ตอนที่ 27 เดินเกมไปตามเขา
เซียวชู่เหอลุกขึ้นยืน “ฉันให้คนใช้จัดเตรียมอาหารไว้”
มู่หวั่นขีแทบไม่มองหล่อนสักแวบหนึ่งด้วยซ้ำ มู่ลี่เหยียนหันไปทางหล่อนพร้อมทั้งพยักหน้าแทน
สีหน้าของเซียวชู่เหอดูไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอตอนเดินผ่านตัวมู่น่อนน่อน หล่อนหยุดเท้าลง น้ำเสียงกลับเข้มงวดขึ้นมา “ออกมานี่”
มู่ลี่เหยียนและมู่หวั่นขีนั่งด้วยกัน แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังกระซิบคุยอะไรกันอยู่
หล่อนมองพวกเขาแวบหนึ่ง ก็เดินออกไปพร้อมกับเซียวชู่เหอ
เซียวชู่เหอลากหล่อนเข้าห้องนอนเก่าของหล่อนเอง พอปิดประตูลงสีหน้าก็จ้องมองหล่อนอย่างเคร่งขรึม “คลิปวิดีโอนั่นแกให้คนไปถ่ายไว้ใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนอึ้งเล็กน้อย หล่อนไม่คิดเลยว่ามู่ลี่เหยียน จะเชื่อใจหล่อนแล้ว แต่เซียวชู่เหอกลับไม่เชื่อหล่อนเลย
ในความทรงจำของหล่อนนั้น เซียวชู่เหอเป็นผู้หญิงที่คอยจะพึ่งพึงแต่ผู้ชาย แถมเอาความหวังทั้งหมดมาไว้ที่มู่ลี่เหยียน แถมยังอ่อนแอและไม่มีความคิดเห็นใดๆ
“ไม่ใช่…” มู่น่อนน่อนส่ายศีรษะไปมาราวกับกำลังตีกลองอยู่ ดวงตาคู่นั้นแสดงออกอย่างชัดเจน
เซียวชู่เหอ เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความคิดจริงๆ แต่ว่าหล่อนเป็นแม่แท้ๆของมู่น่อนน่อนนะ แม่ลูกจิตใจสามารถสื่อถึงกันได้ หล่อนคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายดายขนาดนั้น
“พ่อแกและพี่สาวแกต่างเชื่อใจแก แกก็อย่ามาโกหกพวกเขา” เซียวชู่เหอขมวดคิ้ว สีหน้าน้ำเสียงที่พูดออกมาดูมีพลัง
ช่วงวัยรุ่นสภาพแวดล้อมของเซียวชู่เหอนั้นไม่ค่อยดี แต่ถือว่าหล่อนเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่เป็นผู้หญิงที่ดูแลคนได้ดี เพราะฉะนั้นมู่ลี่เหยียนเลยขอหล่อนแต่งงาน
ตอนเด็กๆหล่อนไม่รู้เรื่องอะไร แต่พอโตขึ้นหล่อนก็เข้าใจดีว่า มู่ลี่เหยียนจะขอเซียวชู่เหอแต่งงาน แต่แท้จริงแล้วเขาก็แค่อยากหาผู้หญิงสักคนมาช่วยดูแลลูกสาวสองคนแทนภรรยาของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไปแล้ว
หากพูดให้ไม่น่าฟังหน่อย ก็แค่พี่เลี้ยงที่คอยปรนนิบัติบนเตียงด้วยเท่านั้นแหละ
หล่อนคิดไม่ออกว่ามู่ลี่เหยียนมีแผนร้ายอะไร ที่สามารถทำให้เซียวชู่เหอตายใจได้ขนาดนี้
“ฉันหิวแล้ว” มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง เลยมองเซียวชู่เหอแวบหนึ่ง หล่อนไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะพูดอะไรออกมา
หลังจากที่โดนเซียวชู่เหอบังคับให้แต่งงานกับคนในตระกูลเฉิน ความอดทนของหล่อนต่อเซียวชู่เหอเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
เซียวชู่เหอเห็นหล่อนเป็นแบบนี้ เลยรู้สึกว่าตัวเองเกินกว่าเหตุไปนิด
หล่อนมองไปทางมู่น่อนน่อน น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “แกลงไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนเดินออกไปจากห้อง การแสดงออกขี้ขลาดและน้อยเนื้อต่ำใจที่ปรากฏออกมานั้นหายไปหมดสิ้น
หลังจากที่หล่อนแต่งเข้าตระกูลเฉิน เดิมทีก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลมู่ แค่อยากใช้ชีวิตให้สงบสุขก็เท่านั้นเอง
แต่ว่า คนในตระกูลมู่ กลับไม่ปล่อยหล่อนไปเลย
ถ้ายังเป็นแบบนั้น งั้นก็คอยดูแล้วกัน
……
เวลาเดินผ่านหน้าห้องหนังสือ กลับพบว่าประตูห้องหนังสือแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ในห้องหนังสือไม่มีคนอยู่แล้ว
พ่อลูกคู่นั้นลงไปรอด้านล่างแล้วหรอ?
มู่น่อนน่อนเพิ่งเดินถึงปากทางบันได ก็ได้ยินเสียงคนด้านล่างที่กำลังพูดงึมงำกันอยู่ นอกจากเสียงมู่หวั่นขีและพ่อลูกสองคน เหมือนว่ายังมีเสียงผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย
ในเวลานี้ ใครกันนะที่มาเป็นแขกของบ้านตระกูลมู่กัน?
หล่อนรู้สึกสงสัยเลยชิดกับบันไดแล้วชะโงกหน้าลงไปทางบันไดเพื่อมองด้านล่าง พอหล่อนเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างชัดเจน หล่อนถึงกลับตกตะลึงทันที
มู่ลี่เหยียนก็เห็นหล่อนแล้ว เขามองมาที่หล่อนแล้วกวักมือเรียกเข้าไป น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผิดไปถนัด “น่อนน่อนรีบมานี่เร็ว ถิงเซียวให้น้องชายของเขาเข้ารับตัวเธอนะ”
มู่น่อนน่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาเจอ “เฉินเจียฉิน” ที่บ้านตระกูลมู่ ได้ ความตกใจของหล่อนปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างไม่สามารถปิดบังได้
วันนี้เขาสวมใส่ชุดสูทพอดีตัว แถมตัดเย็บได้อย่างสวยหรู ใบหน้าหล่อเหลาประดับกลับไม่ปรากฏรอยยิ้ม ท่าทางสบายๆผ่อนคลาย ทว่าแผ่รังสีที่ทรงพลังไปทั่วทั้งห้อง
อาจจะเป็นเพราะเขารับรู้ได้ว่ากำลังถูกหล่อนจ้องมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองหล่อน “ซ้อ พี่ชายให้ฉันมารับกลับบ้าน”
ตอนที่เขากำลังพูดออกมานั้น รอยยิ้มที่มุมปากของเขายิ้มหวานขึ้นเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำมากจนไม่สามารถฟังถึงความอบอุ่นจากเสียงที่เปล่งออกมา
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูด ด้วยน้ำเสียงที่ยากแก่การเปล่งออกมา “อ้อ”
แต่มู่หวั่นขีกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หล่อนเขยิบเข้าไปข้างๆมู่ลี่เหยียนพร้อมทั้งพูดอะไรสักอย่างด้วยเสียงกระซิบ แถมพูดไปตาก็มองมู่น่อนน่อนไปด้วยอยู่หลายครั้ง
ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง หล่อนก็พอจะเดาออก มู่หวั่นขีคงไม่ได้พูดอะไรที่ดีๆแน่
เฉินถิงเซียวใช้ประโยชน์จากช่องว่างตรงนี้ประเมินมู่น่อนน่อนอยู่ สายตาของเขากวาดตามองใบหน้าของหล่อนที่กำลังบวมฉึ่ง ม่านตาดำที่อยู่ในดวงตาของเขาถึงกลับส่งแววตาดุดันกลับมา มือที่วางอยู่บนโซฟานั้นกลับเกร็งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่าจะหน้าตาอัปลักษณ์แถมโชคร้ายอีก ถึงอย่างไรมู่น่อนน่อนก็เป็นผู้หญิงของเขา!
ตัวเขาเองไม่เคยลงไม้ลงมือกับหล่อนเลย แต่คนพวกนี้กลับกล้าลงมือทำร้ายหล่อน
เฉินถิงเซียวกวาดตามองมู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีที่กำลังนั่งอยู่กับด้านนั้น พลางหันไปทางมู่น่อนน่อน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “มานั่งนี่สิ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากที่จะไปนั่งจริงๆ แต่ว่าพฤติกรรมที่ดื้อด้านของ “เฉินเจียฉิน”นั้น มันทำให้หล่อนเข้าอกเข้าใจ หล่อนไม่รู้ว่าวันนี้ที่เขามาที่บ้านตระกูลมู่นั้นมาทำไม เลยตัดสินใจทำตามที่เขาบอกก่อนดีกว่า
หล่อนไม่มีทางเชื่อเลยว่าเฉินถิงเซียว จะให้ “เฉินเจียฉิน” มารับหล่อน
เมื่อหล่อนนั่งข้างๆ “เฉินเจียฉิน”นั้น ก็เห็นว่าเขาหันมามองหล่อน แถมพูดด้วยน้ำเสียงตลกๆ “หน้าซ้อบวมขนาดนี้ ผมเกือบจำซ้อไม่ได้แล้วนะเนี่ย
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกออกว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองถูกมู่หวั่นขีตบหน้าฉาดใหญ่ หน้าก็เลยบวมฉึ่งตั้งแต่แรกมู่หวั่นขี ตบหล่อนแรงมาก หล่อนเจ็บจนหน้าชา จนตอนนี้ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท
ยามที่มู่หวั่นขี พูดออกมานั้น พร้อมทั้งหันไปทางมองมู่หวั่นขีและมู่ลี่เหยียนแวบหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เดิมทีมู่หวั่นขีค่อนข้างหวาดกลัวรังสีอันทรงพลังของเขาที่แผ่มาจากตัวเฉินถิงเซียว แต่ในเวลานี้นั้นเขากลับถามคำถามเรื่องใบหน้าของหล่อน ในใจถึงกลับสั่น พร้อมทั้งใช้สายตามองแกมข่มขู่ไปทาง มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนขยับหัวคิ้ว พร้อมทั้งทำท่าทางกำลังหวาดกลัวอยู่ อีกทั้งขยับปากไปทาง “เฉินเจียฉิน” พร้อมทั้งอธิบายตอบกลับ “ ฉันไม่ทันระวัง… เลยล้มลงมา
ข้ออ้างคำโกหกไร้สาระเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเคาะเกราะเคาะไม้อะไรก็ไม้พังแล้ว
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง พร้อมทั้งเขยิบเข้าใกล้มู่น่อนน่อนแล้วทำท่าทางเหมือนไม่มั่นใจ “จริงหรอ?”
มู่น่อนน่อนไม่กล้าสบตาเขา พลางก้มศีรษะเหมือนว่าทำผิด “….ใช่”
เฉินถิงเซียว แอบยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จากรอยยิ้มของเขา มู่น่อนน่อน ก็สามารถเข้าใจความหมายทันที ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก
“เฉินเจียฉิน” ใช้ชื่อหล่อนแอบอ้างเพื่อมาที่นี่ จะพูดอีกด้านหนึ่งก็คือ ก็สามารถยืนยันได้ว่าเฉินถิงเซียวให้ความสำคัญกับมู่น่อนน่อนมาก
ไม่สนว่าเขาจะถูกเฉินถิงเซียวบังคับให้มา แต่สิ่งที่มู่น่อนน่อนรู้ก็คือ หากหล่อนบอก “เฉินเจียฉิน” ตรงๆว่าที่หน้าหล่อนบวมฉึ่งสาเหตุก็มาจากถูกมู่หวั่นขีตบ เขาต้องออกหน้าแทนหล่อนแน่
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตนเองสามารถจัดการเรื่องที่บ้านตระกูลมู่ได้ ส่วนอีด้านหนึ่งนั้น “เฉินเจียฉิน” เป็นคนที่อันตรายมาก หล่อนไม่อยากไปข้องแวะกับเขาให้เรื่องมันวุ่นวาย
มู่ลี่เหยียนรู้สึกพอใจในคำพูดของมู่น่อนน่อน น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้นมาทันที “คุณชายเฉินตั้งใจมาที่บ้านตระกูลมู่งั้นเรารับประทานอาหารร่วมกันก่อนเสร็จแล้วค่อยกลับไปดีมั้ย”
เฉินถิงเซียวที่กำลังนั่งพิงโซฟาอยู่นั้น พูดอย่างใจเย็น “ได้ครับ”
สำหรับมู่ลี่เหยียนแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คาดไม่ถึงก็ว่าได้
ถึงแม้ว่า “เฉินเจียฉิน” จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายตระกูลเฉิน แต่ก็ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีในหลักความเป็นจริง
คนรับใช้หยิบโทรศัพท์ของมู่ลี่เหยียนมาให้เขาได้รับสาย มู่ลี่เหยียนก็ลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปรับโทรศัพท์ มู่หวั่นขีเองที่นั่งอยู่อย่างไม่เป็นสุขนั้น หล่อนต้องการหาข้ออ้างในการออกไปจากที่นี่
ในเวลานั้นเอง ในห้องรับแขกนั้นก็เหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับ เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกวาดตามองรอบๆ พร้อมทั้งถามเขาอย่างเบาๆ “คุณมาที่นี่ทำไม?