ด้วยปัจจัยที่ซือหมิงหวนเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง การที่เขาประสบอุบัติเหตุถูกรถชนจึงมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างแน่นอน ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สรุปคดีความว่าเป็นเหตุมาจากการอุบัติเหตุทางการจราจร
สุดท้ายแล้วอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็สรุปสำนวนคดีให้เป็นอุบัติเหตุแค่นั้น
หลังจากสำนวนออกมาแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็เริ่มจัดงานศพของซือหมิงหวนทันที
หลังจากที่กลุ่มของเฉินชิงเฟิงมาถึงเมืองMแล้ว เรื่องของซือหมิงหวน ก็ไม่จำเป็นต้องให้เฉินถิงเซียวเข้ามาจัดการอีกแล้ว
ในที่สุดเขาก็มีเวลาว่างสักที
ก่อนที่เริ่มพิธีงานศพ สือเย่ก็กลับมาจากข้างนอก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องของเฉินถิงเซียวทันที
เฉินถิงเซียวใส่เสื้อสีดำกางเกงดำท่าทางเคร่งขรึมทั้งชุด พลางนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางสุขุมเคร่งขรึม
สือเย่เดินเข้ามาหา พลางพูดอย่างให้ความเคารพ “คุณชาย”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เงยหน้ามองเขา ก็แค่ถามกลับเท่านั้นเอง “ตรวจสอบเรื่องไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
สือเย่ตอบกลับ “ผมตรวจสอบแล้ว ซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดูเหมือนว่าจะเป็นอุบัติเหตุทางจราจรจริงๆ”
ขนาดเฉินมู่ยังถูกลักพาตัวไปทั้งที่ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ เฉินถิงเซียวจึงมีเหตุผลข้อกังขาว่าเรื่องอุบัติเหตุทางรถชนของซือหมิงหวนมันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุแค่นั้น
ก๊อก ก๊อก!
ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงของคนรับใช้ดังขึ้น “คุณชายเฉิน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องไปศาลาจัดงานศพแล้ว”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาทันที พลันจัดเสื้อเชิ้ตสีดำที่อยู่บนร่างกายของตนเองทันที พลางพูดกับสือเย่ว่า “ไปกันเถอะ”
……
เมื่อมาถึงศาลาจัดงานศพแล้ว คนในตระกูลซือต่างมากันครบแล้ว
ซือเฉิงหยู้ยืนต้อนรับแขกผู้คนที่มาแสดงความไว้อาลัยเป็นเพื่อนกับเฉินเหลียน
เฉินเหลียนใช้เวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ผอมโซลงไปเยอะ ขนาดแต่งหน้าหนาจัดก็ไม่สามารถปกปิดอายุมากที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน แถมยังผอมโซหมดเรี่ยวแรงอย่างมาก
เฉินถิงเซียวพยักหน้าเล็กน้อย พลางพูดอย่างสุขุม “ขอแสดงความเสียใจด้วย”
เฉินเหลียนไม่ได้พูดอะไร ทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้นเอง ท่วงท่าเช่นนี้ของเธอดูเหมือนหม่นหมองลงไปถนัดตา
หัวคิ้วของเฉินถิงเซียวเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางประเมินเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าไป เขาก็เห็นเฉินเจียฉินที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น
หลายปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าเฉินเจียฉินจะถูกปล่อยทิ้งปล่อยขว้างมาโดยตลอด แต่ว่าเลือดข้นกว่าน้ำ ปีนี้เขาอายุ15ปีแล้ว รู้ซึ่งคำว่าเสียชีวิตว่ามันหมายถึงอะไร
เขาได้สูญเสียบิดาไปตลอดกาล
เฉินถิงเซียวเดินมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างของเขา พลางยื่นทิชชูให้กับเขา
เฉินเจียฉินเงยหน้าขึ้น ดวงตาบวมฉึ่งและแดงก่ำ จมูกแดงแจ๋ พลันส่งเสียงสะอึกสะอื้นแหบพร่าเรียกเขา “พี่ชาย”
แค่ออกปากเรียกเขาเพียงเท่านี้ น้ำตาของเฉินเจียฉินก็ไหลพรากออกมาทันที
แม้ว่าเขาจะเม้มปากอย่างฝืนกลั้น ก็สามารถเห็นถึงอาการเสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามอดกลั้นอยู่ในลำคอ
“อื้อ” เฉินถิงเซียวส่งเสียงตอบรับ พลางยื่นทิชชูยัดใส่มือของเขา
คนเรามีเรื่องมากมายที่ไม่สามารถควบคุมได้ และก็ไม่สามารถเลือกได้
คำพูดปลอบใจ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงช่วงเวลาที่อ่อนแอหมดกำลัง
เฉินเจียฉินกำทิชชูที่เฉินถิงเซียวยื่นมาให้เขาไว้แน่น พลางก้มหน้าลงต่ำสุด เพื่อไม่อยากให้เฉินถิงเซียวเห็นใบหน้าของตนเอง แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ยังมองเห็นหยดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเป็นเม็ดที่หยดแหมะลงบนพื้น
เฉินถิงเซียวทำได้แค่ตบหลังของเขา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
……
หลังจากงานพิธีศพของซือหมิงหวนเสร็จสิ้นแล้ว กลุ่มของเฉินถิงเซียวก็เดินทางกลับมายังเมืองหู้หยางทันที
ช่วงกลางวันของเมื่อวานก่อนออกเดินทาง ทุกคนก็กำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่ในห้องโถง
จังหวะนั้นซือเฉิงหยู้ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาทันที “แม่ กลับไปเมืองหู้หยางก็พวกเราเถอะนะ”
คนอื่นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็หันไปทางเฉินเหลียนกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
มีเพียงเฉินถิงเซียวเท่านั้น ที่ทำอย่างกับหูทวนลมไม่ได้ยินและก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนเองต่อไปตามปกติ ราวกับว่าไม่สนใจสิ่งใดที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารทั้งสิ้น
เฉินเหลียนตะลึงไปชั่วครู่ แต่กลับไปได้เอ่ยปากตอบอย่างทันท่วงที
เฉินชิงเฟิงรีบพูดสมทบทันที “ใช่ หมิงหวนก็ไม่อยู่แล้ว เฉิงหยู้กับเสี่ยวฉินก็อยู่ในประเทศ คุณมาอยู่คนเดียวซึ่งที่นี่ก็หมดคนพึ่งพิงได้ ไม่สู้กลับไปยังเมืองหู้หยางกับพวกเราเถอะ”
ทุกคนต่างรอคำตอบของเฉินเหลียน
เฉินเหลียนวางส้อมและมีดที่อยู่ในมือลง พลางตอบกลับอย่างเสียงเบา “ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่ที่เมืองMจนเคยชินแล้วแหละ อยู่ที่นี่ต่อไปดีกว่า”
น้ำเสียงของเธอเพิ่งจะพูดเสร็จ เฉินเจียฉินก็วางแก้วน้ำที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะเสียงดังโครมคราม จนมีเสียง “ปึง” ดังลั่น
เวลานี้เอง ขนาดเฉินถิงเซียวถึงกลับหันไปเหล่มองเฉินเจียฉินกันอย่างพร้อมเพรียง
ช่วงนี้สีหน้าของเฉินเจียฉินก็ย่ำแย่มาก ใบหน้าเรียวเล็กอันงดงามก็เหี่ยวแห้งมาก
เขามองเฉินเหลียนด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย “ตามใจคุณเลย ในทางกลับกันคุณก็ไม่เลยสนใจไยดีพวกเราอยู่แล้ว’
เฉินชิงเฟิงไหวพริบดี พลางพูดเสียงแข็ง “เสี่ยวฉิน!”
เฉินเจียฉินแทบไม่ได้มองเฉินชิงเฟิงสักนิด พลางลุกขึ้นและสาวเท้ายาวเดินออกไปจากห้องอาหารทันที
“แม่ แม่ก็ยังเก็บไปคิดเลย เสี่ยวฉินเขายังเด็กนัก เดี๋ยวผมจะไปดูเขาเอง” ซือเฉิงหยู้กระซิบพูดปลอบโยนข้างหูของเฉินเหลียน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินตามเฉินเจียฉินทันที
เฉินเหลียนอยู่นิ่งอยู่หลายวินาที พลันลุกขึ้นยืน “ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณค่อยๆ กินกันไปนะ”
ราวกับฉากละครทะเลาะกัน พวกเขาสามคนแม่ลูกเดินไปจากโต๊ะอาหารทีละคน จนเหลือแค่เฉินชิงเฟิงกับเฉินถิงเซียวที่นั่งประจันหน้ากันอยู่
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผลมาถึงเฉินถิงเซียวเลย เขายังคงกินข้าวอย่างมีมารยาทต่อไป
เฉินชิงเฟิงเห็นภาพแล้ว พลางขมวดคิ้วตอนที่มองมายังเขาอย่างไม่พอใจ “ถิงเซียว แกกับเสี่ยวฉินมีความสนิทสนมกันดี กลับไปช่วยไปเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย”
เฉินถิงเซียวไม่ตอบหรือปฏิเสธทันที ได้แค่ตอบว่า “ซือเฉิงหยู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขานี่”
“พี่ชายแท้ๆ” ซึ่งเฉินถิงเซียวพูดเน้นย้ำสามคำ อย่างหนักแน่น
เมื่อเฉินชิงเฟิงได้ยินแล้ว สีหน้าถึงกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาจ้องมองเฉินถิงเซียวอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็พูดตอบ “นี่แกรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร
เสียงดัง “โครม” เฉินชิงเฟิงใช้ฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะอาหาร พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว “เฉินถิงเซียว ฉันกำลังถามแกอยู่นะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาต่ำ พร้อมทั้งพูดอย่างเย็นชาใส่ “ผมรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้มันสำคัญด้วยเหรอ? แม่ของผมถูกคุณปิดบังมาตลอดชีวิต เรื่องนี้ขนาดคุณปู่เองก็เพิ่งจะมารู้ทีหลังเหรอ? คุณนี่มันเก่งจริงๆ”
เฉินชิงเฟิงพูดอย่างหน้าดำหน้าแดงใส่ “นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ”
“เรื่องถูกลักพาตัวไปในปีนั้นมันเป็นเรื่องสุดวิสัย เรื่องคุณปู่ก็เป็นสุดวิสัยเช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องซือเฉิงหยู้ที่เกิดมาอย่างลับๆ นี่ก็เป็นเหตุสุดวิสัย อุบัติเหตุทางรถของอาเขยก็เป็นเรื่องสุดวิสัย….” เฉินถิงเซียวหยุดพัก น้ำเสียงพูดออกมาอย่างเยาะเย้ย “ชีวิตของคุณในครึ่งชีวิตนี้ต่างก็รายล้อมด้วยเรื่องสุดวิสัยทั้งสิ้น ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่ล้มเหลวจริงๆ”
ราวกับเฉินชิงเฟิงโมโหจนเสียสติไปแล้ว พลางชี้มาที่เขาพร้อมทั้งตะโกนใส่ “เฉินถิงเซียว แกคิดว่าฉันไม่กล้ายึดตำแหน่งประธาน CEOบริษัทเฉินซื่อให้ลงจากตำแหน่งใช่ไหม?”
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับอารมณ์โกรธของเฉินชิงเฟิงแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินถิงเซียวดูสงบผิดปกติ
เขาพูดอย่างไม่รีบร้อนหรือชักช้าแต่อย่างใด “งั้นก็ลองดูสักหน่อยไหมล่ะ คุณยึดตำแหน่งประธาน CEOบริษัทเฉินซื่อลงจากตำแหน่งจะเร็วกว่า หรือว่าให้ผมทำให้บริษัทเฉินซื่อล้มละลายอันไหนมันจะไวกว่ากัน”
เฉินชิงเฟิงยินยอมยกบริษัทเฉิงซื่อให้กับเฉินถิงเซียวตั้งแต่แรกนั้น ประเด็นสำคัญก็เป็นเพราะว่าเฉินถิงเซียวมีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจกว่าคนอื่นจริงๆ
บริษัทเฉินซื่ออยู่ในมือของเขา ก็มีปัญหาที่หนักหนามาก แค่ยกให้เฉินถิงเซียวถึงสามารถทำให้บริษัทเฉิงซื่อยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
แต่ว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฉินถิงเซียวจะมีวิธีการคิดเช่นนี้
เขาไม่กล้าจะเชื่อพลางจ้องมองมาทางเฉินถิงเซียว “ทำให้บริษัทเฉิงซื่อมันล้มละลายไปเลยมันดีกับแกตรงไหน! แกอย่าลืมนะว่าแกแซ่เฉิน! แกกับพวกเรา กับบริษัทเฉิงซื่อหล่อหลอมรวมตัวเป็นสิ่งเดียวกัน มันได้อย่าง เสียอย่าง!”