เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินนำหน้าไป
มู่น่อนน่อนจึงเดินตามอยู่ด้านหลัง จ้องมองแผ่นหลังของเขา เดินอย่างจิตใจล่องลอย
ทันใดนัน เฉินถิงเซียวที่เดินอยู่ด้านหน้าได้หยุดกะทันหันขึ้น
มู่น่อนน่อนไม่ที่รู้ว่าเพราะอะไร ก็ได้หยุดชะงักตาม
ตอนนี้เฉินถิงเซียวถึงได้กล่าวอย่างสบายๆว่า : “เดินดี ๆ ”
มู่น่อนน่อนตกใจชะงัก สงสัยด้านหลังของเขาต้องมีดวงตาแน่ ๆ
เฉินถิงเซียวยกเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าครึ่งก้าว แล้วก็หันหลังมา ภายใต้ความตกใจของมู่น่อนน่อน ได้กุมมือของเธอขึ้นแล้วเดินจูงเธอไปข้างหน้า
มู่น่อนน่อนมองดูมือทั้งคู่ที่จับจูงด้วยกัน ชะงักครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ามองเขา
ส่วนกรามที่แน่นของเขาและส่วนคางที่ดูสะอาดสะอ้าน แต่ว่าแลดูซูบผอมลง
เธออดใจไม่ได้จึงเอ่ยปากถามเขา : “สองสามวันมานี้คุณนอนอยู่แต่ที่โรงพยาบาลเหรอ”
ทั้งสองเดินมาถึงหน้าลิฟต์พอดี เฉินถิงเซียวกดลิฟต์แล้วถึงได้ตอบกลับมาว่า : “อืม”
มู่น่อนน่อนก็ถามขึ้นอีก : “ทานอาหารบ้างหรือเปล่า”
เฉินถิงเซียวดูเหมือนจะรำคาญเธอ จึงมองเธอด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
ติ๊ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก มู่น่อนน่อนถูกเฉินถิงเซียวพาเข้าไปในตัวลิฟต์
คุณท่านเฉินพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยวีไอพี ทั้งชั้นปล่อยให้ว่างเพื่อให้คุณปู่ได้พักรักษา
เมื่อออกจากประตูลิฟต์ มู่น่อนน่อนก็เห็นที่ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยบอดี้การ์ด แต่ว่าคนอื่นของบ้านตระกูลเฉินนั้นไม่มีใครอยู่
เฉินถิงเซียวพาเธอเดินตรงไปที่หน้าห้องผู้ป่วยของคุณท่านเฉิน
“คุณปู่อยู่ด้านใน เข้าไปสิ”
มู่น่อนน่อนผลักประตูเข้าห้องผู้ป่วยไป
นี่เป็นครั้งแรกที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่องแล้วเธอได้มาเยี่ยมเขา
บนเตียงที่ขาวดุจหิมะ คุณท่านเฉินนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ สวมเครื่องช่วยหายใจไว้ บนตัวเต็มไปด้วยสายยางโตงเตง และยังห้อยด้วยสายน้ำเกลือ
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้เห็นถึงใบหน้าที่ซีดเซียวราวกับกระดาษของคุณท่านเฉิน เบ้าตาของเขาโบ๋ลึกลงไป ใบหน้าก็เหี่ยวย่น
คุณท่านเฉินไม่ใช่คนแก่ที่หน้าตาใจดี ใบหน้ามักจะน่าเกรงขาม แต่มู่น่อนน่อนเห็นลักษณะของเขาในตอนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จมูกคัดขึ้นมา
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ตรงด้านหน้าเตียง แล้วเรียกเบาๆ : “คุณปู่คะ”
คนบนเตียงไม่มีการตอบสนองใด ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะไอที่ก่อตัวปกคลุมจากการหายใจในหน้ากากออกซิเจน มู่น่อนน่อนเกือบจะคิดว่าคุณท่านเฉินนั้นเหมือนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ”
เวลานี้ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก เสียงของเฉินถิงเซียวดังลอยเข้ามา
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ยื่นมือมาปาดน้ำตาที่หางตา ลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งออกไปด้านนอกห้องผู้ป่วย
เธอปิดประตูห้องผู้ป่วยแล้วกล่าวกับเฉินถิงเซียว : “แพทย์ว่าอย่างไรบ้าง”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที แต่กลับสังเกตเธออย่างเงียบๆ
เขาสังเกตเห็นเบ้าตาของเธอที่แดงเล็กน้อย หว่างคิ้วย่นขึ้นแล้วกล่าว : “ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็อาจไม่เหมือนเดิม”
มู่น่อนน่อนพูดซ้ำคำพูดที่เขาพูดเมื่อสักครู่ด้วยความตกใจ : “อาจไม่เหมือนเดิม”
เฉินถิงเซียวแค่เพียงมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก และก็ไม่ได้อธิบายอะไร
อาจไม่เหมือนเดิม แปลว่าคุณท่านเฉินอาจจะพิการ อาจจะอัมพาต กลายเป็นคนแก่ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
สีหน้าของมู่น่อนน่อนซีดขึ้นในทันใด เธอจ้องมองเฉินถิงเซียว แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเขา
ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น : “เธอมาทำอะไร”
ทันใดนั้นก็ได้มองไปตามเสียง ก็เห็นถึงเฉินเหลียนที่กำลังมุ่งหน้าเดินมาทางนนี้
สายตาของเฉินเหลียนทอดมาทางตัวของมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฉินเหลียนเมื่อสักครู่นั้นหมายถึงมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วเรียกขึ้น : “คุณป้า”
สีหน้าของเฉินเหลียนไม่ค่อยสบอารมณ์ ในแววตาเห็นได้ชัดว่าต่อต้านเธอ แต่ว่าก็ยังพยักหน้าแล้วกล่าว : “น่อนน่อน สองสามวันมานี้สบายดีไหม”
“ขอบคุณคุณป้าที่เป็นห่วง หนูสบายดีค่ะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่ชอบที่เฉินเหลียนเป็นเช่นนี้
เฉินเหลียนในใจทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบเธอ แต่กลับต้องมารักษาความปรองดองเวลาอยู่ต่อหน้า
เฉินเหลียนถามขึ้นอีก : “เธอมาเยี่ยมคุณปู่เหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่ปกปิดแต่อย่างใด พูดตรง ๆ ออกไปว่า : “ค่ะ”
เฉินเหลียนแววตาเป็นประกายเล็กน้อย กล่าวเตือนขึ้นราวกับเป็นการหวังดี : “พักนี้ทางที่ดีเธอควรจะหลบไปสักพัก”
“ทำไมต้องหลบด้วยคะ ฉันเป็นหลานสะใภ้มาเยี่ยมคุณปู่มันเป็นปัญหาตรงไหนคะ” สีหน้ามู่น่อนน่อนดื้อดึง ทั้งตัวดูเย็นชา: “คนที่ผลักคุณปู่ตกบันไดต่างหากสมควรจะระแวงมากกว่า”
เฉินเหลียนราวกับคิดไม่ถึงว่าเธอจะใจถึงขนาดนี้ ชะงักงันชั่วครู่แล้วกล่าว : “ก็จริง”
เฉินถิงเซียวพูดขึ้นทันใด : “คุณป้า ยังจะเข้าไปเยี่ยมคุณปู่ไหมครับ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวไม่ค่อยดี ฟังแล้วเหมือนมีอาการหงุดหงิด เฉินเหลียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผลักประตูแล้วก็ตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วย
มู่น่อนน่อนจ้องประตูอยู่สองสามวินาที เฉินถิงเซียวจึงได้เรียกเธอขึ้น เธอถึงได้รู้สึกตัว
“มู่น่อนน่อน”
“หือ?”
“ยังไม่กลับอีก นี่คุณจะอยู่ที่นี่รอทานอาหารเที่ยงหรือไง”
“เอ่อ เปล่า ฉันรู้สึก……” มู่น่อนน่อนชะงักขึ้น นึกถึงคืนก่อนที่คุณท่านเฉินจะเกิดเหตุ ตอนที่ทุกคนต่างอยู่ในห้องโถงนั้น เฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงสองคนได้ไปที่ห้องอย่างลับๆล่อๆ
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ จึงดึงเฉินถิงเซียวเดินไปทางลิฟต์
และคิดไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากลุ่มซือเฉิงหยู้ ด้านหลังของเขายังตามด้วยเฉินเจียฉินและเฉินอินหย่า
คิดว่าคงน่าจะมาจากบ้านเพื่อมาเยี่ยมคุณปู่
เฉินเจียฉินเห็นมู่น่อนน่อน ก็เรียกเธออย่างดีใจ : “พี่น่อนน่อน!”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเบาๆ : “เสี่ยวฉิน”
จากนั้นเฉินเจียฉินพูดกับซือเฉิงหยู้ว่า : “พี่ไปก่อนเลยครับ”
ซือเฉิงหยู้ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฉินอินหย่าที่อยู่ข้างๆกลับพูดขึ้นอย่างแปลกๆ : “เธอยังจะกล้ามาที่โรงพยาบาลอีก เธอนี่มั้นไม่มีความรู้สึกผิดบ้างเลยเหรอ”
เฉินเจียฉินจ้องเขม็งเฉินอินหย่าแวบหนึ่ง : “พูดมั่วอะไร พูดจาพิลึกน่ารำคาญ! ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นพี่น่อนน่อนเป็นคนผลักคุณปู่ ทางตำรวจก็ยังตรวไม่พบอะไร พี่น่อนน่อนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทำไมเธอจะต้องรู้สึกผิดด้วย!”
“เสี่ยวฉิน แก……”
เฉินอินหย่าถูกเฉินเจียฉินพูดใส่เช่นนี้ สีหน้าจึงไม่พอใจ อยากจะโต้ตอบกลับไป กลับถูกซือเฉิงหยู้ขัดขึ้น : “อินหย่า พวกเราไปกันก่อนเถอะ”
เฉินอินหย่าเห็นที่ได้ชัดว่าไม่พอใจ : “พี่ใหญ่!”
แต่ท่าทีของซือเฉิงหยู้ที่หนักแน่น เธอก็พูดอะไรมากไม่ได้อีก
แต่ว่าก่อนไปเฉินอินหย่ายังคงพูดพิกล : “พี่สาม พี่ปกป้องผู้หญิงคนนี้ไปเถอะ พี่รองกำลังอยู่บนเครื่องบินระหว่างกลับประเทศ เมื่อเธอกลับมา ดูสิว่าพี่จะบอกกับเธออย่างไร หึ!”
พี่รอง?
มู่น่อนน่อนไม่เข้าใจจึงได้มองไปทางเฉินถงเซียว
เฉินเจียฉินที่อยู่ข้างๆที่แค่มองตาก็รู้ใจ โน้มไปที่ข้างใบหูของมู่น่อนน่อนแล้วกล่าวขึ้น : “ก็คือพี่สาวฝาแฝดของพี่ถิงเซียว”
พี่สาวฝาแฝดของเฉินถิงเซียว?
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับบ้านของตระกูลเฉิน ปกติไม่ได้เคยได้ยินคนอื่นพูดถึง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวยังมีพี่สาวฝาแฝด
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุยกัน ซือเฉิงหยู้กับเฉินอินหย่าได้จากไป พวกเขาสามคนก็เข้าไปในลิฟต์
เมื่อเข้ามาในลิฟต์ เฉินเจียฉินก็ถามมู่น่อนน่อนด้วยความเป็นห่วง : “พี่น่อนน่อน สองสามวันมานี้พี่สบายดีไหม พวกเขาต่างบอกว่าพี่เป็นคนผลักคุณปู่ แต่ว่าผมไม่เชื่อ”