ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้ชอบเสิ่นชูหานอีกแล้ว แต่เธอก็ฟังออกได้ว่าคำพูดที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขาทั้งนั้น
เธอรอเสิ่นชูหานพูดจนจบ ถึงเริ่มพูดว่า: “ต่อไปก็เป็นตัวของตัวเองเถอะ ส่วนฉัน มีแค่เฉินถิงเซียวก็พอแล้ว”
“เธอแน่ใจเหรอว่าจะเดินกับเฉินถิงเซียวไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตได้?” เสิ่นชูหานไม่เห็นด้วยกับการที่เธอคบกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า: “ยังไงฉันก็ไม่เคยคิดจะคบกับใครนอกจากเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว”
นี่ถือว่าเป็นความคิดที่จริงใจที่สุดของเธอ
เธอไม่คิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับชายอื่นได้เลย ดังนั้น แม้ตอนนี้จะยากสาหัสเพียงใด ก็ต้องอดทนสู้ต่อไปให้ได้
เสิ่นชูหานหัวเราะ: “ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”
หลังจากนั้น ทั้งสองก็คุยกันต่อเรื่อยๆ
เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยกัน ก็มีแต่เสิ่นชูหานที่พูดอยู่คนเดียว มู่น่อนน่อนรับผิดชอบแค่ฟังเท่านั้น
พอฟังจบและกินข้าวเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ออกมาจากห้องเตรียมออกจากร้านอาหาร
หน้าประตูร้านอาหาร ก็บังเอิญเจอซือเฉิงหยู้กับมู่หวั่นขีเข้าพอดี
มู่หวั่นขียังคงไม่พอใจกับการที่มู่น่อนน่อนปฏิเสธตัวเอง ถ้าได้โอกาสก็ต้องมีประชดประชันกันอยู่แล้ว
สายตาเธอมองไปที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นชูหานสองคน ต่อมาก็พูดเสียงสูงว่า: “เหอะ อ่อยเฉินถิงเซียวคนเดียวยังไม่พอ ถ่านไฟเก่ากับเสิ่นชูหานก็ปะทุขึ้นมาแล้วเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเพิ่งได้ผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอจากเสิ่นชูหาน ตอนนี้ก็มาเจอกับซือเฉิงหยู้อีก สายตาเธอก็มองไปที่ซือเฉิงหยู้โดยธรรมชาติ
มู่หวั่นขีเห็นมู่น่อนน่อนจ้องมองซือเฉิงหยู้ ก็รีบขวางตรงหน้าซือเฉิงหยู้เอาไว้: “ดูอะไรของเธอ? ได้คืบจะเอาศอกงั้นเหรอ? หน้าไม่อายจริงๆเลย”
ซือเฉิงหยู้ก็ทักทายมู่น่อนน่อนอย่างไม่สนใจ: “น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนก็เรียกเขาอย่างเป็นทางการ: “คุณซือ”
แต่กลับเป็นเสิ่นชูหาน มองซือเฉิงหยู้อย่างสนอกสนใจ
เป็นเพราะสาเหตุจากฐานะและวงการ โอกาสที่เสิ่นชูหานกับซือเฉิงหยู้จะได้เจอกันนั้นน้อยมาก
ที่เขาได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาด้วยความบังเอิญล้วนๆ ดังนั้นจึงรู้สึกสงสัยในตัวซือเฉิงหยู้มาก
ลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิง
เป็นแค่ลูกนอกสมรสจริงๆเหรอ?
“เฉินหยู้!” มู่หวั่นขีเห็นซือเฉิงหยู้พูดกับมู่น่อนน่อน ก็ตะคอกเขาอย่างไม่พอใจ
ซือเฉิงหยู้ก้มหัวลง มองมู่หวั่นขีด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน: “ไม่ว่ายังไง น่อนน่อนก็เป็นน้องสาวเธอนะ ถึงแม้ละคร《เมืองพัง》ของน่อนน่อน เธอจะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานด้วย อย่างน้อยก็ยังบทละครอื่นรอเธออยู่นะ?”
คำพูดของซือเฉิงหยู้ ทำให้มู่หวั่นขีเหมือนแมวที่โดนลูบขนแล้วรีบเชื่อฟังทันที
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลง ถึงว่ามู่หวั่นขีไปออดิชันที่กองถ่าย《เมืองพัง》 เป็นเพราะซือเฉิงหยู้นี่เอง
เมื่อก่อนซือเฉิงหยู้ก็แสดงภาพยนตร์แนวลึกลับเงื่อนงำแบบนี้เหมือนกัน เขามีสายตาเฉียบคมเป็นของตัวเอง
แต่ว่า ซือเฉิงหยู้ให้มู่หวั่นขีไปออดิชันที่กองถ่ายของ《เมืองพัง》 เป็นเพราะเขาชอบบทละครเรื่อง《เมืองพัง》 หรือเป็นเพราะอยากหลอกใช้มู่หวั่นขีให้มู่น่อนน่อนไม่สบายใจกันแน่ เรื่องนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้
มู่น่อนน่อนเคยเห็นด้านร้ายของซือเฉิงหยู้มาแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่อยากสนทนากับพวกเขาต่อไป จึงกระซิบบอกเสิ่นชูหานเบาๆว่า: “พวกเราไปกันเถอะ”
ต่อมา เธอก็ก้าวขาเดินจากไปทันที
……
มู่น่อนน่อนไม่ได้กลับบ้าน แต่ขับรถไปที่พักของเฉินถิงเซียวทันที
เธอมีกุญแจคอนโดของเฉินถิงเซียว
ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ในห้องมืดสนิทไม่มีแสงเลย เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
มู่น่อนน่อนเปิดไฟ แล้วเดินสำรวจแต่ละห้อง
โต๊ะทำอาหารในครัวเริ่มมีฝุ่นเกราะแล้ว แสดงว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ทำอะไรในบ้านนานแล้ว
เฉินถิงเซียวทำอะไรไม่เป็นอยู่แล้วด้วย
ในตู้เย็นก็มีแต่น้ำเปล่ากับเหล้า นอกนั้นก็ไม่มีอาหารอย่างอื่นอีกเลย
ไม่เหมือนบ้านที่มีคนอาศัยอยู่เลย
มู่น่อนน่อนรออยู่นานสองนาน จนกระทั่งห้าทุ่ม เฉินถิงเซียวก็ยังไม่กลับมาอีก
มู่น่อนน่อนเลยไปอาบน้ำปิดไฟ แล้วไปนอนที่เตียงเขา
จนกระทั่งตีหนึ่ง เฉินถิงเซียวถึงจะกลับมา
พอเขาเข้าไป เปิดไฟ ก้มหน้าเห็นรองเท้าผู้หญิงวางอยู่หน้าประตู
ผู้หญิงที่เข้าบ้านเขาได้ นอกจากมู่น่อนน่อนจะมีใครอีกล่ะ?
เขากระตุกยิ้มมุมปาก ความเหนื่อยล้าจากการทำงานก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาโยนเสื้อสูทที่พาดไว้บนแขนออกไป ปลดคอเสื้อไปด้วย แล้วเดินไปที่ห้องด้วย
ไฟในห้องไม่ได้เปิดไว้ แต่เฉินถิงเซียวชินกับเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนตัวเองดี เขาเดินย่องไปที่หัวเตียง แล้วก็เปิดไฟหัวเตียง
มู่น่อนน่อนห่มผ้าไว้แน่นแล้วนอนตะแคงอยู่บนเตียงเขา ผมสีดำยาวสลวยนั้นพาดอยู่เต็มหมอน
เลิกงานกลับมา เห็นมู่น่อนน่อนนอนอยู่บนเตียงเขา
นี่มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นแค่ในฝันเท่านั้น
ลูกกระเดือกเฉินถิงเซียวขยับขึ้นลง เขาโน้มตัวลงไปใกล้มู่น่อนน่อน ยื่นมือไปปัดผมที่บังหน้าเธอออก แล้วประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเธอเบาๆ
ตั้งแต่กลับจากเมืองหู้หยาง มู่น่อนน่อนก็นอนไม่ค่อยหลับเลย
ไม่ว่าเฉินถิงเซียวจะระมัดระวังมากแค่ไหน เธอก็สะดุ้งตื่นได้
เธอลืมตาขึ้นมา หันหน้าไปเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินถิงเซียว
“กลับมาแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่เพิ่งตื่นของเธอแหบและงัวเงียเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวนั่งลงบนหัวเตียง ลูบใบหน้าของเธอเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “อืม รอนานเลยใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า ยื่นมือไปอยากจะดูเวลาในนาฬิกาข้อมือที่วางไว้บนหัวเตียง
เฉินถิงเซียวเห็นว่าเธอจะทำอะไร ก็รีบคว้ามืออ่อนนุ่มของเธออย่างไหว แล้วพูดว่า: “จะตีสองแล้วล่ะ”
“ตอนนี้นายทำงานจนถึงดึกขนาดนี้เลยเหรอ?” มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย แล้วลุกขึ้นนั่งไปด้วย
เฉินถิงเซียวพยุงไหล่เธอไว้: “ไม่หรอก”
ปฏิเสธได้อย่างฉับพลัน มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าเขาพูดโกหก
มู่น่อนน่อนไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น เธอหันหน้าไปมองเขา: “ฉันไม่เชื่อที่นายพูดหรอก ฉันต้องถามสือเย่สักหน่อยแล้ว”
“ยุ่งแค่ช่วงนี้น่ะ เดี๋ยวช่วงนี้เสร็จแล้วก็มีเวลาว่างแล้วล่ะ” เฉินถิงเซียวหัวเราะ มองดูใบหน้าสวยภายใต้แสงไฟสลัว ก็อดไม่ได้ขยับเข้าไปจุ๊บหนึ่งที
เป็นจูบที่ไม่นานมาก: “นอนก่อนเลย ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ฉันรอนาย มีเรื่องจะพูดกับนายน่ะ” มู่น่อนน่อนนึกถึงเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนั้นอยู่ตลอดเวลา อยากจะรีบบอกเรื่องนี้กับเฉินถิงเซียวโดยเร็ว
เฉินถิงเซียวอึ้งสักพัก แล้วพยักหน้าตอบว่า: “อืม”
มู่น่อนน่อนเอาผลตรวจดีเอ็นเอที่เสิ่นชูหานให้ตัวเองออกมา เธอเอาไว้ในลิ้นชักในตู้หัวเตียง
ตอนที่เฉินถิงเซียวออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอก็ยื่นผลตรวจดีเอ็นเอนี้ให้เขา
“อะไรเหรอ?” เฉินถิงเซียวรับเอกสารนั้นมา แค่มองแวบเดียว คิ้วก็ขมวดกันเป็นปมแล้ว
เขานั่งลงข้างเตียง อ่านผลตรวจดีเอ็นเออย่างละเอียด
ตอนที่มู่น่อนน่อนดู ก็รีบเปิดดูผลสรุปด้านหลังทันที
แต่เฉินถิงเซียวดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้ เขาดูอยู่นานมาก ถึงเงยหน้าขึ้นมาถามมู่น่อนน่อน: “ใครให้เธอมา?”
น้ำเสียงเขาจริงจังมาก เหมือนรู้ว่าผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้เป็นของใครกับใคร
มู่น่อนน่อนพูดไปตามจริง: “เสิ่นชูหานให้ฉันมา”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็หรี่ตาลงทันที น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย: “เธอไปเจอเสิ่นชูหานอีกแล้วเหรอ?”