ตอนที่ 63 สามีของฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้
มู่น่อนน่อนออกจากคฤหาสน์มา ยังไม่ทันออกไปได้ไกล ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนหันกลับไป รถยนต์คันนั้นก็จอดที่ข้างๆ เธอทันที
หน้าต่างรถลดลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของ “เฉินเจียฉิน” แต่ในสายตาของมู่น่อนน่อนเป็นใบหน้าที่เกลียดที่สุด
ดวงตาของเขาหรี่ลง น้ำเสียงเข้มทุ้ม “ขึ้นรถ ผมจะไปส่งคุณที่ทำงาน”
“ไม่จำเป็น” มู่น่อนน่อนปฏิเสธไปตามตรง เธอไม่อยากถูกจับตามองอีกแล้ว
เธอนึกภาพได้เลย ในตอนที่ “เฉินเจียฉิน” ไปส่งเธอที่บริษัท จะต้องถูกคนจับจ้อง หลังจากนั้นก็จะมีข่าวลือมากมายตามมา
ทันใดนั้น “เฉินเจียฉิน” ก็ยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสีน้ำหมึกแผ่บรรยากาศน่ากลัวออกมาเล็กน้อย เสียงแหบเอ่ยเสียงต่ำ “คุณกำลังกลัวอะไร”
กลัวอะไรรึ
มู่น่อนน่อนชะงัก และถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ว่าที่เธอเย็นชาต่อ “เฉินเจียฉิน” โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจมาโดยตลอดนั้น ความจริงเป็นเพราะว่ากำลังกลัว
ถึงแม้เธอจะแสดงออกมาว่าเกลียดเขามาโดยตลอด แต่เธอก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายที่ดีมากจริงๆ
ความเย่อหยิ่งและอวดดีของเขานั้นราวกับฝังอยู่ในแกนกระดูก จนทำให้รู้สึกว่าผู้ชายแบบเขานั้นควรมีความมั่นใจในตัวเอง เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ที่ส่องประกายโดยธรรมชาติ จนดึงดูดสายตาผู้คน
เขาเองก็แย่บ้างในบางครั้ง แต่ที่เขาดีต่อเธอนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน
ผู้ชายแบบนี้ ทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวได้ง่ายจริงๆ
ดังนั้นมู่น่อนน่อนจึงตระหนักว่าต้องหลีกเลี่ยงเขาเสมอ และเย็นชาต่อเขา
เธอนั้นมีป้ายกำกับไว้ว่าเป็น “คุณหญิงของตระกูลเฉิน” และป้ายกำกับนี้จะคงอยู่กับเธอไปทั้งชีวิต ดังนั้นเธอจะต้องยิ่งรู้จักตัวเองให้มากขึ้น ต้องรู้จักรักษาหน้าที่ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น
เธอกำลังกลัวความหวั่นไหวของใจตัวเอง
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนไม่ยอมพูดอะไรเป็นเวลานาน เฉินถิงเซียวก็เพิ่มแรงกระตุ้นเธอเข้าไปอย่างต่อเนื่อง “หรือว่า คุณคิดอะไรเกินเลยกับผม…”
“ฉันเปล่า” มู่น่อนน่อนแทบจะเถียงเขากลับไปในทันที
รอจนเธอตอบสนองกลับมาแล้ว เธอก็รีบขึ้นนั่งฝากข้างคนขับอย่างรวดเร็ว
สายตาของ “เฉินเจียฉิน” มองไปข้างหน้าไม่ล่อกแล่ก สีหน้าเรียบนิ่งและไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเป็นพิเศษ แต่ในแววตาของเขากลับซ่อนร่องรอยของความสำเร็จเอาไว้ จนเผยให้เห็นความคิดของเขา
มู่น่อนน่อนละอายใจขึ้นมาทันพลันจนไม่กล้ามองเขา หันหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถ และเริ่มหาเรื่องชวนคุย “รถของคุณคันนี้ราคาเท่าไหร่”
“เฉินเจียฉิน” พูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่แพง”
มู่น่อนน่อนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รถคันนี้พบเห็นได้น้อยมาก เมื่อก่อนในตอนที่เธอยังเรียนอยู่ มีคนรวยมากมายที่ขับรถแบบนี้มารับลูกสาวที่หน้าโรงเรียน มีรถหลากหลายยี่ห้อ เบนท์ลีย์เองก็มี แต่ไม่เคยเห็นรถรุ่นนี้มาก่อน
เธอรู้สึกว่ารถคันนี้มันค่อนข้างแพง
เฉินถิงเซียวมองเธอ “แต่เพิ่งจะเลิกผลิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน”
“คือฉัน…” แค่ถามเล่นๆ เท่านั้น
เฉินถิงเซียวเอ่ยขัดคำพูดของเธอ “หากคุณต้องการ พูดดีๆ ให้ฟัง แล้วผมจะลองพิจารณาเรื่องยกมันให้กันคุณ”
เมื่อรับรู้ได้ถึงสีหน้าของมู่น่อนน่อนที่เปลี่ยนไปในทันที เฉินถิงเซียวถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป
การที่พูดแบบนี้ในฐานะของเขาเฉินถิงเซียว การส่งรถต่อให้กับมู่น่อนน่อนนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร แต่หากคนที่พูดเป็น “เฉินเจียฉิน” มันออกจะไม่เหมาะสมเล็กน้อย
หลังจากนั้น จนกระทั่งมาถึงบริษัทมู่ซื่อ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
ยามที่ลงจากรถ มู่น่อนน่อนก็กล่าวกับเขา “ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงของเธอนั้นมีมารยาทอย่างถึงที่สุด แต่ก็มีความรู้สึกที่แปลกแยกอยู่อย่างมาก
เธอปิดประตูรถ หันหลังกลับ ก็เผชิญหน้ากับมู่หวั่นขีจะจะ
สีหน้าของมู่หวั่นขีมองมาที่เธออย่างเย้ยหยัน สายตามองไปยังรถที่อยู่ด้านหลังของเธอ “ดูเหมือนว่าเธอและลูกพี่ลูกน้องของเฉินถิงเซียวจะเข้ากันได้ดีไม่เลว คอยมารับมาส่งถึงที่ทำงาน กลมกลืนกันน่าดู”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมกลมกลืนกันอยู่แล้ว หรือว่าจะต้องเหมือนกับเธอ…” มู่น่อนน่อนก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว ขยับเข้าไปใกล้มู่หวั่นขี และใช้ระดับเสียงที่จะได้ยินกันเพียงสองคน “สถานที่อย่างคลับจื่อจีน ไม่ใช่ที่ใครๆ จะชอบไปเที่ยวเล่น คราวหน้าพี่สาวอย่าแกล้งโกหกให้ฉันไปเที่ยวที่แบบนั้นเลย”
สีหน้าของมู่หวั่นขีแข็งค้างเล็กน้อย แต่ก็ดึงกลับมาเป็นธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
มู่น่อนน่อนยิ้มสดใส ในน้ำเสียงแฝงคำขู่ไปด้วยเล็กน้อย “แต่พ่อคงไม่ชอบให้พี่ไปเที่ยวที่คลับจื่อจีนเท่าไหร่ พี่ก็ระวังไว้สักนิดนะ”
มู่ลี่เหยียนไม่ได้เอ็นดูมู่น่อนน่อน แต่เขาชอบใช้ประโยชน์จากเธอ เธอที่อยู่ในฐานะคุณหญิงของตระกูลเฉิน ยังถือว่ามีประโยชน์อีกมาก หากมู่ลี่เหยียนรู้เรื่องที่มู่หวั่นขีทำกับมู่น่อนน่อน ย่อมด่ามู่หวั่นขีเป็นแน่
มู่น่อนน่อนเข้าใจในจุดนี้ มู่หวั่นขีเองก็เข้าใจเช่นกัน
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามู่หวั่นขีไม่กลัวคำขู่ของมู่น่อนน่อนแม้แต่น้อย เธอยังพูดอย่างลำพองใจว่า “คำพูดปากเปล่า ใครจะไปเชื่อเธอกัน”
“มู่น่อนน่อน เลิกงานกี่โมง ผมจะมารับคุณ”
น้ำเสียงติดเย็นชาของ “เฉินเจียฉิน” ดังขึ้นมา มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าในแววตานั้นถูกเขียนไว้ว่า ทำไมคุณยังไม่ไปอีก
แน่นอนว่าเฉินถิงเซียวต้องแสร้งทำเป็นอ่านสายตานั้นของเธอไม่ออก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไหว ราวกับว่าหากยังไม่ได้รับคำตอบที่เขาพอใจ เขาจะไม่หันหลังกลับเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนที่ไม่มีทางเอก จึงทำได้แค่พยักหน้าให้เขาแต่โดยดี “ค่ะ”
เฉินถิงเซียวพอใจกับคำตอบนั้นอย่างมาก สายตาเย็นชามองกวาดมู่หวั่นขี กลับขึ้นรถและขับออกไปทันที
มู่หวั่นขีที่ถูกเขามองเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน แต่สายตาของเธอกลับฉายแววโลภออกมา
หากตอนแรกรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะมีลูกพี่ลูกน้องที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ หากเป็นเธอที่แต่งเข้าตระกูลเฉิน “เฉินเจียฉิน” ก็จะมาส่งเธอที่ทำงานใช่หรือไม่นะ
เธอนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่โรงแรมจีนติ่ง ตอนมู่น่อนน่อนหยิบบัตรสีดำใบนั้นออกมา ดวงตาของเธอก็ลุกโชนเป็นไฟ
เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เดิมคนที่จะได้แต่งเข้าตระกูลเฉินคนนั้นมันควรเป็นเธอ
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมา ก็เห็นใบหน้าของมู่หวั่นขีที่ฉายแววโลภกำลังมองไปตามทางที่ “เฉินเจียฉิน” ออกไป
มู่น่อนน่อนยกยิ้ม และหัวเราเยาะเย้ย “ตอนนี้พี่สาวเริ่มเสียใจที่ยกคู่หมั้นของตัวเองให้ฉันแล้วอย่างนั้นใช่ไหม แต่พี่เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เฉินถิงเซียวยินยอมที่จะหย่ากับฉัน เขาก็ไม่มีทางแต่งกับพี่อยู่ดี”
ถึงแม้กระแสเรื่องคลิปที่ไม่เหมาะสมของมู่หวั่นขีจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ชื่อเสียงของเธอนั้นก็ได้ถูกทำลายเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน คงเป็นอะไรที่แปลกหากตระกูลเฉินจะยอมให้ผู้หญิงไร้เกียรติแบบนี้แต่งเข้าตระกูล
เมื่อถูกมู่น่อนน่อนทำลายจินตนาการ สีหน้าของมู่หวั่นขีแปรเปลี่ยนไปจนน่าเกลียด
แต่สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เธอเสยผมขึ้นและกล่าวอย่างลำพองใจ “ฉันต่างหากที่ไม่อยากแต่งกับคนไร้ค่าอย่างเฉินถิงเซียว”
ที่เธอต้องการ คือ “เฉินเจียฉิน”
“เฉินเจียฉิน” ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น หากได้แต่งและได้อยู่กับเขาสักหนึ่งครั้ง รสชาติของชีวิตนั้นจะต้องติดอยู่ตลอดไปไม่หายไปอย่างแน่นอน
คนโง่อย่างมู่น่อนน่อน ต่อให้สวยขึ้นแล้วมันอย่างไร เรื่องรับมือกับผู้ชายอย่างไรก็ไม่มีทางสู้เธอได้
หากมู่น่อนน่อนไม่มีประสบการณ์มาก่อน ย่อมไม่มีทางเดาได้เลยว่ามู่หวั่นขีกำลังคิดเรื่องน่ารังเกียจอะไรอยู่ รู้สึกแค่ว่าท่าทางขยี้ขย้ำหัวของเธอนั้นราวกับคนเป็นประสาท
แต่ที่มู่หวั่นขีพูดว่าเฉินถิงเซียวเป็นคนไร้ประโยชน์ นั่นทำให้เธอไม่มีความสุข
“เฉินถิงเซียวจะเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วมันอย่างไร สามีของฉัน ไม่ใช่คนที่เธอจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้” มู่น่อนน่อนกล่าวจบ ก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ จึงเหยียบเท้าของมู่หวั่นขีอย่างแรงไปหนึ่งครั้ง และเดินกร่างเข้าบริษัทมู่ซื่อไป
มู่หวั่นขีกรีดร้องและไล่ตามมาทันที “มู่น่อนน่อน ยัยสารเลว”
ขณะเดียวกัน เฉินถิงเซียวที่ควรออกไปตั้งนานแล้ว ก็เดินออกมาจากข้างหลังเสาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง