มู่น่อนน่อนฟังที่เสิ่นชูหานพูด จิตใจก็สั่นไหวอย่างมาก
ซือเฉิงหยู้ไปตรวจสอบดีเอ็นเอ จากนั้นก็เริ่มหาเรื่องเฉินถิงเซียวเรื่อยๆ
ถ้าจะให้เดาอีกคนในผลตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอนี้คือใคร มู่น่อนน่อนก็มีตัวเลือกในใจแล้วล่ะ
แต่ว่า เธอรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย
เสิ่นชูหานเห็นสีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปมา ก็เลยพูดว่า: “ฉันว่าเดาไม่ยากนะ เธอน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะ”
มู่น่อนน่อนพึมพำ: “จะเป็นไปได้ยังไงกัน?”
เสิ่นชูหานมองเธอเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามเขาว่า: “นายได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาจากไหน?”
“บนโลกใบนี้ไม่มีความลับตลอดกาล เรื่องชั่วที่เคยทำไว้ ยังไงก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน” ตอนที่เสิ่นชูหานพูดนั้น สีหน้าก็เย็นชาลงเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนนึกถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวบอกกับตัวเอง เรื่องตัวตนของเสิ่นชูหาน
ทุกคนต่างก็ไม่อาจเลือกการเกิดของตัวเองได้
มู่น่อนน่อนนนึกถึงซือเฉิงหยู้
เมื่อก่อนซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวก็ดูสนิทกันดี แต่ว่า พอเขารู้ว่าตัวเองกับเฉินถิงเซียวไม่ได้มีความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาจะเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียวยังไง?
ใช่แล้ว อีกคนในผลตรวจดีเอ็นเอที่มู่น่อนน่อนเดานั้น ก็คือเฉินชิงเฟิง
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่มีผล เหตุก็ย่อมติดตามได้
ตอนนั้นที่กลับบ้านช่วงปีใหม่ เฉินชิงเฟิงจะให้ซือเฉิงหยู้ไปทำงานที่บริษัทเฉินซื่อ ยังบอกว่าให้เฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ดูแลกันและกัน
ก่อนหน้านั้น ตอนที่มีข่าวด้านลบของซือเฉิงหยู้กระจายออกมา เฉินชิงเฟิงก็มาหาเฉินถิงเซียว
ตอนนั้น มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ถึง ความห่วงใยที่เฉินชิงเฟิงมีต่อซือเฉิงหยู้ เทียบกับเฉินถิงเซียวแล้วเกินเลยไปมาก
ถ้าซือเฉิงหยู้เป็นลูกนอกสมรสของเฉินชิงเฟิงจริง งั้นเรื่องนี้ก็อธิบายได้แล้วล่ะ
มู่น่อนน่อนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคาดเดานั้นมันถูกต้อง
“ดึกแล้ว จะไม่เลี้ยงอาหารฉันหน่อยเหรอ?” เสียงของเสิ่นชูหานขัดจังหวะความคิดของมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนพูดไปด้วย ลงรถไปด้วยว่า: “ได้สิ ออกไปกินข้าวด้านนอกกัน เดี๋ยวฉันขับรถตัวเองไป”
เสิ่นชูหานเรียกเธอไว้: “ไปกินที่บ้านเธอไม่ได้เหรอ?”
ในสถานการณ์ที่รู้ว่าเสิ่นชูหานมีใจกับเธอ เธอไม่มีทางเชิญเขาไปกินข้าวที่บ้านแน่นอน
มู่น่อนน่อนเงียบ เป็นการปฏิเสธที่ไม่มีเสียง
เสิ่นชูหานก็หัวเราะตัวเอง: “เป็นฉันเองที่ ผิดก้าวเดียวผิดไปตลอด”
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้กะทันหัน
……
เพื่อแสดงถึงความจริงใจของตัวเอง มู่น่อนน่อนเลือกร้านอาหารหรู เพื่อเลี้ยงอาหารเสิ่นชูหาน
“ใจกว้างจังเลยนะ คิดไม่ถึงเลยนะเนี้ย” เสิ่นชูหานหยอกล้อเธอ
มู่น่อนน่อนหัวเราะ: “นายเลือกที่จะไม่กินก็ได้นะ”
ตอนที่สั่งอาหาร มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสิ่นชูหานจ้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เธอสั่งอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความสบายใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
“เฉินถิงเซียวพูดเรื่องของฉันกับเธอแล้วสินะ?”
คำพูดของเสิ่นชูหาน ทำให้มู่น่อนน่อนต้องหันไปมองเขา
“ใช่แล้ว ฉันเป็นแค่ลูกที่เกิดจากผู้ชายแปลกหน้าด้านนอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแท้ๆตัวเองเป็นใคร การอยู่ของฉันเป็นแค่ผ้าปิดความอาย มีไว้แค่ปิดความจริงที่ว่าพ่อเลี้ยงฉันเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”
เรื่องนี้แม้จะฟังเฉินถิงเซียวพูดแล้ว แต่พอมาฟังเสิ่นชูหานพูดเอง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกสับสนมาก
มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง แล้วพูดว่า: “ไหนว่าจะกินข้าวไง? ทำไมพูดเรื่องนี้ล่ะ?”
เสิ่นชูหานมองเธอ: “เธอให้ฉันพูดจบเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่พูดอะไรอีก เขาจะพูดก็ปล่อยเขาพูดไปแล้วกัน
“เพราะเรื่องที่พ่อเลี้ยงมีลูกไม่ได้ ดังนั้นแม่ฉันเลยไปหาผู้ชายด้านนอก ภายนอกพวกเขาดูรักกัน ที่จริงทะเลาะกันบ่อยมาก อยากรู้เรื่องตัวตนของฉันมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากเลย……”
เสิ่นชูหานรู้มาแต่เด็กแล้วว่า ตัวเองไม่มีเชื้อสายของตระกูลเสิ่น ต่อไปมรดกของตระกูลเสิ่นก็ไม่มีในส่วนของเขาเหมือนกัน คนตระกูลเสิ่นไม่ได้รักเขามากขนาดนั้น
ดังนั้น ตอนเขาอยู่ด้านนอกก็ต้องแสร้งทำตัวอ่อนโยนมีมารยาท ก็เพื่อให้คนอื่นๆชอบเขา สนใจในตัวเขา
ขณะเดียวกัน เขาก็ทำเพื่อหาภรรยาที่มีครอบครัวและฐานะที่ดีแต่งงาน
มู่น่อนน่อนชอบเขา แถมยังชอบเขามาตลอด เขารู้เรื่องนี้ดี
เขาชอบความรู้สึกที่มู่น่อนน่อนชอบตัวเอง ดังนั้นก็ทำดีกับมู่น่อนน่อนบ้างเป็นบางครั้ง ให้เธอชอบเขาตลอดไป
แต่ว่า สุดท้ายเธอกลับแต่งงานกับเฉินถิงเซียวแทน
แต่งงานกับผู้ชายที่ ‘ทั้งขี้เหร่ทั้งไม่มีมนุษยธรรม’ เหมือนกัน
เขานึกถึงแม่ตัวเอง จากนั้นก็เริ่มเกลียดมู่น่อนน่อนขึ้นมา
ในหมู่ผู้หญิงที่ชอบเขานั้น ตระกูลมู่ก็ถือว่ามีชาติตระกูลที่ไม่เลว มู่หวั่นขีก็เป็นที่รักของมู่ลี่เหยียน ต่อไปถ้าเขาได้แต่งงานกับมู่หวั่นขี มู่ลี่เหยียนจะต้องเตรียมสินสอดสำหรับเจ้าสาวไว้เยอะแน่
แต่ว่า เขาก็ไม่คิดว่าชีวิตของมู่หวั่นขีจะวุ่นวายได้ขนาดนี้
ตอนที่เขาเรียนก็มีสาวๆชอบเขาไม่น้อย แต่หนึ่งในผู้หญิงมากมายที่ชอบเขา มีเพียงมู่น่อนน่อนที่แตกต่างออกไป
เธอชอบเขาด้วยใจจริง แต่กลับเอาความรู้สึกนี้เก็บลึกไว้ในใจกลัวเขาจะรู้
เขาฉลาดกว่าใคร รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร ดังนั้นเขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมู่น่อนน่อนผู้หญิงแบบนี้มาเป็นภรรยาตัวเองแน่นอน
ชีวิตก็คงเป็นแบบนี้ ผิดก้าวเดียวผิดไปตลอด มักจะเริ่มรู้สึกเสียดายตอนที่นึกถึงเรื่องในอดีต
เสิ่นชูหานจับแก้วน้ำตรงหน้าไว้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า: “น่อนน่อน ฉันชอบเธอจริงๆนะ ฉันแค่รู้สึกตัวช้าไป”
ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีหัวใจ ก็ยิ่งหวั่นไหวได้ง่าย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่เขาทำ ทุกคนที่เขาเข้าหา ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายทั้งนั้น
แต่มีเพียงมู่น่อนน่อน เขาทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามาหลายปี เพียงแค่อยากให้เธอชอบตัวเองแบบนี้ตลอดไป
เรื่องผ่านมานานขนาดนี้แล้ว พอได้ยินเสิ่นชูหานพูดแบบนี้อีกครั้ง มู่น่อนน่อนก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนไม่ได้อยากมานั่งรำลึกถึงเรื่องในอดีตกับเขา เธอเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ กินข้าวมื้อนี้เสร็จแล้ว พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
เรื่องในอดีตอย่าไปนึกถึงเลย ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป
ยังไงคนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปอยู่แล้ว
วิธีการจัดการเรื่องในอดีตที่ดีที่สุดก็คือ ปล่อยวางให้มันผ่านไป
“นั่นสิ เรื่องในอดีตก็ผ่านไปแล้ว” เสิ่นชูหานพูดถึงตรงนี้ ก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย: “แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่า เมื่อก่อนฉันไม่เพียงแต่เคยชอบเธอ ต่อไปนี้ฉันก็จะชอบเธอตลอดไปด้วย”
มู่น่อนน่อนชะงักในขณะที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“เฉินถิงเซียวมาหาฉัน เขาว่าเขาช่วยฉันกอบกู้บริษัทเสิ่นซื่อกลับมาได้ แต่เงื่อนไขที่เขาว่ามานั้น คือไม่ให้ฉันมาหาเธออีก”
เสิ่นชูหานพูดไปด้วย และคอยสังเกตสีหน้าของมู่น่อนน่อนไปด้วย: “แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว เงื่อนไขที่เขาว่ามานั้นน่าสนใจมาก แต่ถ้าฉันยอมรับเงื่อนไขของเขา งั้นตอนนี้ฉันก็คงไม่สามารถมานั่งบอกชอบเธอตรงนี้ได้แล้ว ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า ชีวิตของคนเรามีเรื่องมากมายที่ไม่อาจเอาเงินทองและอำนาจมาเปรียบเทียบได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าวันนี้เสิ่นชูหานไม่ปกติตั้งนานแล้ว
ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะรวบรวมความกล้ามาสารภาพรักกับเธอ