The King of the Battlefield – ตอนที่ 271

ตอนที่ 271

บทที่ 271 สงครามเทพปีศาจ (1.2)

เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของคนแคระ รอบๆปราสาทอันสวยงามดังกล่าวเต็มไปด้วยเอลฟ์ที่ถือธนูเป็นอาวุธอยู่รอบๆ เกี่ยวกับผู้พิทักษ์แห่งผืนป่าอย่างเผ่าเอลฟ์ ว่ากันว่าพวกเขาสามารถควบคุมวิธีของลูกธนูได้ดั่งใจนึก หากได้เอลฟ์มาคุ้มกันรอบๆปราสาทแบบนี้ย่อมไม่มีใครสามารถเข้าไปได้โดยง่าย

‘คนแคระกับเอลฟ์ร่วมมือกัน’

คิมแทฮวานช่วยไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึง

ทุกคนรู้กันดีว่าเอลฟ์และคนแคระเป็นศัตรูกัน อย่างไรก็ดีไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลยสำหรับที่นี่ และที่โดดเด่นที่สุดก็ไม่พ้นเป็นตัวของปราสาทเองที่ใหญ่โตมากเสียจนสามารถสร้างบ้านหลังขนาดปกติอยู่ในอาณาบริเวณได้ราว 3 ล้านหลัง มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถกระทำได้แม้จะมีแรงงานมากมายเพียงใด และที่ความใหญ่โตระดับจะเรียกมันว่าเป็นเมืองๆหนึ่งก็คงไม่รู้สึกติดขัด

จุดที่สังเกตเห็นได้อีกอย่างคือ ออร์คที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกของตัวปราสาท

‘ก็อบลิน และออร์คสงคราม…!’

ไม่ใช่แค่ออร์คธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงออร์คสงครามที่มีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์อายุ 15 ปี ผิวสีแดงของมันอาจเพราะเกิดมาเพื่อทำสงครามโดยเฉพาะ

ด้วยออร์คสงครามที่เฝ้าอยู่ทางทิศตะวันออก ในขณะที่ก็อบลินเฝ้าทางตะวันตก ทำให้การป้องกันของปราสาทแห่งนี้ยิ่งน่ากลัว

“เอ่อหัวหน้า พวกมันจะไม่จับพวกเรากินใช่ไหม?”

“ฉี่ของฉันจะเล็ดออกมาอยู่แล้ว”

“หมดกันความกล้าหาญของฉัน”

ลูกน้องของคิมแทฮวานเป็นที่รู้จักกันดีว่าร่าเริงสนุกสนาน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังรู้สึกกังวลเพราะโดนความโอ่อ่าใหญ่โตของปราสาทครอบงำ

‘สร้างปราสาทแบบนี้ขึ้นได้ในดินแดนเทพปีศาจได้ยังไง?’

ใครที่อาศัยอยู่ที่นี่และเป็นผู้สร้างปราสาทดังกล่าว?

คิมแทฮวานที่เข้าสู่ปราสาทผ่านทางเข้าพูดขึ้นอย่างช้าๆ

“เผ่าอื่นๆมารวมกันอยู่ที่นี่หมดแล้ว”

“ยังกับฝันไปเลยนะหัวหน้า”

“อ่า…”

ทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

ทุกสิ่งที่เห็นเปรียบเสมือนเรื่องที่มีอยู่แต่ในความคาดหวังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์ ก็อบลิน คนแคระ ไฟทาร์ ออร์ค และโอเกอร์ แม้แต่มอนสเตอร์พิเศษอย่างมนุษย์หิมะ หรือมนุษย์กิ้งก่าก็อยู่ที่นี่เช่นกันแม้จะมีจำนวนน้อยก็ตาม

พวกมันก็มองดูมนุษย์ด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสายตาที่มองไม่มีความเป็นศัตรูใดๆ หากเป็นยามปกติทุกคนคงจะสู้กันไปแล้ว แต่พอทุกชีวิตมีจุดประสงค์เดียวกันก็ไม่มีรูปลักษณ์ของความเกลียดชังหรือความก้าวร้าวเกิดขึ้น

ใครมีบางคนกล่าวต้อนรับเหล่ามนุษย์ที่กำลังเดินทางมา

“ยินดีต้อนรับเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย! ข้ามีนามว่ากริซาเนลเล่ ”

“อืมจำนวนน้อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก อ่อข้าบาร์ทัส”

คนหนึ่งที่พูดเป็นเอลฟ์ที่สง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนแคระที่สวมมงกุฎอยู่บนหัว

กริซาเนลเล่ราชินีแห่งเผ่าเอลฟ์ และบาร์ทัสราชาแห่งเผ่าคนแคระ!

ชื่อเสียงของพวกเขาโด่งดังมากจนแม้แต่มนุษย์บางคนยังรู้จัก นั่นเป็นเพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขามักถูกบันทึกลงในสมุดของนักสำรวจคนต่างๆอยู่เสมอ

“ยินดีที่ได้เจอพวกคุณเช่นกัน”

ผู้ปกครองของแต่ละเมืองพร้อมกับฮันซุงออกมาทักทาย

ซออึนแฮจากเมืองคุนจา ไฮซินท์นักบุญของมูราลันและตัวแทนของพระสันตะปาปา และหัวหน้ากิลด์จรัสแสงบาฮามุดห์ซึ่งเป็นตัวแทนของเมืองเกรทซิตี้! พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นคนที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแท้จริงในเรื่องของความแข็งแกร่ง ในขณะที่ตัวแทนแต่ละแห่งกล่าวคำทักทายสั้นๆเสร็จเรียบร้อย กริซาเนลเล่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ทุกท่านโปรดวางอาวุธลงก่อน ตอนนี้เชิญพักผ่อนกันได้ เผ่าเอลฟ์ของเราจะนำทางพวกคุณไปเอง”

หลังจากนั้นเพียงครู่ เบื้องหลังของราชินีก็เต็มไปด้วยเอลฟ์สาวที่สวยงาม และนั่นย่อมไม่มีใครปฏิเสธเอลฟ์สาวเผ่าพันธุ์ที่มีมาตรฐานเรื่องความสวยงามซึ่งเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มได้

การพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น แต่เหล่าผู้นำยังมีสิ่งที่ยังต้องทำ ใช้เวลาพักเพียงไม่นานทุกคนก็จัดการประชุมกันขึ้นทันที

ณ ห้องประชุมบาลตันอยู่ที่นี่

“ผมชื่อบาลตัน เป็นตัวแทนของนายท่านสำหรับการประชุมครั้งนี้”

“ตัวแทน? เจ้าของอาณาเขตไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นหรือ?”

บาฮามุดห์ที่เป็นหัวหน้ากิลด์จรัสแสงถาม เขาต้องการเจอกับเจ้าของอาณาเขตผู้ที่สร้างปราสาทและรวบรวมเผ่าพันธุ์ต่างๆเอาไว้ ไม่ใช่ตัวแทน

บาลตันขมวดคิ้ว

“นายท่านออกไปทำธุระเรื่องอื่นชั่วคราว”

“เรื่องอื่นงั้นเหรอ? ทำเอาฉันประหลาดใจเลย มีเรื่องไหนที่สำคัญกว่าทำสงครามกับเทพปีศาจอีก”

ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคำพูดที่ถากถาง แต่บาลตันไม่ตอบสนองอะไร

“ เจ้าของอาณาเขตเดินทางไปพบเหล่าเทพปีศาจแล้ว และกำลังสร้างความสับสนให้พวกมันอยู่”

จากนั้นโอการ์ก็พูดแทรกขึ้น เขาก็อยู่ร่วมการประชุมครั้งนี้เช่นกันในฐานะตัวแทนของเผ่าไฟทาร์

“คุณโอการ์ งานของนายท่าน…”

ขณะที่บาลตันถามอย่างร้อนใจ โอการ์ก็พยักหน้า

“ข้ารู้ ข้าแค่อยากให้ทุกๆคนรับรู้ด้วยว่านายของเจ้าทำงานหนักยิ่งกว่าใครๆทั้งหมดในสงครามเทพปีศาจ”

“ถ้างั้นนายของท่าน…จะกลับมาเมือ่ไหร่?”

ไฮซินท์เปิดปากเล็กๆของเธอ เธอมาในนามของประสันตะปาปา แน่นอนว่าทันทีที่เธอมาถึงที่นี่ เธอก็ได้กลิ่นของเขารุนแรงเป็นพิเศษในปราสาทหลังนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงเธอจะเคยชินกับการรอคอย แต่เหมือนเธอจะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ยิ่งเราเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่เขาก็จะปรากฏตัวขึ้นเร็วเท่านั้น”

“ถ้างั้นเราจะเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุด คงดีกว่าที่เราจะโฟกัสไปที่เรื่องสำคัญ มากว่าเรื่องของคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่”

ขณะที่ไฮซินท์ยิ้มเบาๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลังแห่งมนต์เสน่ห์ที่เธอใช้นั้นเหนือจินตนาการ ทั้งพระสันตะปาปาและมูราลันล้วนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเธอ

บาลตันลุกขึ้นจากที่นั่งถือหินอ่อนหลายลูก

“ก่อนอื่น ผมจะบอกพวกคุณเกี่ยวกับเป้าหมายแรกของเรา”

วูม!

พอเขาฉีดเวทมนตร์เข้าไปในหินอ่อน ภาพของบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

มันเป็นรูปร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่คล้ายแรด

“เป้าหมายแรกของเราคือเทพปีศาจลำดับที่ 40 ราอุม เงื่อนไขดับทำลายของมันคือทำลายเมืองของมันซะ”

“นายคิดว่าเราจะสู้เทพปีศาจได้จริงๆเหรอ?”

ซออึนแซเอ่ยถามขึ้นครั้งแรก

บาลตันพยักหน้า

“พลังของมันจะลดลงอย่างรวดเร็วหากเราลายเมืองของมันได้”

“นายไปเอาข้อมูลแบบนั้นมาจากไหน?”

“เจ้านายของผมกับเมอร์ลินเป็นคนหาข้อมูลมา”

ออสการ์ที่แสดงเป็นเมอร์ลินยิ้มแห้งๆ

เจ้าของอาณาเขตแห่งนี้คือมูยอง และมูยองทราบเรื่องพวกนี้มาจากความทรงจำของดันดาเลี่ยน แผนของมูยองคือให้พวกเขาจัดการเทพปีศาจอ่อนๆ ถึงแม้ว่ามันเหล่านั้นจะยังยากสำหรับสำหรับพวกเขาที่จะเผชิญ

แม้ว่าความมั่นใจส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นเพราะมีเมอร์ลิน แต่ซออึนแซก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถ้าเป็นแบบนั้น มันต้องพยายามปกป้องเมืองแน่นอน”

“มีราชาปีศาจ 8 ตนที่เป็นสมุนของราอุม และมีปีศาจ 5 ล้านตัวอยู่ในเมือง ถึงแม้ว่าจำนวนของพวกเราจะมากกว่าแต่เราก็คงสู้มันไม่ได้”

“แล้วนายพอมีวิธีในการทำลายเมืองของมันไหม?”

“ทุกคนต้องทำสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด”

เอลฟ์มีความรวดเร็วในการโจมตี
คนแคระมีความแข็งแกร่งในการโจมตีจากระยะกลาง
ออร์คขึ้นชื่อเรื่องความกล้าบ้าบิ่น
ก็อบลินนั้นยอดเยี่ยมในด้านมนต์ดำหรือการโจมตีด้วยธาตุ
ไฟทาร์เป็นยักษ์ใหญ่ที่รู้จักกันดีว่าเป็นพ่อมดแห่งการไล่ล่า

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีมนุษย์ที่เหมาะสำหรับการใช้ยุทธวิธีหรือแผนการลับต่างๆ นอกจากนี้พวกเขายังมีทักษะมากมายที่พร้อมจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดี นั่นหมายความว่าพวกเขาจะมีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อในสงครามกองโจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์อื่นๆให้สูงสุด

ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยระดมพลกันขนาดนี้ ถ้าทำแบบนี้กันตั้งแต่แรกพวกเขาย่อมสามารถเผชิญหน้าได้กับทุกสิ่ง

เผ่าพันธุ์ปีศาจเชื่อในพลังของตนเท่านั้น พวกมันย่อมไม่เคยเผชิญหน้ากับ ‘ตัวแปร’ มากมายเช่นนี้ และตัวแปรเหล่านี้เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งก็คือทุกคนที่มารวมตัวกันที่ปราสาทแห่งนี้

The King of the Battlefield

The King of the Battlefield

ในตอนที่มนุษยชาติอยู่ในสภาวะที่ใกล้ล่มสลาย มูยองมือสังหารอันดับหนึ่งของ ‘ป่าแห่งความตาย’

กำลังนั่งคุกเขารอรับความตายเนื่องจากเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยากแก่การรักษา เขากวาดสายตามองไปรอบๆตัวซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยซากศพมากมาย เขาเคยทำงานอย่างหนักเพื่อคนพวกนี้

และในวันนี้เขาก็เป็นคนจบทุกอย่างด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อมูยองลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าปาฏิหาริย์นั้นมีจริง ตัวเขายังไม่ตาย! นอกจากนี้มูยองยังพบว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับมายัง 40 ปีที่แล้ว

เขาเลือกที่จะเดินสู่หนทางใหม่ และต่อสู้กับเหล่าเทพปีศาจทั้ง 72 ตน….

Show more

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท