กลางดึกคืนนั้น ในห้องนอนใหญ่อันหรูหราของคฤหาสน์…
พ่อของเชอร์ลีย์เดินไปมาด้วยสีหน้ากลุ้มใจโศก ก่อนบ่นกับแม่ของนาง “เพราะความคิดของเจ้าทีเดียว! เจ้าบอกเองว่าถ้ายอมให้มันแต่งงาน ให้มันมาเจอขุนนาง แล้วมันจะปอดแหกทิ้งเชอร์ลีย์ไปเอง แต่สุดท้ายยังไง?” เขากำหมัดแน่น
“ข้าไม่คิดว่ามันจะหน้าด้านขนาดนี้!” แม่ของเชอร์ลีย์พูดอย่างเหยียดหยาม
ฝ่ายพ่อของเชอร์ลีย์ก็ค่อนขอด “เจ้าไม่รู้จักมนุษย์รึไง คนจนๆ อยางมันอยากเป็นขุนนางผ่านการแต่งงาน ยิ่งเราให้มันเห็นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากได้มากเท่านั้น แล้วมันจะยอมทิ้งไปเองรึไง”
“แล้วท่านมาเห็นด้วยกับข้าและยอมให้มันแต่งงานทำไม ถ้าท่านรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว” แม่ของเชอร์ลีย์ตะคอกกลับด้วยความโกรธ “บอกข้ามาสิว่าท่านจะแก้ปัญหายังไง? มันเหมือนเชอร์ลีย์ถูกทำเสน่ห์ด้วยเวทมนตร์ พูดด้วยเหตุผลกับนางไม่ได้! นางยังขู่ว่าจะยอมตาย!”
พ่อของเชอร์ลีย์เปลี่ยนท่าทีเป็นเย็นชา เขาหัวเราะเย้ยหยัน “แน่นอน ข้ามีวิธีแล้วกัน”
แม่ของเชอร์ลีย์ตกใจไปชั่วครู่ “ท่านมีวิธี? วิธีอะไร? ทำไมเจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก?”
คำถามของนางเผยสะท้อนถึงความตื่นตระหนกและความวิตกกังวล
“ข้าส่งคนสะกดรอยตามไอ้หนุ่มนั้น มันหมกหมุ่นกับสมุนไพรและยา มันชอบไปค้นหาพืชแปลกๆ ที่หนองน้ำ” พ่อของเชอร์ลีย์ยกมือขวาขึ้นด้วยท่าทีเลือดเย็น “แล้วเราก็จะส่งนักฆ่ารับจ้างตามเขาไปที่หนองน้ำ แค่นี้ก็จบแล้ว…”
เขาทำท่าปาดคอ
“อะไร? ท่านจะฆ่ามันเลยเหรอ? ท่านไม่กลัวว่าเชอร์ลีย์จะเกลียดเราไปตลอดชีวิตหรือไง? นางขู่จะฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ นะ!” แม่ของเชอร์ลีย์ถามอย่างกระวนกระวาย
พ่อของเชอร์ลีย์ยิ้มเลือดเย็น ”นางจะสงสัยเราได้ยังไง? เราเป็นพ่อแม่แสนดีที่ยอมรับนางแล้ว ถ้าเราอยากจะะฆ่ามัน เราจะยอมให้มันแต่งงานทำไมล่ะ?”
“ท่าน…” แม่ของเชอร์ลีย์เข้าใจได้ในทันใด “เพราะแบบนี้ท่านถึงยอมให้มันแต่งงานสินะ?”
“แน่นอน เรื่องอะไรข้าจะยอมแพ้” พ่อของเชอร์ลีย์พยักหน้า “ตอนกินมื้อเย็น มีหนุ่มๆ ที่ชอบเชอร์ลีย์ดูไม่ชอบขี้หน้ามันอยู่แล้ว เชอร์ลีย์จะคิดว่าพวกเขาเป็นตัวการแน่นอน ความหึงหวงเป็นแรงจูงใจยิ่งใหญ่ให้ก่ออาชญากรรมเสมอ”
“เยี่ยมมาก ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันอีก!” แม่ของเชอร์ลีย์ยิ้มอย่างพึงพอใจ ”ที่รักคะ ท่านฉลาดมาก แล้วท่านจะลงมือเมื่อไหร่คะ? ข้าจะคอยจับตาดูเชอร์ลีย์”
พ่อของเชอร์ลีย์ส่ายหน้า “อย่าใจร้อน อย่างที่ข้าบอก ความหึงหวงเป็นแรงจูงใจยิ่งใหญ่ให้ก่ออาชญากรรมเสมอ หนุ่มๆ พวกนี้ล้วนเป็นขุนนาง พวกเขาไม่ไว้หน้าคนธรรมดาอย่างมันหรอก ลองดูกันไปสักพัก บางทีพวกเขาอาจทำแทนเราก็ได้ เราก็ไม่ต้องเสี่ยงจ้างนักฆ่ารับจ้าง ข้าถึงจัดงานเลี้ยงวันนี้ไง”
“ท่านพูดถูกจริงๆ” แม่ของเชอร์ลีย์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
……
ในห้องพักแขกใกล้อาคารหลักของคฤหาสน์…
ขุนนางสามคนที่เดือดดาลที่สุดในงานเลี้ยงมาแอบคุยกัน
“แอนดรูว์ ข้าโกรธจนทนไม่ไหวแล้ว” ขุนนางที่ผมหยิกคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ
ขุนนางหนุ่มที่ชื่อแอนดรูว์ก็ตอบพูดด้วยอารมณ์หม่นๆ “ข้าก็เหมือนกัน! ข้าชอบเชอร์ลีย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้คลุ้มคลั่ง ถ้าไม่มีนาง ถ้านางแต่งกับขุนนางอื่น ข้าก็คงเสียใจแต่ไม่คิดทำอะไรบ้าๆ แต่นางจะแต่งกับพวกคนชั้นต่ำที่ไม่หวังปลุกพลังโลหิต! มันดูแคลนข้าและเกียรติยศศักดิ์ศรีขุนนางมากเกินไป แล้วข้าจะกล้าเจอหน้าคนอื่นในงานเลี้ยงได้ไง? ‘นี่ เจ้าใช่แอนดรูว์ที่ถูกคนชั้นต่ำแย่งหญิงไปหรือเปล่า?’”
“ข้าก็เหมือนกัน ข้าเกลียดที่ยังฆ่ามันไม่ได้ในตอนนี้!” ชายหนุ่มอีกคนที่มีดวงตาสีอำพันโบกกำปั้นไปมา
ขุนนางที่พูดคนแรกพยักหน้า ”ข้าคิดเหมือนกัน แต่มันเป็นคู่หมั้นของเชอร์ลีย์แล้ว ถ้าเราทำอะไรลงไป ข้ากลัวว่าตระกูลเบรนเซลล์จะไม่พอใจ พวกเขามีอิทธิพลมากในแถวนี้”
เขาดูหงุดหงิดมาก เบรนเซลล์เป็นชื่อตระกูลของเชอร์ลีย์
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบที่กระอักกระอ่วน
แล้วแอนดรูว์ก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ “อันที่จริง เราไม่ต้องลงมือเองก็ได้นี่”
“ฮะ?” สหายร่วมอุดมการณ์ทั้งสองมองเขาด้วยความสงสัย
แอนดรูว์ยิ้ม ”ข้ารู้จักผู้พิทักษ์ราตรี เราก็แค่ใส่ไฟว่าไอ้เด็กนั่นเป็นนักเวทฝึกหัด”
“มันเป็นนักเวทฝึกหัดรึ?” ขุนนางตาสีอำพันถามด้วยความตกใจ
“อาจเป็น หรืออาจไม่เป็น แต่มันจะเป็น” แอนดรูว์พูดอย่างเย็นชา
โถๆ! ขุนนางอีกสองคนซึ่งคุ้นเคยกับอุบายนี้ดี ก็เข้าใจความหมายของแอนดรูว์
ขุนนางที่ผมหยิกถามอีกข้อหนึ่ง “แต่ถ้าบารอนเบรนเซลล์ไปช่วยเขาล่ะ?”
แอนดรูว์หัวเราะคิกคักๆ ”ตั้งแต่ที่ศาสนจักรยึดครองอัลโต้ พวกนักเวทต่างก็หลบซ่อนตัวลับๆ ผู้พิทักษ์ราตรีไม่ได้ลิ้มเลือดพวกชั่วนั่นมานานแล้ว ได้ข่าวว่าผู้นำคณะไต่สวนไม่ค่อยพอใจ เพราะกลัวว่าผู้พิทักษ์ราตรีจะถูกด้อยค่า ผู้พิทักษ์ราตรีคงไม่ปล่อยให้เบาะแสเรื่องนักเวทหลุดมือไปแน่ ตราบใดที่เราหา ‘หลักฐาน’ มาได้ก่อนที่บารอนเบรนเซลล์จะเข้ามาช่วย และบีบให้มันรับสารภาพ ท่านบารอนจะกล้าหือกับคณะไต่สวนกับศาสนจักรเหรอ?”
“ถ้าไม่มีหลักฐาน เราก็จะปล่อยให้มัน ‘ตาย’ เพราะถูกไต่สวนอย่างหนักก่อนที่ท่านบารอนจะมาช่วยชีวิต มันก็แค่ชนชั้นต่ำ ไม่มีใครสนใจมันหรอก” ขุนนางตาสีอำพันช่วยเติมแผนการ
ขุนนางที่ผมหยิกพูดขึ้นด้วยความกังวล “แต่ผู้พิทักษ์ราตรีชินกับ ‘การใส่ความ’ แล้วหรือเปล่า? ต่อไปเราจะไม่ซวยเพราะเรื่องนี้เหรอ?”
“เจ้างั่ง เราเป็นขุนนาง!” แอนดรูว์แดกดัน “เอางี้ รวบรวมเงินกันมา มันจะช่วยให้ผู้พิทักษ์ราตรีที่ข้ารู้จักเชื่อเราง่ายขึ้น”
ขณะทั้งสามคนกำลังวางแผนกันอย่างดุเดือด มีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู นางถือถาดอาหารในมือขวา ส่วนมือซ้ายหยุดกึกก่อนถึงประตู ราวกับว่านางกำลังจะเคาะประตู
นางหน้าซีด นางได้ยินทุกคำที่พวกเขาคุยกันข้างใน
นางเป็นมนุษย์ที่มีพลังโลหิตพิเศษ ถึงแม้นางยังไม่ได้ปลุกพลังและขึ้นชั้นเป็นอัศวิน แต่นางมีความสามารถในการได้ยินที่ยอดเยี่ยม และเบรนเซลล์ก็นางดูแลแขกในห้องด้วยเหตุผลข้อนี้
สาวใช้กั้นหายใจ และค่อยๆ ถอยออกมาจากประตู ก่อนจ้ำอ้าวที่ห้องนอนใหญ่
“ดีมาก เจ้าทำได้ดีมาก เดี๋ยวข้าจัดการเอง ห้ามบอกลูกสาวข้า ไม่งั้นนางจะกังวล” บารอนเบรนเซลล์พูดด้วยท่าที “โกรธ”
ฮ่าๆ แผนนี้ดี ผ่านพรุ่งนี้ไป ข้าก็ต้องช่วยวิเซนเต้ มิแรนดา อีกแล้ว เชอร์ลีย์ ลูกจะโทษพ่อไม่ได้ พ่อก็หวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง… เขาซ้อมว่าคำพูดที่จะใช้ปลอบเชอร์ลีย์ ถ้าวิเซนเต้ถูกจับแล้ว ก็น่าจะต้องฝังนังสาวใช้คนนี้ในสวน
ไม่มีที่ติ
เช้าวันรุ่งขึ้น สาวใช้ซึ่งฝันร้ายมาทั้งคืนตื่นแต่เช้าและนำอาหารเช้าไปให้แขก แต่กลับพบว่าแอนดรูว์และแก๊งขุนนางหนุ่มหายตัวไปแล้ว
พวกเขาลงมือแล้วเหรอ? สาวใช้คิดกังวล ท่านหญิงเชอร์ลีย์มีเมตตาให้คนรับใช้และไม่เคยทำร้ายใครเลย นางคงเสียใจมากถ้าคู่หมั้นมาตาย ท่านบารอนมีเวลาพอจะหยุดพวกเขาไหม?
ด้วยความเป็นห่วง นางถือวิสาสะไปหาเชอร์ลีย์ที่ห้องนอน แล้วนางก็ได้ยินเสียงร้องเพลงอย่างมีความสุขของหญิงสาว
ท่านหญิงมีความสุขมาก…
นางคิดไตร่ตรองและคิดว่าจะให้เชอร์ลีย์ไปบอกวิเซนเต้ให้ซ่อนตัวจนกว่าบารอนจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่
เท่าที่นางรู้ แอนดรูว์มีอำนาจกว้างขวางกว่าเจ้านายของนางมาก นางจึงกังวลว่าบารอนเบรนเซลล์จะยับยั้งเหตุไม่ทัน
นางมะงุมมะงาหราอยู่หน้าประตูและตัดสินใจไม่ถูก ใจหนึ่งก็เพราะท่านหญิงปฏิบัติต่อนางดีมาตลอด อีกใจหนึ่งก็เพราะเป็นคำสั่งของบารอน
จู่ๆ ประตูก็เปิดออก แล้วเชอร์ลีย์ก็มองนางด้วยความสับสน ไม่รู้ว่านางมายืนอยู่หน้าประตูทำไม
หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เชอร์ลีย์ก็ถามนางอย่างนุ่มนวล “นีซ เจ้ามีปัญหาอะไรไหม? มีอะไรที่ข้าช่วยหรือเปล่า?” นางคิดว่านีซน่าจะมาขอความช่วยเหลือจากนาง
นีซตัวสั่นและตัดสินใจแล้ว นางมองไปรอบๆ และกระซิบเสียงเบาๆ “คุยกันในห้องค่ะ”
หลังจากปิดประตู เชอร์ลีย์ก็ได้ยินฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากนีซ
นางหน้าซีดลงทันที แล้วความกังวลผุดขึ้นในใจ ถ้าข้อกล่าวหาไม่มีมูล นางเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยตราบใดที่นางขอให้พ่อช่วย แต่มีศพที่วิเซนเต้กำลังผ่าศึกษาอยู่ในห้องใต้ดิน!
ถ้าผู้พิทักษ์ราตรีไปเจอเข้า ใครจะเชื่อว่าเขาไม่ใช่นักเวท นอกจากนางคนเดียวเท่านั้น?
พ่อแม่ของนางไม่ชอบวิเซนเต้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย ถ้าไม่มีเรื่องศพ ทั้งสองก็อาจช่วยเขา แต่แน่นอนว่าถ้ามีเรื่องศพเข้ามา ทั้งสองก็คงไม่ช่วยรับรองให้
ไม่สิ ข้าต้องรีบบอกวิเซนเต้ให้ทำลายศพ หรือเอาไปทิ้งในบึง! เชอร์ลีย์เดินไปเดินมาด้วยความกังวล ก่อนตัดสินใจไปหาวิเซนเต้ที่บ้าน
นางคิดจะขอให้รับคนใช้หรือยามที่วิ่งเร็วกว่านางเป็นคนส่งข้อความ แต่นางไม่อาจบอกใครเรื่องศพได้!
……
ณ สุสานกลางแห่งใหม่…
ตาจอร์จหัวล้านทิ้งโอลิเวอร์ไว้กับสัปเหร่ออีกคน เพราะคนดูแลสุสานเองก็เพิ่งถูกฝังในสุสานวันนี้ และยังไม่มีใครมาทำงานแทน จอร์จถูกสั่งให้มาดูแลสองสามวัน และคอยจุดพลุสัญญาณเตือนถ้ามีวี่แววของพวกผีดิบ ผู้พิทักษ์ราตรีจะได้มาจัดการทันเวลา
แน่นอนว่าจอร์จไม่ยอมอยู่เฝ้าสุสานที่น่าขนลุกด้วยตัวเอง เขาจึงทิ้งโอลิเวอร์ไว้ที่นี่ ถ้าเจ้ากล้าพอจะจีบลูกสาวข้า ข้าจะบอกเลยว่าข้าคือเจ้าเรือนชะตาของเจ้า!
ถ้าเขาไม่กังวลว่าโอลิเวอร์จะหนีไป เขาคงไม่ทิ้งสัปเหร่ออีกคนไว้กับเขา
โอลิเวอร์ทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ความภาคภูมิและความมั่นใจบนใบหน้าหนุ่มฉกรรจ์ของเขาถูกความด้านชาและความอดทนเข้ามาแทนที่ หัวใจของเข้าก้าวผ่านวัยไปแล้ว
“ความรักเป็นเสมือนเทียนเล่มเดียวในโลกแห่งเวทนาใบนี้…” เขาพูดเสียงแผ่วเบา แม้ว่าลูกสาวของจอร์จจะไม่สวยและไม่ใช่แบบที่เขาชอบ แต่นางก็ปลอบประโลมใจที่สิ้นหวังของเขา
เขามองดูเพื่อนร่วมงานที่ตั้งท่าพร้อมรบตลอดเวลา แล้วโอลิเวอร์ก็ออกเดิน
“ถ้าเจ้ากล้าหนี ข้าจะจับเจ้าฝังทั้งเป็น!” สัปเหร่ออีกคนขู่เขา
โอลิเวอร์อารมณ์ไม่ค่อยดี ช่วงนี้เขารื่นรมย์กับการถูกตี หลังออกจากกระท่อมของคนดูแลเฝ้าสุสาน เขาก็เดินเตร็ดเตร่ในสุสาน กลิ่นเหม็นที่ส่งกลิ่นรุนแรงทำอะไรเขาไม่ค่อยได้แล้ว
“พระจันทร์สวยจัง แต่ทำไมข้าเศร้า…” โอลิเวอร์แหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่สว่างไสว เขามีอารมณ์อยากเขียนบทกวีขึ้นมา แต่พอเขากำลังจะเขียน เขาก็เหยียบลงบนความว่างเปล่าและกรีดร้องว่า “อ๊าาาาาา!”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
พื้นที่ส่วนใหญ่ของสุสานพังทลาย เผยให้เห็นกระดูกและเนื้อเน่านับไม่ถ้วน สัปเหร่อขี้เกียจๆ ก็เลยกลบดินไม่เสมอกัน
………………………………………………………………………………………………….