ตอนที่ 101เขาไปร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆ
เธอคิดถึงสิ่งที่มู่น่อนน่อนทำกับ “เฉินเจียฉิน”อยู่ที่นี่เมื่อครู่นี้ ในดวงตาก็มีแววริษยาวาบผ่าน “ทำไมเธอถึงยังข้องเกี่ยวกับ”เฉินเจียฉิน”อยู่อีก ? ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีสามีแล้วหรือไง สมควรแล้วที่เฉินถิงเซียวจะเมินเฉยต่อเธอ”
คำพูดนี้ของมู่หวั่นขีกระทบจิตใจของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างมาก
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมา “ถึงแม้เขาจะเมินเฉยต่อฉัน ฉันก็ยังคงเป็นคุณนายน้อยตระกูลเฉิน แล้วเธอล่ะ ? ถ้าบริษัทมู่ซื่อล้มละลายขึ้นมา เธอจะเหลืออะไรบ้าง”
มู่หวั่นขีหน้าซีดทันที ก่อนจะชี้หน้าใส่เธอแล้วกรีดร้องออกมาว่า “เธอหุบปากไปเลยนะ!”
ถึงแม้ว่ามู่หวั่นขีจะถูกคนที่บ้านตามอกตามใจขนาดไหน แต่เธอก็รู้ว่าที่ตัวเองสามารถทำตัวโอหังเวลาอยู่ข้างนอกได้ ก็เพราะว่าเบื้องหลังมีบริษัทมู่ซื่ออยู่
ถึงแม้ว่าในเมืองหู้หยางนี้บริษัทมู่ซื่อจะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่โตอะไร แต่เนื่องจากก่อตั้งมานานหลายปีแล้ว เลยมีรากฐานที่มั่นคง มีบริษัทเก่าแก่ที่คอยให้ความร่วมมือ ก็เลยมีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมอยู่บ้าง
ตอนที่คุณปู่มู่เพิ่งสร้างบริษัทมู่ซื่อ ด้วยความที่เป็นคนกว้างขวางเลยรู้จักคนมากมาย ถึงแม้ว่าเขาจะเกษียณอายุแล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมาหลายปีแล้ว แต่บริษัทส่วนใหญ่ในเมืองหู้หยางก็ยังคงไว้หน้ามู่ลี่เหยียนอยู่บ้าง
บริษัทมู่ซื่อเองก็มีรากฐานอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อเทียบกับตระกูลเฉินแล้ว ก็ดูจิ๊บจ๊อยไปเลย
มู่หวั่นขีทำตัวสุรุ่ยสุร่ายจนชินแล้ว ก็เลยไม่กล้าคิดภาพว่าหากบริษัทมู่ซื่อล้มละลายแล้ว ตัวเองจะอยู่อย่างไร
“ถ้าจะมีเวลามาทะเลาะกับฉันอยู่ที่นี่ เธอเอาเวลาไปคิดหาวิธีแก้ไขวิกฤตของบริษัทมู่ซื่อก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” มู่น่อนน่อนรู้ว่าถึงครั้งนี้บริษัทมู่ซื่อจะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นล้มละลาย เธอก็แค่พูดออกมาเพื่อขู่ให้มู่หวั่นขีตกใจเท่านั้น
มู่หวั่นขีกับมู่ลี่เหยียนทะเลาะกันมาแล้วยกหนึ่ง เดิมทีอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก็เลยด่าสวนกลับทันที “นังคนเลวอย่างเธอมิสิทธิ์มาสั่งสอนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่!”
แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ได้โมโหเลยแม้แต่น้อย เธอเอียงคอเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆว่า “เธอเป็นพี่สาวแท้ๆของฉัน เธอไม่รู้เหรอว่าพวกเรามีสายเลือดเดียวกัน ถ้าฉันเป็นคนเลว แล้วเธอล่ะเป็นอะไร”
“มู่น่อนน่อน !” มู่หวั่นขีนอกจากความเย่ยหยิ่งและโอหังแล้ว ก็พูดได้เลยว่าไม่มีข้อดีอย่างอื่นอีกเลย ขนาดเรื่องการทะเลาะเองก็ยังเทียบมู่น่อนน่อนไม่ติด
การที่มีลูกสาวอย่างมู่หวั่นขี ทำให้มู่น่อนน่อนเริ่มเห็นใจมู่ลี่เหยียนขึ้นมาบ้างแล้ว
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกมู่หวั่นขีเดินเข้ามาลากแขนไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่หวั่นขีสวมเสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ด้านในสวมเพียงชุดเดรสเปิดอก ด้านนอกสวมเสื้อโค้ตท่าทางราคาแพง ส่วนล่างคือถุงน่องแบบบางและรองเท้าส้นแหลม ดูแล้วเซ็กซี่เล็กน้อย
พอลมพัดมา เสื้อโค้ตของเธอก็เปิดออก เผยให้เห็นหน้าอกที่ขนลุกเพราะความหนาวเย็นอยู่ด้านใน……
มู่น่อนน่อนหันไปมองทีหนึ่ง แล้วก็ต้องหันมารวมเสื้อคลุมของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ เธอรู้สึกนับถือเพียรพยายามของมู่หวั่นขีมากจริงๆ
ที่จริงแล้วมู่หวั่นขีก็รู้สึกหนาวเหมือนกัน แต่เธอไม่อยากแสดงความพ่ายแพ้ออกมา เธอสวมรองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรเลยสูงกว่ามู่น่อนน่อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก
เธอเชิดคางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราวกับออกคำสั่ง “เอาเบอร์ของ”เฉินเจียฉิน”มาให้ฉัน”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังสงสัยว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไป “เบอร์ของใครนะ ?”
ผู้หญิงคนนี้เมื่อครู่ยังด่าเธอว่าคนเลวอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบอกให้เธอมอบเบอร์โทรของ”เฉินเจียฉิน”ให้หล่อนอย่างหน้าตาเฉย ใครเป็นคนมอบความหน้าด้านแบบนี้ให้เธอกันแน่
“ก็ต้องเป็น”เฉินเจียฉิน”อยู่แล้วสิ !” มู่หวั่นขีพูดย้ำอีกรอบ น้ำเสียงร้อนรนมาก “เธอไม่ได้เรื่องเองที่ทำอะไรกับเฉินถิงเซียวไม่ได้ ฉันก็เลยต้องคิดหาวิธีด้วยตัวเองไง”
ดังนั้น วิธีที่เธอคิดได้ก็คือการไปหา”เฉินเจียฉิน”อย่างนั้นหรือ ?
“เฉินเจียฉิน”หัวเราะเสียงเย็น “ก็ไปขอเขาด้วยตัวเองสิ”
“อะไรของเธอ ตัวเองไม่มีน้ำใจจะช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อยังไม่พอ ขนาดแค่เบอร์โทรก็ยังไม่ยอมให้อีก เธออย่าลืมนะว่าตัวเองก็แซ่มู่เหมือนกัน !”
มู่หวั่นขีพูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยไม่มีสีหน้าละอายใจเลยแม้แต่น้อย
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนลึกขึ้นกว่าเดิม แต่สีหน้ากลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม น้ำเสียงที่แผ่วเบานั้นเย็นชาจนแข็งกร้าว “ฉันไม่มีทางลืมแน่นอนว่าฉันก็แซ่มู่”
ภัยพิบัติทั้งหมดในครึ่งชีวิตของเธอ ต่างก็เป็นเหตุมาจากการที่เธอแซ่มู่ ล้วนมีสาเหตุมาจากมือของคนนามสกุลนี้ทั้งนั้น
“ฉันจะไปลืมว่าตัวเองแซ่มู่ได้ยังไงล่ะ” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนแผ่วเบาลงหลายระดับ “พี่สาวคะ เธออยากได้เบอร์ของ”เฉินเจียฉิน”สินะ ฉันคงบอกเธอไม่ได้หรอก แต่ฉันรู้ว่าเขาจะไปที่ร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆ”
สิ่งที่เป็นของส่วนตัวอย่างเบอร์โทรศัพท์ ต่อให้เธอจะเกลียด”เฉินเจียฉิน”ขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางบอกมู่หวั่นขีไปง่ายๆแน่
แต่เธอสามารถเปิดเผยเรื่องที่”เฉินเจียฉิน”ไปที่ร้านอาหารจีนติ่งบ่อยๆให้มู่หวั่นขีรู้ได้
ไม่แน่ว่ามู่หวั่นขีจะได้เจอกับ”เฉินเจียฉิน” แต่ถึงแม้เธอจะได้เจอเขา โอกาสที่จะได้มานั้นก็ยังน้อยมาก
ที่จริงแล้ว มู่น่อนน่อนก็แค่อยากจะหาเรื่องยุ่งยากไปให้”เฉินเจียฉิน”
ใครใช้ให้เขาไร้ยางอายขนาดนั้น !
……
ตกกลางคืนหลังเลิกงาน “เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้มารับเธอ
แต่ว่า พอเริ่มตกกลางคืน
ช่วงค่ำฝนก็เริ่มตก สภาพอากาศครึ้มฝน สีของฟ้าก็เริ่มมืดลง
มู่น่อนน่อนเข้าไปนั่งในรถ แล้วพูดว่า “บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องมารับส่งฉันไปทำงาน”
“คุณชายเจียบอกให้ผมมารับคุณหญิงน้อยครับ บอกว่าฝนตกคงเรียกรถไม่สะดวก”
ช่วงนี้สือเย่มีความวิตกกังวลเล็กน้อย เขาไม่กล้ามารับคุณหญิงน้อยแล้ว กลัวว่าจะพูดอะไรผิดต่อหน้าคุณหญิงน้อย ถ้าเผลอเผยไต๋ คงอธิบายกับคุณผู้ชายได้ยาก
มู่น่อนน่อนทำสีหน้าประหลาดใจ “คุณกำลังพูดถึง”เฉินเจียฉิน”เหรอ ?”
หรือว่าที่”เฉินเจียฉิน”บอกว่าคืนนี้จะมารับเธอก่อนหน้านี้ เป็นเพราะรู้ว่าคืนนี้จะมีผนตกอย่างนั้นหรือ
สือเย่ตอบสนอง แล้วตอบกลับว่า “ใช่ครับ”
ที่จริงแล้วมู่น่อนน่อนเป็นคนใจอ่อน พอคิดถึงเรื่องที่ตัวเองบอกความเคลื่อนไหวของเขาให้กับมู่หวั่นขีไปเมื่อตอนบ่าย ก็เลยถามขึ้นด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “แล้วเขาล่ะ ?”
“คุณชายเจียมีธุระครับ เขาไปร้านอาหารจีนติ่ง บอกว่าคืนนี้จะไม่กลับไปทานข้าวที่บ้าน” ถ้าหากว่าคุณผู้ชายไม่ได้มีงานที่ต้องไปจัดการ เกรงว่าเขาคงมารับคุณหญิงน้อยด้วยตัวเอง
ใจของมู่น่อนน่อนกระตุกวูบทันที
คงจะไม่บังเอิญไปเจอกับมู่หวั่นขีเข้าหรอกใช่ไหม
สือเย่เห็นสีหน้ากระวนกระวายใจของมู่น่อนน่อนผ่านทางกระจกมองหลัง ก็คิดว่าเธอกำลังเป็นห่วงคุณผู้ชาย เลยพูดขึ้นว่า “คุณผู้ชายไปจัดการธุระเกี่ยวกับงานเล็กน้อยเองครับ คงไม่กลับดึกเท่าไหร่หรอกครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าอย่างใจลอย เลยไม่ได้สังเกตเห็นคำที่สือเย่ใช้เรียก”เฉินเจียฉิน”
กลับเป็นตัวของสือเย่เองที่คิดได้ แล้วก็ตกใจจนเหงื่อตก
พอกลับถึงบ้าน ภายในบ้านพักก็ว่างเปล่า
พอมู่น่อนน่อนเปิดประตูเข้าไป ก็เดินวนรอบๆอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยากจะหาอะไร
เธอขึ้นไปเปลี่ยนชุดด้วยความว้าวุ่นใจ จากนั้นก็เข้าไปทำอาหารในครัว
“เฉินเจียฉิน”ไม่อยู่บ้าน ที่อยู่ของเฉินถิงเซียวเป็นปริศนาราวกับมนุษย์ล่องหน เธอก็เลยทำแค่ส่วนของตัวเองก็พอ
ขณะทานข้าว เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีส่วนไหนผิดปกติ ถึงได้โทรไปหาเซียวชู่เหอ เพื่อสอบถามว่ามู่หวั่นขีได้ไปที่ร้านอาหารจีนติ่งหรือเปล่า
“คุณแม่คะ ทานข้าวหรือยังคะ” มู่น่อนน่อนพยายามปกปิดความร้อนรนในน้ำเสียง
น้ำเสียงของเซียวชู่เหอฟังดูดีอกดีใจ “ยังเลย กำลังเตรียมจะทาน คุณพ่อกับพี่สาวของเธอกำลังคุยธุระกันอยู่ในห้องสมุด เลยรอพวกเขาอยู่”
“อ๋อ……อย่างนั้นเองเหรอคะ หนูก็แค่ถามดูแค่นั้นค่ะ หนูขอตัวไปทานข้าวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” มู่น่อนน่อนกดวางสายไป แล้วก็รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้เซียวชู่เหอจะรู้สึกว่ามู่น่อนน่อนโทรมากะทันหันมากไปหน่อย แต่พอคิดได้ว่าจนถึงตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ ก็เลยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นเอง มู่ลี่เหยียนกับมู่หวั่นขีก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี
เธอรีบเดินเข้าไป “รีบมาทานข้าวเถอะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว”
มู่หวั่นขีมองดูเธอทีหนึ่ง “ไม่ทานแล้วค่ะ หนูจะออกไปข้างนอก”
ตอนนั้นเองเซียวชู่เหอถึงได้สังเกตว่ามู่หวั่นขีเปลี่ยนชุดแล้ว แถมยังแต่งหน้าเสียประณีต
“ลูกจะไปไหนเหรอ ค่ำขนาดนี้แล้ว……”
“แม่ไม่ต้องมายุ่งหรอกค่ะ หนูออกไปก็ต้องไปทำธุระอยู่แล้ว” มู่หวั่นขีเหลือบไปมองเซียวชู่เหอทีหนึ่ง แล้วหยิบกระจกออกมาส่อง รู้สึกพอใจกับการแต่งหน้าของตัวเองมาก
เธอไม่เชื่อหรอกว่า “เฉินเจียฉิน”จะสามารถปฏิเสธความเย้ายวนของเธอได้