บทที่ 251 ตัวตนเหนือธรรมชาติ (1.2)
แม้แต่ในความทรงจำของดันดาเลี่ยนก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสกายลอร์ด ทุกสิ่งที่ทุกคนรู้คือมันเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งหายนะ นอกเหนือจากการที่มันถูกสร้างเพื่อหยุดเดียโบลแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งใดอีก
“บาอัลแตกต่างจากเรา บางทีเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เราไม่มีทางคิดออกหรอกว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ “
ขนาดเกรโมรี่ยังพูดแบบนี้ แสดงว่าในหมู่เทพปีศาจด้วยกันบาอัลก็ยังถือเป็นตัวตนที่แตกต่าง
‘พวกเทพปีศาจต้องเคยเป็นมนุษย์แน่ๆ’
มูยองมั่นใจมากกว่าเดิม ความเป็นไปได้ดังกล่าวมาจากการที่ดันดาเลี่ยนมีชื่อเรียกของมนุษย์ด้วย และพออ่านความทรงจำหลังจากจัดการกับเลราเจแล้วก็ยิ่งมั่นใจ
บางทีสิ่งที่ทำให้บาอัลแตกต่างจากเทพปีศาจตนอื่นก็คือ ตัวตนดั้งเดิมของมันอาจไม่ใช่มนุษย์
มูยองคิดอยู่พักหนึ่งว่าบางทีสิ่งที่เทพปีศาจเป็นกังวลก็คือการที่พวกมันเคยเป็นมนุษย์มาก่อนนี่แหละ เพราะนั่นอาจเป็นจุดอ่อนของพวกมัน แต่จะให้ไปถามเกรโมรี่ตรงๆก็อาจกระทบกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงตอนนี้
ยังไงก็ตาม เขาไม่สามารถปฏิเสธความอยากรู้ได้ดังกล่าว มนุษย์กลายเป็นเทพปีศาจได้อย่างไรทั้งๆที่เป็นสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันมาก
“เจ้าต้องมีคำถามมากมายแน่”
“ผมไม่ใช่ปีศาจ คุณช่วยผมไม่ได้หรอก”
“…เจ้าเป็นมนุษย์สินะ”
ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งของเกรโมรี่ทำให้เธอเดาต้นกำเนิดของมูยองออก และมูยองก็ไม่ได้พยายามปกปิดอะไร
เกรโมรี่หลับตาลงขณะพูดคุยต่อ
“ถ้าบาอัลเป็นผู้สร้างสกายลอร์ด มันจะต้องมีความหมายลึกๆซ่อนอยู่แน่ และบางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของเขา…”
“การปรากฏตัวของใครกัน?”
“ยังไงซะเจ้าก็อยู่ภายใต้การบัญชาของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ปิดบังเจ้า โซโลมอนและเดียโบลสังหารเฮอเรสไปแล้ว และตอนนี้พวกเขาอยู่ที่นี่”
มูยองนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง โซโลมอนอยู่ในโลกปีศาจงั้นเหรอ?
เหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่าโซโลมอนกับเดียโบลอยู่ด้วยกัน มันตอกย้ำความจริงที่ว่าเหล่าเทพปีศาจเกลียดชังโซโลมอนเพียงใด เกรโมรี่เองก็ไม่ต่างกันเพราะตอนนี้สายตาของเธอปรากฏทั้งความหวาดกลัวและเกลียดชังออกมาอย่างเปิดเผย
“เหล่าเทพปีศาจต้องร่วมมือกันสักที”
“พวกมันไม่รู้ว่าโซมอนควบคุมเดียโบลอยู่เลยไม่จริงจังกับเรื่องนี้”
มูยองกำลังคิดว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ได้หรือไม่?
ในช่วงเวลาดังกล่าวฝ่ายพันธมิตรกำลังมุ่งเน้นไปที่การกำจัดฝ่ายปฏิปักษ์ และโซโลมอนจะเป็นตัวสร้างความปั่นป่วนให้แก่พวกมัน
“ปล่อยข่าวลือออกไป”
“การปรากฏตัวของโซโลมอนนะหรือ?”
“ปล่อยข่าวออกไปว่าโซโลมอนฆ่าเฮอเรสกับเลราเจ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้น”
ความสงบของเหล่าปีศาจจะต้องเกิดปัญหาขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของฝ่ายเขาเนื่องจากปีศาจภายใต้การควบคุมของเกรโมรี่ต่างสนใจเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น พวกมันรวมตัวกันอย่างเต็มที่ด้วยความภักดีไร้ข้อกังขาอยู่แล้ว
“พวกมันคงไม่เชื่อกันง่ายๆ”
มันออกจะดูเป็นเรื่องน่าขำสักหน่อยหากจะมองว่าโซโลมอนสังหารแต่ปีศาจฝั่งพันธมิตร ยังไงก็ตามมูยองแสดงออกอย่างจริงจัง
“ผมคิดว่าปีศาจฝ่ายนั้นก็ไม่ได้กลมเกลียวกันอย่างที่คิด จะต้องมีบางคนในกลุ่มนั้นทำตัวเป็นนกสองหัวอยู่แน่ๆ “
“….”
เกรโมรี่ถึงกับพูดไม่ออก
เป็นเหมือนที่มูยองคาดไว้
“พอเทพปีศาจทั้ง 4 มารวมตัวกันแล้ว ให้พวกเขาปล่อยข่าวลือนี้ออกไป แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับการทำให้ความไว้วางใจสั่นคลอน”
“เจ้าต้องการให้ราชาปีศาจแตกคอแล้วเข่นฆ่ากันเอง”
“นั่นไม่ใช่หนทางเดียวที่ผู้อ่อนแอจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งได้เหรอ? และถ้าเราชนะ พวกเราก็จะอยู่เหนือพวกมัน”
ฝ่ายพันธมิตรส่วนใหญ่ต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อื่นนอกเหนือจากเผ่าพันธุ์ปีศาจของตนเอง
ในทางตรงกันข้ามฝ่ายปฏิปักษ์ต้องให้คงสถานะเดิม หรือไม่ก็ต้องการรูปแบบการอยู่ร่วมกัน
เกรโมรี่หัวเราะเบาๆ
“มันแทบไม่ต่างกับการปาไข่ใส่ก้อนหิน แต่เมื่อไม่มีทางเลือกเราจะพยายามทำทุกอย่างที่สามารถเป็นไปได้”
เหตุผลเป็นสิ่งสำคัญ และแน่นอนว่ามูยองมีเหตุผล เขามองไปที่สกายลอร์ดอีกครั้ง
‘ถ้าวิเคราะห์จุดประสงค์ของสกายลอร์ดได้ ก็จะรู้ถึงความตั้งใจของบาอัล’
ย่อมไม่มีใครสามารถทราบได้ในทันที แต่ขณะตามล่าเหล่าเทพปีศาจจุดประสงค์ของสกายลอร์ดจะต้องถูกเปิดเผย
‘ก่อนอื่นฉันควรฝึกให้ตัวเองเก่งกว่านี้ก่อนที่เทพปีศาจจะมารวมตัวกัน’
เขาต้องการเวลาในการปรับตัวเข้ากับพลังใหม่
มูยองเป็นดั่งอาวุธลับ แต่ถ้าอาวุธนั่นไม่สามารถใช้งานได้ตามต้องการก็คงไร้ประโยชน์ และมูยองต้องทำให้มั่นใจเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น
….
ดวงดาวสีแดง และสีน้ำเงินที่กำลังเฉิดฉายอยู่คู่กันบนท้องฟ้า
ไฮซินท์หญิงสาวเลอโฉมกำลังแหงนมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“ในที่สุดราชาของฉันก็กำลังมาแล้ว”
ไฮซินท์ผู้เป็นดั่งเทพธิดากำลังอยู่ในร่างไร้อาภรณ์ แต่ทว่าอัศวินทั้งสิบที่ยืนอยู่ข้างๆเธอกลับไม่มีใครกล้าแม้กระทั่งชำเลืองตามองเธอ
“สุดท้ายคุณก็กลับมาหาฉัน”
ไฮซินท์เฝ้ารอคอย
นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากการแยกตัวออกจากปีศาจนภา เธอก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่งราชาของเธอจะต้องกลับมาและสุดท้ายเวลานั้นก็มาถึง
“ฉันต้องเตรียมตัวต้อนรับเขาให้ดีที่สุด”
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายมากกว่าตอนไหนๆ เธอหันศีรษะไปพูดกับอัศวิน
“ไปบอกพระสันตะปาปาหน่อยว่าให้เตรียมตัวต้อนรับเขา”
“ได้ตามที่รับสั่งท่านเทพธิดา”
“เราจะทำตามรับสั่งของท่านเทพธิดา”
เหล่าอัศวินเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนหุ่นเชิด
ไม่ใช่แค่พวกอัศวิน แต่มนต์เสน่ห์ของไฮซินท์ได้ครอบงำไปทั่วทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์มูราลันแล้ว
เหลือเพียงอัศวินหญิงพวกคนเดียวที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหว จนถึงตอนนี้เธอเพิ่งเดินเข้ามาหาไฮซินท์พร้อมกับสวมชุดเดรชให้เธอ
“เซราฟิน่าเธอไม่ดีใจเหรอ?”
อัศวินหญิงคนนั้นคือเซราฟิน่า
เธอเป็นเพียงคนเดียวในเมืองที่ไม่ต้องมนต์เสน่ห์ด้วยเหตุผลที่ว่าไฮซินท์ชื่นชอบเธอ ยังไงก็ตามสายตาของเซราฟิน่าเต็มไปด้วยความซับซ้อน
เซราฟิน่าไม่สามารถต่อต้านได้ แม้บางครั้งเธอจะทำเรื่องโหดร้ายแต่ไฮซินท์ก็ยังทั้งไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากหยุดเฝ้าดูเธอ
ไฮซินท์พูดถึงเขาบ่อยมาก แต่เธอไม่ทราบว่าเขาคนนั้นคือใคร
“เขาจะต้องชอบแน่ๆ”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ไฮซินท์ฮัมเพลงขณะเซราฟิน่าส่ายหัว เธอไม่สามารถจินตนาการถึงอนาคตได้เลย และได้แต่หวังว่าเขาคนนั้นจะเป็นตัวตนปกติธรรมดา