บทที่ 232 พี่ชายต่างแม่ มู่สือยั่น
มู่น่อนน่อนอยากโทรไปถามเฉินถิงเซียว พอคิดว่าเฉินถิงเซียวตอนนี้อยู่ที่บริษัทเฉินซื่อ ก็กลัวว่าจะไปรบกวนเขา มู่น่อนน่อนก็เลยให้กู้จือหยั่นโทร
กู้จือหยั่นก็คงจะยุ่งเหมือนกัน เลยไม่ได้รับสายเธอ
ผ่านไปสักพักกู้จือหยั่นก็โทรกลับหาเธอ
โดยไม่รอให้มู่น่อนน่อนเปิดปาก กู้จือหยั่นก็พูดว่า “ฉันรู้ เธออยากถามเรื่องการฉีกสัญญาของราชาภาพยนตร์ซือล่ะสิ?”
มู่น่อนน่อนตอบรับ “ใช่แล้ว”
“วันนี้ถิงเซียวโทรหาฉันแต่เช้า บอกว่าจะฉีกสัญญากับราชาภาพยนตร์ซือ แถมเขายังเอาข่าวไปปล่อยอีก ช่าง…อยากจะลาพักงานเลยจริงๆ ทิ้งเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาให้ฉันเนี่ย…”
กู้จือหยั่นบ่นไม่หยุดไปชุดนึง มู่น่อนน่อนปลอบเขาไปสองประโยค แล้วก็วางสาย
โทรศัพท์พึ่งวางสายไป ก็ดังขึ้นมาอีกแล้ว
เธอมองปราดหนึ่ง เห็นว่าเป็นมู่ลี่เหยียนโทรมา
มู่ลี่เหยียนไม่ได้มากหาเธอนานแล้ว จู่ๆโทรมาหาเธอทำไม?
หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องมู่หวั่นขีอีก?
พอคิดว่าซือเฉิงหยู้อาจจะให้มู่หวั่นขีทำ มู่น่อนน่อนก็อึดอัดใจเหมือนมีก้อนฝ้ายยัดอยู่ในลำคอ
มู่หวั่นขีที่อยากจะฆ่ามู่น่อนน่อนหลายต่อหลายครั้ง ไม่ง่ายเลยที่จะเอาเธอเข้าคุก นึกว่าจะให้เธอไปสำนึกในคุกสักสองสามปี แต่ระหว่างนั้นซือเฉิงหยู้กลับโผล่มา…
ถึงมู่น่อนน่อนจะมีความคิดดำมืดไปบ้าง แต่รู้ไว้ก่อนก็ดีกว่าให้เฉินถิงเซียวทรมานเธอจนเธออยากตาย
พอคิดออกมาอย่างนี้ มู่น่อนน่อนเองก็กลัวเหมือนกัน
เธอลูบท้องของตัวเอง พึมพำว่า “เจ้าหนู วิธีคิดแบบที่แม่พึ่งคิดเมื่อกี้มันไม่ถูกนะ ลูกอย่าเอาอย่าง…”
ด้วยทักษะการเมินของเธอ โทรศัพท์ก็ตัดสายไปเองเพราะไม่มีคนรับ
มู่น่อนน่อนเก็บโทรศัพท์ ไม่ได้คิดจะโทรกลับไป ยังไงถ้าพวกเขามีธุระ ก็คงโทรมาอีก
ผ่านไปไม่กี่นาที มู่ลี่เหยียนก็โทรมาอีกจริงๆ
ครั้งนี้ มู่น่อนน่อนรับ
มู่ลี่เหยียนพูดน้ำเสียงเย็นชา “เธอไม่ได้เจอแม่เธอหรอ?”
“เกิดอะไรขึ้น?” นอกจากที่โทรคุยกับเซียวชู่เหอครั้งเดียวนั้น มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้เจอเซียวชู่เหอนานมากแล้ว
มู่ลี่เหยียนชะงักเล็กน้อย “นางหายตัวไปหลายวันแล้ว ไม่ได้ไปหาเธอหรอ?”
เหมือนกับมู่น่อนน่อนไม่คิดที่จะสนใจเซียวชู่เหออีก ฟังเขาพูดขนาดนี้แล้ว ยังนิ่งได้อีก “ไม่ได้มา”
เมื่อเซียวชู่เหออยู่ต่อหน้าคนตระกูลมู่ ความอดทนนั้นไม่เหมือนปกติ ปกติไม่น่าจะออกจากตระกูลมู่ แต่มู่ลี่เหยียนกลับบอกว่านางหายไปหลายวันแล้ว…
มู่น่อนน่อนถามมู่ลี่เหยียน “คุณทำอะไรเธอ?”
“ฉันจะไปทำอะไรเธอได้? เธอหนีออกไปเอง!” เสียงของมู่ลี่เหยียนเต็มไปด้วยความโกรธ พูดดังมาก มู่ลี่เหยียนตกใจจนหูชา
“ถ้าไม่ใช่คุณทำแล้วใครจะทำ เธอหนีไปเอง คุณคิดว่าฉันโง่หรอ?” มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนกัน สวนกลับไปตรงๆอย่างเย็นชา
“เธอไม่ใช่ว่าไม่สนใจนางแล้วหรือไง? ตอนนี้คืออยากจะให้ฉันเป็นคนผิด? คนที่แม้แต่พี่สาวแท้ๆของตัวเองยังยัดเข้าคุกได้ลงคอ ฉันไม่มีลูกสาวเลวๆอย่างแกหรอก!”
พอมู่ลี่เหยียนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ความโกรธแค้นก็สุมขึ้นกลางทรวงอก
มู่น่อนน่อนกัดฟัน “บังเอิญจริงๆ ฉันก็ไม่มีพี่สาวแท้ๆกับพ่อที่พยายามจะฆ่าฉันเหมือนกัน”
“หยุดพูดหยาบคายแบบนี้ได้แล้ว หวั่นขีก็แค่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตอนนี้เธอก็ยังอยู่ดีไม่ใช่รึไง! นางโดนตามใจเสียคนตั้งแต่เด็ก เธอก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เธอจะปล่อยนางหน่อยไม่ได้เลยรึไง”
มู่ลี่เหยียนคิดว่ามู่น่อนน่อนผิดเต็มๆ
——นางโดนตามใจเสียคนตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้!
——เธอจะปล่อยนางหน่อยไม่ได้เลยรึไง!
มือของมู่น่อนน่อนกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นไม่ปล่อย บนหลังมือเห็นเส้นเลือดชัดเจนา
“ฉันยอมเธอ แล้วใครยอมฉัน? คุณก็รู้ว่าเธอโดนตามใจเสียคน ตอนนี้ก็เลยให้ไปเรียนรู้ในคุกไง ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือคุณทั้งนั้น คุณนี่เป็นพ่อที่ดีจริงๆเลยนะ ลูกสาวตัวเองแท้ๆแต่ไม่สอนให้ดี ต้องให้คนอื่นมาสั่งสอนให้ตลอด คุณทำเธอเสียคนแต่กลับไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเธอ คุณลองเดาดูว่าตอนนี้มู่หวั่นขีจะเกลียดคุณมั้ย?”
การที่มู่ลี่เหยียนตามใจมู่หวั่นขีอย่างไม่มีเหตุผลนั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาผิดเลยสักนิด ต่อให้ผิดก็โยนให้คนอื่นอยู่ดี
แต่คำพูดของมู่น่อนน่อน แทงเข้าไปในใจเขาทั้งหมด
เมื่อวานตอนเจอมู่หวานขี มู่หวั่นขีก็ยังด่าเขาไร้ประโยชน์
มู่ลี่เหยียนโกรธจนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ตัดสายทิ้งไปดื้อๆ
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง คิดอย่างละเอียดครู่นึง ก็โทรไปแจ้งตำรวจ
ขนาดมู่ลี่เหยียนยังบอกเองว่าเซียวชู่เหอหายตัวไปหลายวันแล้ว ต้องไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆแน่
หลังแจ้งตำรวจแล้ว มู่น่อนน่อนคิดว่าคงนั่งรอข่าวอยู่เฉยๆไม่ได้ ก็เลยวางแผนจะกลับไปตระกูลมู่สักครั้ง
ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ได้จำกัดไม่ให้เธอออกจากบ้าน แต่ถ้าเธอจะออกต้องพาบอดี้การ์ดไปด้วย
……
รถจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลมู่
บอดี้การ์ดเปิดประตูรถให้มู่น่อนน่อน เธอพึ่งจะก้าวท้าวลงไปเหยียบพื้น ก็มีรถสปอร์ตจากไหนไม่รู้คันนึงพุ่งออกมา เฉี่ยวบอดี้การ์ดที่เปิดประตูให้มู่น่อนน่อนชายเสื้อปลิวไปตามรถ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก บอดี้การ์ดนิ่งไปพักนึง ถึงกลับมาถามมู่น่อนน่อน “คุณหญิงน้อย ไม่เป็นไรนะครับ?”
เธอยังไม่ลงจากรถเลยมีเรื่องอะไรกันเนี่ย!
มู่น่อนน่อนส่ายหัว “คุณล่ะ?”
“ผมไม่เป็นไรครับ” บอดี้การ์ดส่ายหัว
แต่มู่น่อนน่อนยังสังเกตเห็นเวลาบอดี้การ์ดเดินเขาลงฝีเท้าได้ไม่เต็ม ดูแล้วน่าตกใจ
มู่น่อนน่อนลงจากรถ มองไปยังทางที่รถสปอร์ตขับไป แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของรถคันนั้น
มู่น่อนน่อนมองกลับมา ก็ได้ยินเสียงของรถสปอร์ตอีกครั้ง
รถสปอร์ตคันนั้นขับกลับมาอีก ด้านหน้ารถของพวกเขาแกว่งเป็นมุม90องศา ทำให้รถขวางกลางทาง ชายหนุ่มที่ขับรถคันนั้นถอดแว่นกันแดดออก สะบัดผมทีนึงเหมือนคิดว่าตัวเองเท่มาก มองมาทางมู่น่อนน่อนแล้วพูดประโยคนึง “ไฮ เธอไม่เป็นไรนะ!”
ประโยคนี้ฟังแล้วไม่มีความจริงใจเลยสักนิด
ที่ชายหนุ่มคนนี้ขับเป็นรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ ผมเขาดูแลอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วยังใส่สเปรย์เซทผมเป็นพิเศษทำเป็นทรงที่อินเทรนด์มาก ทั้งตัวใส่แบรนด์เนม ดูแล้วเหมือนเด็กวอนนาบียังไงยังงั้น…
คนคนนี้ มู่น่อนน่อนรู้จัก
“เอ๋ ผู้หญิงคนนั้นน่ะเธอชื่ออะไร ดูแล้วหน้าคุ้นๆนะ”
ชายหนุ่มพูดไป มือก็จับขอบประตูรถเปิดประทุนกระโดดออกมา เดินตรงปรี่เข้ามาหามู่น่อนน่อน
พอเห็นหน้าตาของมู่น่อนน่อนชัดๆแล้ว ชายหนุ่มผิวปากออกมา “หน้าตาดีเลยนะเนี่ย”
บอดี้การ์ดมาขวางด้านหน้าของมู่น่อนน่อน ท่าทางเตรียมพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ชาย ฉันคือน่อนน่อน”
ชายที่อยู่ตรงหน้า ก็คือพี่ชายต่างแม่ของมู่น่อนน่อนที่ไปเรียนต่างประเทศมาโดยตลอด มู่สือยั่น
พร้อมกันนั้น เขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆของมู่หวั่นขี
“หา?” มู่สือยั่นตกใจงง “เธอบอกว่าเธอคือใครนะ? มู่น่อนน่อนหรอ? ถึงฉันจะไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี แต่ฉันก็รู้ว่าเธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้…”
มู่สือยั่นไปอยู่ต่างประเทศตั้ง 7-8 ปี จะจำเธอไม่ได้ก็ไม่แปลก
มู่ลี่เหยียนที่ได้ยินเสียงรถสปอร์ตเดินออกมาจากคฤหาสน์ “สือยั่น ไปซิ่งรถมาอีกแล้วหรอ?”
พอมู่สือยั่นเห็นมู่ลี่เหยียน ก็พูดกับเขาเหมือนเล่าเรื่องตลกว่า “พ่อ สาวสวยคนนี้บอกว่าเธอคือน่อนน่อน!”