวัง เขากลัวว่าตนเองจะถูกทิ้งให้เผชิญหน้าพวกอสูรกายเพียงลำพัง
เมื่อผ่านเมืองอันเงียบสงบ กลุ่มของพวกเขาก็เดินเข้าไปในถิ่นทุรกันดารที่รกร้าง มีผีดิบหน้าตาเน่าเปลือยและน่าสยดสยองเดินไปมาอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาแทบจะได้กลิ่นเหม็นที่ไม่สามารถอธิบายได้
ไกลออกไป มีผีดิบที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำจำนวนมากกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า
สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ผีที่อยู่บนหลังของแซมมี่รู้สึกกระปี้กระเป่า มันเงยศีรษะขึ้นแล้วหอนแบบไร้เสียงพร้อมทั้งโบกมือไปมาอย่างแรง
ฮิฮิ ดอนนี่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสนุกสนาน ในขณะที่แซมมี่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น ท้องฟ้าสีเทาก็มืดลงราวกับถูกย้อมเป็นสีดำ ไม่สิ ไม่ใช่ท้องฟ้าที่มืดลงแต่กลับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากผีดิบที่มารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศ!
พวกมันต่างบินเข้าหาแซมมี่ทั้งยังเปล่งเสียงโหยหวนโดยไร้เสียง แรงกดดันและกลิ่นแห่งความตายอันน่าสยดสยองทำให้นักเวทฝึกหัดหลายคนถึงกับฉี่ราดกางเกง มีพวกเขากำลังประสบหายนะของคนตายงั้นหรือ?
ดอนนี่ที่ร่างกายสั่นเทารีบดึงแซมมี่และบอกใบ้ให้เขาหยุดผีที่บนหลังของเขาเดี่ยวนี้
ในขณะนั้นเอง จอมขมังเวทโครงกระดูกที่อยู่ข้างหน้าก็สูดหายใจ และมีม่านสีดำไร้ที่มาปรากฏขึ้นครอบคลุมพวกเขาไว้ทั้งหมด
หลังจากที่ม่านสีดำหายไป ดอนนี่ก็ตระหนักว่าพวกเขาได้เข้ามาในส่วนลึกของถิ่นทุรกันดาร และอยู่ห่างไกลจากกองทัพผีดิบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ควบคุมผีของเจ้าดีดี” จอมขมังเวทโครงกระดูกพูดอย่างเย็นชา
“ขอรับ ท่าน” แซมมี่ตอบเสียงสั่น ผีที่อยู่ข้างหลังก็ก้มลงไปจับขาตัวเองราวกับเด็กขี้กลัวพร้อมทั้งร้องไห้โดยไม่มีเสียง
ดอนนี่มองผีอย่างสนุกสนาน เจ้ากลัวกองทัพผีดิบด้วยเหรอ? เจ้าเกือบทำให้เรากลายเป็นผีผิบน่ะ
ดอนนี่ลากแซมมี่ที่ขาอ่อนเกินกว่าจะเดินเองได้ไปด้วย จากนั้นเขาก็เห็นเมืองที่งดงามท่ามกลางโลกที่ถูกแข็งจากสีดำ สีขาว และสีเทา มีหอคอยเวทมนตร์ทรงแหลมสีดำ สีเงิน และสีขาว ระหว่างหอคอยเวทมนตร์นั้นมีสะพานลอยที่แทบจะมองไม่เห็นซึ่งเชื่อมต่อทิศทางต่างๆ ของหอคอยอย่างประณีต
รอบ ๆ เมืองมีสุสานอันเงียบสงบอยู่ทุกหนทุกแห่งของเมืองอย่างหนาแน่น และเบื้องหน้าของเขาก็มีแผ่นป้ายหลุมศพสีดำวางเอียง ๆ อยู่หน้าพวกเขา
“แผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพที่เอนเอียง…” ดอนนี่ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ
หลังจากผ่านสุสานมาได้ ดอนนี่และเพื่อนๆ ก็มาถึงเขตเมืองภายใต้การนำทางของจอมขมังเวทโครงกระดูก หลังจากที่พวกเขาผ่านประตูเมืองที่สูงหลายสิบเมตร ความรู้สึกหม่นหมองและภาวะซึมเศร้าหายไปทันที พวกเขาได้ยินเสียงพูดที่คุ้นเคยอีกครั้งในดินแดนคนเป็น ราวกลับก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งไปเยือนดินแดนมรณะมาอย่างไรอย่างนั้น
“อย่างที่พวกเจ้าเห็น ไม่มีทางที่พวกเจ้าจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้หากไม่ได้รับคำแนะนำจากพี่เลี้ยงระดับสูง ดังนั้นพวกเจ้าต้องทำงานและร่ำเรียนอย่างหนักเพราะคนที่ขี้เกียจจะไม่มีทางกลับบ้านได้ เอาล่ะ ยินดีต้อนรับสู่วิทยาลัยเวทมนตร์ไฮด์เลอร์ กรุณาไปรับชุดคลุมและตราโรงเรียนพร้อมกับเครื่องหมายระบุตัวตนและหนังสือแจ้งการลงทะเบียนของพวกเจ้าซ่ะ จากนั้นพวกเจ้าก็สามารถมองหาป้ายนำทางเพื่อกลับไปที่หอพักของตนเอง” จากนั้นจอมขมังเวทโครงกระดูกก็หายไปหลังจากประกาศจบ
ดอนนี่ลากแซมมี่และวิญญาณของเขาที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนักเพื่อไปรับเสื้อคลุมดำและสัญลักษณ์ไฟสีซีดจากหอคอยเวทมนตร์ที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นเขาก็ถามทางเพื่อไปยังหอพักของพวกเขา
เมื่อใกล้จะถึงหอพัก ในที่สุดแซมมี่ก็ถอนหายใจยาวและขยี้ผมของเขา “โลกแห่งวิญญาณช่างน่ากลัวจริง ๆ เมื่อกี้ข้ากลัวมาก…”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ต้องถึงกับตะลึงเมื่อเปิดประตูหอพัก จากนั้นเขาก็รีบขวางการมองเห็นของดอนนี่
“ข้า… ข้าขอโทษ พวก… พวกเรามาผิดหอแล้ว!” แซมมี่พูดตะกุกตะกักและขอโทษขอโพย
ดอนนี่มองไปที่ป้ายบนประตู “ไม่ผิดหรอก ห้อง 202 หอคอยแห่งชีวิต เขตต้นกำเนิด”