“คงงั้น” พอได้ฟังข้อสงสัยของเฟอร์นันโด แอนเทคก็เหน็บแนมเขา “เจ้าคิดว่ามีชั้นตำนานก้มหัวให้ศาสนจักรรึ? แล้วพวกเขาจะได้น์อะไร? ผู้วิเศษทั่วไปได้รับการคุ้มครองและของวิเศษจากศาสนจักร แต่นักเวทชั้นตำนานจะได้อะไร? ถ้าหมดศึกภายนอก พวกนั้นแหละจะถูกกำจัดเป็นกลุ่มแรก”
คำอธิบายอันไหลลื่นและสมเหตุสมผลฟังดูไม่น่าเชื่อว่ามาจากปากคนขี้ขลาดอย่างแอนเทค
เขาคงจำเรื่องที่ราชาฝันร้ายและสแตนิสคุยกันได้… เฟอร์นันโดนึกเหยียดแอนเทคอยู่ในใจ และพูดออกไปขรึมๆ “แล้วพวกชั้นตำนานกำลังค้นคว้าอะไรในเมืองคิวฟูเรย์ล่ะ?”
“ปริศนาแห่งความศรัทธา การบูชาพระเจ้า” แอนเทคตอบตรงๆ
ตาแดงก่ำของเฟอร์นันโดจ้องเขาเขม็ง จนเขาอยู่ไม่นิ่ง เขายักไหล่ก่อนถามออกมา “เจ้าสงสัยอะไรกัน?”
“ไม่รู้สิ แต่ข้ามั่นใจว่านั่นไม่ใช่คำตอบ อย่างน้อย ก็ไม่ใช่คำตอบจริงๆ” เฟอร์นันโดพูดนิ่งๆ
เห็นได้ชัดว่าแอนเทคโล่งอก เขามองเฟอร์นันโดด้วยแววตาใสซื่อ “แต่มันก็เป็นคำตอบนะ”
“ก็แล้วแต่ ข้าขี้เกียจถามแล้ว กดดันคนตาขาวมากไป เดี๋ยวพาลจะทำเขากลัวจนไม่กล้านอน” เฟอร์นันโดเข้าใจความหมายที่แอนเทคซ่อนอยู่ ถ้าเขาถามต่อ เขาอาจมีเรื่องมีราวกันให้บาดหมางกัน
แอนเทคไม่ได้ถือสาที่ถูกแดกดัน เขาตบไหล่เฟอร์นันโดพร้อมกับรอยยิ้ม “ยิ่งมีเรื่องให้ผวา ข้ายิ่งหลับสบาย”
เขาชักมือกลับโดยเร็วหลังนิ้วสัมผัสเข้ากับผิวอันเนียนนุ่ม เขาตาแดงอีกครั้งเพราะเฟอร์นันโดยังเป็น “นันโด”!
เฟอร์นันโดทำจมูกฟุดฟิดๆ เมื่อรู้สึกว่าเขากลายร่างแล้ว ก่อนพูดขึ้น “ข้าต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ข้าขยะแขยงความลับข้างล่างนี่จริงๆ ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว”
และแล้ว เขาก็รู้สึกว่าความลับเรื่องนี้จะนำภัยมาให้
“ข้าพานักเวทที่เจ้าจ้างมาด้วย พวกเขาอยู่นอกเมือง” แอนเทคกังวลว่าฟิวรานจะจับไต๋เฟอร์นันโดได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น เขาเองก็เละเป็นโจ๊กด้วยแน่นอน เขาจึงคะยั้นคะยอให้เฟอร์นันโดรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
เฟอร์นันโดมองแอนเทคด้วยความประหลาดใจ “นานๆ จะเห็นเจ้ารู้จักเตรียมพร้อม”
“ฮ่าๆ” แอนเทคปลาบปลื้มกับ “คำชม” ของเฟอร์นันโด
เฟอร์นันโดคุยกับแอนเทคอยู่อีกสักพัก หลังจากนัดหมายการพบกันครั้งหน้า เขาก็เดินไปที่ประตูและหมุนลูกบิด
ตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งอายุราวๆ สามสิบก็เดินเข้ามา เขาดูธรรมดามากเสียจนคงไม่อาจมองเห็นถ้าอยู่ในกลุ่มผู้คน
เขามองเฟอร์นันโดตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดเสียงเบาๆ “ถึงเจ้าจะลามก เจ้าก็มีวิสัยทัศน์และคิดวิเคราะห์ได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่เลวทีเดียว”
“ข้าต้องดีใจกับ ‘คำชม’ ของเจ้าไหม เจ้าโง่ที่แยกความฝันกับความจริงไม่ออก?” เฟอร์นันโดกลับมาปากเสียเหมือนเดิม
ชายคนนี้ก็คือสแตนิส คนที่แอนเทคอธิบายและเล่าให้เฟอร์นันโดฟังมาก่อน คนที่จะได้เป็นราชาฝันร้ายในอนาคต
“พูดมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ใช้เวทมนตร์เสียยังดีกว่า” สแตนิสพูดเยือกเย็น “แอนเทคบอกว่าเจ้ามีแนวคิดเรื่องภาพมายากับความฝันไม่เหมือนคนอื่น ข้าหวังว่ามันจะไม่เลอะเทอะเกินไปนะ ข้าไม่อยากเสียเวลาเปล่าๆ”
เฟอร์นันโดหัวเราะเยาะ “เจ้าก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลาเปล่าเหมือนกัน”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องภาพมายากับความฝันกันอยู่ในห้อง แม้จะได้ลงรายละเอียดสัญลักษณ์และโครงสร้างเวทมนตร์ แต่ทั้งสองก็ได้ประโยชน์จากการระดมสมองครั้งนี้มากมาย
ไม่นานหลังจากเฟอร์นันโดกลับไป ฟิวรานที่กำลังวุ่นกับงานของอาจารย์ก็เดินเข้ามา มันไม่ใช่ความรักแท้ระหว่างนางกับเฟอร์นันโดหรอก แต่นางก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่คิดว่าเฟอร์นันโดต้องมาเผชิญเคราะห์กรรมครั้งนี้ก็เพราะข่าวกรองมั่วๆ ของนาง
“อะไรนะ? นางกลับไปโฮล์มแล้ว?” ฟิวรานมองหน้าแอนเทค แล้วหูก็ดับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว
นางยังไม่ได้เอ่ยคำลากันเลย? ความสุขที่ผ่านมาสมควรต้องจากลากันแบบนี้หรือ?
ฟิวรานผิดหวังที่เฟอร์นันโดจากไปโดยไม่แยแสนางเลย
จู่ๆ สแตนิสก็เอ่ยปากพูดอย่างไม่ใยดี “เจ้าชอบร่างหญิงแต่ใจเป็นชายอย่างนั้นรึ? แอนเทคก็ไม่เลวนะ เขามีวิญญาณที่ขี้ขลายยิ่งกว่าสตรีเสียอีก เขาตรงสเป็กเจ้าเลยล่ะ ถ้าจับไปแปลงเพศเสียหน่อย”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” ฟิวรานอึ้งกิมกี่ แล้วความสับสนที่นางเผชิญตอนอยู่กับเฟอร์นันโดก็ประเดประดังเข้ามา นางจ้องแอนเทคเขม็ง เฟอร์นันโดไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ ถ้าช่วงสั้นๆ ก็ยังพอหลอกได้ แต่พอใช้เวลาด้วยกันนานๆ แล้ว มีหลายๆ เรื่องที่ฟิวรานรู้สึกแปลกๆ
แอนเทคเขยิบถอยด้วยความกลัว “ข้า… ข้าไม่เกี่ยวนะ เฟอร์นันโดเป็นพวกวิตถารที่อยากเป็นหญิง”
เขาไม่กล้าพ่นคำโกหกออกต่อหน้าฟิวราน
ฟิวรานกัดฟันกรอด ไม่พูดอะไรสักคำอยู่นาน แอนเทคกลัวจนขนลุกและกระเถิบมาใกล้ๆ สแตนิส จู่ๆ นางก็ยกมือขึ้นโบก “เจอกันครั้งหน้า ข้าจะทำให้เขากลายเป็นผู้หญิงจริงๆ!”
……
สิบปีต่อมา ปลายฤดูใบไม้ผลิ นครเรนทาโตมีอากาศอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
เฟอร์นันโดยังสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงตัวโปรดของเขา เดินผ่านพวกอัศวินและนักบวชในเมืองอย่างไม่แยแส ไม่นานเขาก็มาถึงโรงแรมโรสต์ฟิช
“ตาเฒ่ากรีน ยังไม่ตายอีกเหรอเนี่ย!” เขาตะโกนก้องทันทีที่เข้าไปในห้อง
เฒ่ากรีนหรี่ตามองเขา “ข้าอยู่อีกนาน ถึงเจ้าจะตายไปแล้ว จดหมายวันนี้”
เขาโยนกองจดหมายให้กับเฟอร์นันโด
สิบปีที่แล้ว หลังจาก ‘ดาบแห่งสัจธรรม’ ถูกศาสนจักรส่งกลับมาพร้อมกับนักบุญสองคน สถานการณ์ก็กลับมาสงบสุข แต่เมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากศาสนจักรตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการเผชิญหน้ากับทัพพันธมิตรของอัลโต้กับเทรีย ชั้นตำนานของศาสนจักรต่างหันไปจัดการเรื่องสัตว์ประหลาดทะเลชั้นตำนานในมหาสมุทรไร้พรมแดน พวกขุนนางโฮล์มก็เริ่มมองหาทางรอดอื่นๆ และไม่ได้ทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน
สถานการณ์รอบใหม่ถึงจุดวิกฤตเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เจ้าแห่งความตายฟื้นพลังเต็มที่และสังหารพระคาร์ดินัลหลวงในการสู้กันตัวต่อตัว หลังจากนั้นมา พวกขุนนางก็ทำเป็นเอาหูไปตาเอาตาไปไร่กับพวกใส่เสื้อคลุมเวทมนตร์ที่เดินถนน ตราบใดที่ไม่ใช่นักบวช ยิ่งไปกว่านั้น หลายต่อหลายคนยังแอบร่วมมือกับนักเวท หวังว่าศาสนจักรจะพลาดท่า และสมดุลอำนาจระหว่างขุนนาง นักเวท และศาสนจักรจะมั่นคงขึ้น
มือที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นตรงหน้าเฟอร์นันโด คว้าจดหมายไปฉีกเปิด ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาเห็นลายมือของแฮททาเวย์งดงามกว่าที่เคย ในจดหมายมีคำถามคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนจนเฟอร์นันโดถึงกับมึน ตาลายเพราะเขาไม่ได้เชี่ยวชาญคณิตศาสตร์เหมือนกับแฮททาเวย์
สิบปีอาจเป็นเวลาสั้นเกินกว่าจะบรรลุจุดสุดสูงสุดในด้านเวทมนตร์ แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างปรมาจารย์คณิตศาสตร์สักคนขึ้นมา!
“สาวคนนี้เก่งเลขไม่ใช่เล่น” เฟอร์นันโดออกความเห็นด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์
กรีนพูดค่อนขอด “เจ้าพูดทำนองนี้มาแล้ว 39 ครั้ง มันยากนักรึไงที่จะยอมรับว่านางเก่งเลขมากกว่าเจ้า?”
เฟอร์นันโดไม่ได้ยินคำที่เฒ่ากรีนพูด เขานั่งลงและจมดิ่งอยู่ในโลกคณิตศาสตร์
“นางเข้าใจฟลักซ์ชั่น ไม่สิ แคลคูลัสทะลุปรุโปร่ง… นางสร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นแล้ว…” ยิ่งเฟอร์นันโดอ่าน เขาก็ยิ่งตกตะลึง
เขาเคยเขียนจดหมายถึงแฮททาเวย์ และเสนอตัวช่วยแนะนำแนวทางด้านคณิตศาสตร์ให้กับนางในช่วงสิบปีก่อน แต่พอเป็นเรื่องฟลักซ์ชั่นที่ยากสุดๆ นางกลับถามแค่คำนิยามพื้นฐาน ฟลักซ์ชั่นถูกดักลาสเปลี่ยนชื่อเป็นแคลคูลัส แต่หนึ่งในจดหมายที่ส่งมาวันนี้ ความรู้เรื่องแคลคูลัสที่แฮททาเวย์อธิบายมันเกินกว่าสติปัญญาของเขาไปแล้ว เขาต้องเรียนรู้เรื่องนี้เสียก่อน!
“นางไปสำเร็จวิชาแคลคูลัสตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เฟอร์นันโดยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ดักลาสเคยพูดขึ้นมาได้ “มีคนๆ หนึ่งเชื่อว่าคำว่าแคลคูลัสฟังดูดีกว่าฟลักซ์ชั่น และนางก็มีส่วนสำคัญในการสร้างระบบนี้ขึ้นมา ข้าเลยตั้งชื่อตามที่นางบอก”
ในตอนนั้น เขาคิดว่าดักลาสพูดถึงเอริก้า ซึ่งแวะมาหาบ่อยครั้ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหญิงคนนั้นคือแฮททาเวย์ นางเขียนจดหมายถึงเขาและดักลาสเรื่องความรู้ในคณิตศาสตร์!
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่นางเก่งถึงขั้นกันสร้างแคลคูลัสร่วมกับดักลาส? เฟอร์นันโดดสีหน้าบึ้งตึง รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ตาเฒ่า แฮททาเวย์ยังเขียนถึงดักลาสไหม?” เฟอร์นันโดเงยหน้าขึ้นมาถาม
ตาเฒ่ากรีนไม่หยุดเช็ดถ้วยกาแฟและตอบเนิบๆ “แน่นอนสิ ก็ความรู้เรื่องเลขของเจ้าเทียบกับดักลาสไม่ได้เลย นางคงไม่มีอะไรจะถามเจ้า ถ้าดักลาสไม่ประจำอยู่ที่อัลลิน”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลังเลที่จะพูดแทงใจดำเฟอร์นันโด
“แต่แคลคูลัสเสร็จสมบูรณ์เร็วกว่าที่ข้าคิดหลายปีเชียวนะ นี่จะเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เวทมนตร์!” เฟอร์นันโดไม่ได้เจ็บใจอะไร แต่กลับพูดด้วยความตื่นเต้น
เตาเฒ่ากรีนอึ้งกับความใจกว้างของเขาไปเหมือนกัน แม้ว่าจะผ่านมาสิบปี แฮททาเวย์ก็ยังคงเป็นเด็กสาวในสายตาเขา
“ดูเหมือนข้าปฏิบัติกับนางอย่างเท่าเทียมตอนคุยกันเสียแล้ว” เฟอร์นันโดวางจดหมายลง ตั้งใจจะมาอ่านต่อหลังจากกลับมา
เฒ่ากรีนมองไปรอบๆ ไม่เห็นใครอยู่ที่นี่ เขาเลยถามเบาๆ “เราจะลงมือคืนนี้ไหม?”
เฟอร์นันโดพยักหน้าด้วยท่าทางสุขุม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดๆ “เจ้า… ต้องระวังตัวหน่อยนะ”
หลังจากฟื้นฟูพลังเต็มที่แล้ว เจ้าแห่งความตายก็เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ยึดเมืองเอกที่มีโครงสร้างพื้นฐานสักเมือง เพื่อวางรากฐานระบบป้องกันที่เขาลอบพัฒนามาเป็นสิบๆ ปี เพื่อสกัดพลังพระเจ้าเสด็จ สิบปีผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่าโป๊บแข็งแกร่งสักเพียงไหน และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้อีกครั้ง จึงต้องวางแผนเตรียมการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ
“เจ้ามั่นใจไหม?” ตาเฒ่ากรีนถามด้วยความกังวล
เฟอร์นันโดพยักหน้า “มั่นใจอยู่แล้ว เพราะพวกขุนนางจะอยู่ข้างเรา!”