กลิ่นเหม็นลอยโชยมาจากโคลนเน่า หมาป่าตัวหนึ่งทะเร่อทะร่าตกลงไปในโคลนด้วยความตื่นตระหนก มันร้องโหยหวน พยายามสะบัดขาให้หลุดจากโคลน แต่กลับติดหล่มลึกลงไปเรื่อยๆ จนโคลนกลืนไปถึงหู จมูก และจนเสียงโหยหวนหายไป
นั่นเป็นภาพที่วิเซนเต้ตอนเขากลับมาที่บึง ที่ที่เขาซ่อนตัวมาตลอดตอนนี้กลับมีชายชุดดำที่น่าขนลุกมาจับจองอยู่
ทุกส่วนของผู้ชายที่โผล่มาให้เห็นมีเพียงกระดูก เปลวไฟสีแดงเพลิงเหมือนเข็มกำลังเต้นเร่าๆ ในเบ้าตากลวงโบ๋ เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยลวดลายประหลาดที่เย็บด้วยเส้นด้านสีทอง
พอเห็นวิเซนเต้กลับมา เขาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หม่นหมองราวกับความตาย “เจ้าไปไหนมา? ตัวแทนจากสภาเวทมนตร์กำลังมา”
วิเซนเต้ตอบแบบเรียบเฉย “ข้ากลับไปเยี่ยมบ้าน และจัดการอะไรบางอย่าง”
อีกอย่าง ข้าไปรับเชอร์ลีย์มาด้วย
“เยี่ยมบ้าน? จัดการบางอย่าง? เจ้าได้ทำลายโบสถ์และคณะไต่สวนของเมืองหรือเปล่า” ลิชในเสื้อคลุมสีดำตะคอกออกมาด้วยความตกใจและโกรธ “เจ้ารู้ไหมว่ากำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้เรา? เจ้าอยากให้องค์กรของเราถูกทำลายเหรอไง?”
ในตอนนี้ศาสนจักรกุมความได้เปรียบ การสังหารหมู่ด้วยน้ำมือของนักเวทศาสตร์มืดย่อมเป็นการยั่วยุชั้นดี มันอาจนำไปสู่การตามล่านักเวทชั้นตำนาน!
“คอนกุส นี่มันเป็นเรื่องของข้า ถ้าเจ้าไม่พอใจ ข้าถอนตัวออกจากกลุ่มก็ได้” วิเซนเต้ตอบเรียบๆ ไม่โต้แย้ง
ลิชก็คือผู้วิเศษคอนกุส ผู้นำกลุ่ม “มหาวิญญาณ” ในศึกเมืองโคคัส เขาเอาชีวิตรอดมาได้ก็ด้วยวิชาถอดหัวใจของสำนักเวทมนตร์ศาสตร์มืด แต่กลุ่ม “มหาวิญญาณ” ก็เสียหายหนัก และมีสมาชิกไม่กี่คนที่หนีรอดมาได้ เขาต้องกบดานอยู่พักใหญ่
ไม่กี่ปีต่อมา พอเรื่องซาลง เขาออกจากแหล่งกบดานและหาทางจัดกลุ่ม “มหาวิญญาณ” ขึ้นใหม่ แล้วรู้ข่าวว่าศาสนจักรค้นหามิติพิเศษของเจ้าแห่งความตายไม่เจอ ซึ่งดูเหมือนประตูมิติจะปิดไปโดยอัตโนมัติ เขาจึงกลับมาที่ป่าหนองน้ำใกล้ๆ เมืองโคคัส ค้นหาเบาะแสไปสู่มิติพิเศษของเจ้าแห่งความตาย แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะพบกับวิเซนเต้ มิแรนด้า นักเวทศาสตร์มืดที่ศึกษาด้วยตนเอง ที่ป่านหนองน้ำแห่งนี้
ทั้งที่มีเพียงตำราเวทมนตร์ศาสตร์มืดธรรมดาๆ และอุปกรณ์ในเขตป่าหนองน้ำก็ไม่ครบครัน แต่ชายผู้นี้ยังพัฒนาจนเป็นนักเวทได้ด้วยเวลาเพียงสองสามปี ด้วยความตั้งใจปรับโครงสร้าง “มหาวิญญาณ” ใหม่ คอนกุสจึงชื่นชมและชวนวิเซนเต้เข้ากลุ่ม “มหาวิญญาณ” และสัญญาจะให้คำแนะนำต่างๆ กับเขา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยี่สิบปีต่อไปทำให้คอนกุสก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง อาจเป็นเพราะขาดการศึกษาเวทมนตร์อย่างเป็นทางการ วิเซนเต้ มิแรนด้า คนนี้มีความคิดขัดแย้งกับหลักการของเวทมนตร์ศาสตร์มืดมากมาย แต่ด้วยเหตุดังกล่าว เขาก็ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปรับปรุงหลักการของเวทมนตร์ศาสตร์มืด เขาค้นพบผลการศึกษาสำคัญๆ เรื่องโครงสร้างร่างกายและการไหลเวียน โลกก็เกิดปรากฏการณ์ตอบรับเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาพัฒนาถึงระดับเก้าด้วยความเร็วที่คอนกุสนึกไม่ถึง!
อายุยี่สิบแปดปี เริ่มจากศูนย์จนมาเป็นผู้วิเศษ เขาเป็นอัจฉริยะที่เหนืออัจฉริยะ แม้แต่ในยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิเวทมนตร์ เท่าที่คอนกุสรู้ก็มีไม่กี่คนที่พอเทียบได้ แม้แต่ธานอส “ราชันสุริยัน” ที่รู้จักกันว่าเป็นนักเวทที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังใช้เวลานานกว่าที่วิเซนเต้ เนื่องจากความพิเศษในเทวลิขิตที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
แน่นอนว่าคอนกุสเองยังได้รับประโยชน์มากมายจากการค้นพบของวิเซนเต้ ถ้าได้รวมพลังกับหลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์และแคลคูลัสพื้นฐานจากสภาเวทมนตร์ โลกปัญญาของเขาคงเข้าใกล้สภาพวะกึ่งบรรลุแล้ว และเขามั่นใจว่าพัฒนาถึงระดับชั้นตำนานภายในห้าสิบปี
คอนกุสจึงมีความรู้สึกซับซ้อนต่อวิเซนเต้ เขาวางแผนที่เคี่ยวเข็นและดูแลชายคนนี้เป็นลูกศิษย์ แต่ชายคนนี้กลับแข็งแกร่งพอๆ กับเขาอย่างรวดเร็ว ตัวเขาเองมัวแต่ยุ่งอยู่กับการก่อตั้งองค์กรขึ้นใหม่ จนไม่มีสั่งสอนเขาเป็นจริงเป็นจัง
แต่คอนกุสก็ไม่คิดกดวิเซนเต้เป็นเบี้ยล่างเพื่อควบคุมพลังของเขา เพราะเขารู้ว่าวิเซนเต้ต้องเสียสละเนื้อหนังให้กับอุปกรณ์พิเศษบางอย่าง ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่อาจพัฒนาเป็นนักเวทในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่และอุปกรณ์ที่ขาดแคลนแบบนี้ ถ้าเขาต้องการขึ้นชั้นตำนาน เขาต้องค้นพบทฤษฎีที่อธิบายได้และใช้เวลามากกว่าคอนกุส เมื่อถึงตอนนั้น วิเซนเต้นับถือเขาด้วยความเคารพโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย
เมื่อได้ยินคำตอบเย็นชาแบบไม่คิดอะไรของวิเซนเต้ คอนกุสก็ระงับโทสะลงและพูดว่า “มันจะไม่เกิดขึ้นอีกใช่ไหม?”
“มี ‘หมาบ้า’ ในเมืองโคคัส” วิเซนเต้ตอบโดยไม่ปิดบัง
“ผู้พิทักษ์ราตรีคนเดียวรึ?” คอนกุสโล่งอก “ข้าจะขอให้สาขาของเราและกลุ่มอื่นๆ เก็บตัวเงียบๆ สักพัก”
วิเซนเต้พยักหน้า “ใครมาจากสภาเวทมนตร์?”
เขาค่อนข้างสนใจเพราะเขาได้อ่านหลักคณิตศาสตร์ของปรัชญาเวทมนตร์และแคลคูลัสพื้นฐานในที่พักของคอนกุสมาแล้ว และรู้สึกอึ้งกับแนวคิดมาก เขายังประยุกต์ใช้ในการศึกษาโครงสร้างร่างกายและการไหลเวียน ถ้าไม่เข้าใจแคลคูลัส ก็คงไม่สามารถสร้างต้นแบบเวทมนตร์หรือสร้างผลงานใหม่ๆ ออกมาเป็นสถิติอย่างง่ายดาย ไม่ว่าเขาจะเก่งกาจเพียงใดก็ตาม
แม้เขาจะดูเฉยชา แต่เขาก็ปรารถนาจะได้พบกับเดอร์ริก ดักลาส ผู้แต่งหนังสือทั้งสองเล่ม
คอนกุสลอยมาตรงหน้าวิเซนเต้ “เขาชื่อเฟอร์นันโด เป็นนักเขียนร่วมของแคลคูลัสพื้นฐาน”
เขาเองก็มีความรู้สึกซับซ้อนต่อสภาเวทมนตร์ ใจหนึ่ง เขาต่อต้านแนวคิดผนวก “มหาวิญญาณ” แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็ชื่นชมพวกเขาที่เผยแพร่หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์และแคลคูลัสพื้นฐานให้กับคนอื่นๆ
“ข้าขอพบเขาหน่อย” วิเซนเต้จับกระเป๋าเวทมนตร์ในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา
……
ณ กลางป่าที่มหาวิญญาณถูกซ่อนอยู่…
วันนี้มีการจัดงานเล็กๆ ขึ้นงานหนึ่ง ผู้คนจะมาแลกเปลี่ยนอุปกรณ์เวทมนตร์และตำรับตำรากัน ที่นี่จึงมีชีวิตชีวาและเสียงผู้คนจอแจ วิเซนเต้กับคอนกุสเดินอ้อมพื้นที่จัดงานเข้าไปยังปราสาทใต้ดิน
“การประชุมจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง” คอนกุสนั่งอยู่ที่โต๊ะ
วิเซนเต้นิ่งเงียบ เขาหยุดตรงหน้าชั้นหนังสือของคอนกุส หยิบหนังสือเล่มหนาๆ ออกมาตั้งใจอ่าน
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนั้นเอง นักเวทแผนกต้อนรับก็นำทางหญิงสาวที่มีความสว่างไสวไม่ต่างจากเปลวไฟเข้ามา
“เฟอร์นันโด?” คอนกุสถามด้วยความไม่แน่ใจเพราะสาวสวยคนนี้ไม่น่าจะใช่เฟอร์นันโด
เฟอร์นันโดพยักหน้า ”พวกผู้พิทักษ์ราตรีคอยจับตาดูข้า ข้าต้องปลอมตัวนิดหน่อยก่อนออกมา”
เขาดึงเข็มขัดออก หน้าอกหน้าใจของเขาหายวับไป และกลายเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลารางกายกำยำ
เห็นการแปลงกายแบบนั้น วิเซนเต้ถึงพูดออกไปด้วยความรังเกียจ “โรคจิต”
คนที่เกิดมาเป็นคนธรรมดาๆ อย่างเขาให้ความเคารพต่อขอบเขตทางเพศเสมอ ถ้าเขาต้องปลอมตัว เขาคงเน้นที่ความสูงและรูปร่างภายนอกมากกว่า
เฟอร์นันโดควันออกหู ”ยังดีกว่าเจ้าที่ทำให้ทุกคนแทบอ้วกตั้งแต่เห็นหน้า!”
วิเซนเต้ไม่ตอบโต เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมีปากเสียงกับเขา
เฟอร์นันโดเสียหน้าไปหลังจากเสียงคำรามของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง เขาจึงหันไปหาคอนกุส ”ข้าอยากพบผู้เขียน ‘ทฤษฎีโครงสร้างร่างกายและการไหลเวียน’”
ไม่นานมานี้ คอนกุสได้รวบรวมงานวิจัยของวิเซนเต้เป็นหนังสือ และแลกเปลี่ยนกับการค้นพบล่าสุดของดักลาส เฟอร์นันโด และ “ท่านหญิงซิลเวอรี” ผู้ลึกลับอีกคน
คอนกุสยกมือโครงกระดูกของเขาชี้ไปทางวิเซนเต้ ”เจ้าเพิ่งพบเขา”
“ฮะ?” เฟอร์นันโดที่ขึ้นเป็นผู้วิเศษ ก็สังเกตเห็นว่าวิเซนเต้อายุน้อยแค่ไหน ซึ่งก็เป็นระดับผู้วิเศษเหมือนกัน!
ในงานพบปะด้านนอก…
โอลิเวอร์ที่ตอนนี้ไว้หนวดไว้เคราเข้าร่วมงานเทศกาลเวทมนตร์ที่มีชีวิตชีวากับเหล่าสหายเป็นครั้งแรก เขามองหานักเวทที่สาวงามไปพลาง หาตำราเวทมนตร์ไปพลางอย่างสบายใจ
ผ่านมายี่สิบปี ก็เพราะยังขาดตำราและคำแนะนำดีๆ เขาเลยยังอยู่แค่ระดับห้า
“หลักคณิตศาสตร์แห่งปรัชญาเวทมนตร์ แคลคูลัสพื้นฐาน… คืออะไรกันแน่?” เพราะมัวแต่ย้ายที่ซ่อนตัวไปเรื่อยๆ โอลิเวอร์แทบไม่ได้เข้าร่วมการประชุมที่ไหนเลย เขาแทบไม่รู้จักอุปกรณ์และหนังสืออีกหลายๆ เล่ม
พ่อค้ามองหน้าเหมือนเขาเป็นคนบ้านอกคอกนา “ลองอ่านดู แล้วจะเข้าใจ”
“ฮะ ข้าอ่านได้เหรอ” โอลิเวอร์หยิบหนังสือขึ้นมาหลายเล่ม
ไม่นาน เขาก็ลืมเรื่องสาวๆ นักเวท และบรรยากาศรอบๆ ตัว เขาจมอยู่ในโลกหนังสือ
หนังสือพวกนี้!
ทฤษฎีพวกนี้!
……
ภายในหอประชุมพิสุทธิ์ ณ แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์…
อะราเดลีน นักบวชแดงระดับเก้า เดินเข้าไปในหอระชุมอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเกรงขาม เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยต่อหน้าพระสันตะปาปาเกรกอรีที่เขาเคารพ
ช่วงต้นปี พระองค์ทรงปลิดชีพเทพีปฐพีด้วยพลัง “พระเจ้าเสด็จ” ขับไล่นักเวท พวกโลกมืดมิด และพวกศาสนานอกรีตเข้าสู่เทือกเขาแห่งความมืดจนหมด และยังถือเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาส ซึ่งเป็นอาณาจักรสุดท้ายในบรรดาอาณาจักรเวทมนตร์ทั้งสามแห่ง!
หลังจากถวายความเคารพต่อพระสันตะปาปา อะราเดลีนก็เห็นว่าอีวาน นักบุญที่แข็งแกร่งที่สุด ก็อยู่ในหอประชุมพิสุทธิ์ และรอคำบัญชาจากโป๊บเหมือนกัน
“เจ้าไปจัดหน่วยพระคาร์ดินัลหลวงและอัศวินชั้นตำนาน ลาดตระเวนตามชายแดนเทือกเขาความมืด เตรียมพร้อมพิชิตที่นั่นในอีกสิบห้าปี” โป๊บเกรกอรีคำนวณเวลาที่ต้องพักฟื้นและบวกไปอีกเล็กน้อย
อีวานผู้มีความหล่อเหลาสมเป็นชายน้อมรับคำสั่ง “รับบัญชาขอรับ พระคุณเจ้า”
พอเห็นอีวานเดินออกไป เกรกอรีก็หรี่ตาลง แม้เขาไม่คิดว่าจะมีนักบุญทรยศเพราะเรายังมีไพ่ตายอย่างคำสั่งคว่ำบาตรอยู่ในมือ แต่เขาก็ทำอะไรรอบคอบเสมอ เช่นครั้งหนึ่งเขาประเคนงานหนักๆ ให้อีวานจนยุ่งอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็เทือกเขาแห่งความมืด และไม่ยอมให้กลับขึ้นแดนเหนือที่ๆ โตมา แล้วยังจับพระคาร์ดินัลที่สนิทกับอีวานสองสามคนให้แยกย้ายไปยังสังฆมณฑลอื่นๆ
เงียบไปอึดใจหนึ่ง เกรกอรีก็พูดกับอะราเดลีนสุภาพๆ “เราขอแต่งตั้งเจ้าเป็นบิชอปแห่งอาสนวิหารหิมะ ภูมิภาคเหนือ จักรวรรดิชาชราน เราหวังว่าเจ้าจะทำงานเข้ากับเฟลิกซ์ได้ดี”
การส่งคนของตัวเองไปยังดินแดนตอนเหนือก็เป็นความรอบคอบของเขาเช่นกัน
“มิต้องกังวลขอรับ พระคุณเจ้า” อะราเดลีนตอบอย่างกังวล
………………………………………………………………………………………