เฉินชิงเฟิงที่ถูกเฉินถิงเซียวต่อยก็ถุยเลือดทิ้งออกมา ประโยคที่สมบูรณ์ประโยคหนึ่งก็พูดไม่ออก
“แก…” เขาอ้าปาก ก็มีเลือดรินไหลออกมาจากในลำคอ
“ถิงเซียว หลานอย่าชกอีกเลย หลานจะชกเขาตายได้นะ…” เฉินเหลียนก้าวเข้ามาดึงเฉินถิงเซียวเอาไว้ แต่กลับถูกเขาสะบัดออก จึงล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
เฉินเหลียนยันร่างกายลุกขึ้นมานั่ง พลางลูบบริเวณทรวงอก “ถิงเซียว น้ารู้ว่าพวกเราผิดอย่างไร้เหตุผล แต่ว่า…”
จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ปล่อยเฉินชิงเฟิงแล้วหันหน้ามามองเธอด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงเจือไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวอยู่หลายส่วน “รู้ไหมว่าซือหมิงหวนตายได้อย่างไร”
เฉินเหลียนได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้แล้ว นัยน์ตาก็มีประกายสงสัยพาดผ่าน “เรื่องของซือหมิงหวน…ไม่ใช่อุบัติเหตุหรือ”
เธอหันหน้าไปมองเฉินชิงเฟิง “พี่คะ เรื่องของหมิงหวน พี่เป็นคนทำหรือคะ”
เฉินชิงเฟิงนอนอยู่บนพื้น อากาศออกจากปากมากกว่าอากาศที่เข้าไป จึงไม่มีแรงจะมาตอบคำถามของเฉินเหลียน
เฉินเหลียนกุมหน้าร้องไห้เงียบๆด้วยความเจ็บปวด “ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายหมิงหวน ฉันไม่อยากทำร้ายใครทั้งนั้น แต่ในปีนั้นพวกเราทำผิดไปเรื่องหนึ่ง พูดโกหก เมื่อทำผิดแล้ว ในภายหลังก็ทำผิดต่อมาเรื่อยๆ ต้องใช้คำโกหกมากมายเพื่อแก้ไข…”
เฉินถิงเซียวไม่มีจิตใจจะมานั่งฟังเฉินเหลียนสำนึกผิดที่นี่
บนโลกใบนี้ มีบางความผิดที่สามารถให้อภัยได้ แต่บางความผิดพลาด แม้ว่าคุณจะใช้ทั้งชีวิตก็ไร้ซึ่งหนทางในการแก้ไข
มารดาของเขา ชีวิตของซือเฉิงหยู้
มีอาชญากรบางคน ที่ถูกกำหนดเอาไว้ว่าไม่สามารถให้อภัยได้
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา
เขาเปิดประตูห้องใต้ดิน สือเย่และบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวออกมา พวกเขาก็เรียกด้วยความเคารพพร้อมกันว่า “คุณชาย”
“ช่วยหาหมอให้ผมคนหนึ่ง อย่าให้เขาตาย” เฉินถิงเซียวเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
สือเย่มองเข้าไปด้านในครู่หนึ่ง “ครับ”
ต่อมา ด้านในก็มีเสียงปังดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เฉินถิงเซียวไม่ได้หันหน้ากลับไป สือเย่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขามองเข้าไปด้านในครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คุณนายซือฆ่าตัวตายโดยการพุ่งชนกำแพงครับ”
ความรู้สึกบนใบหน้าเฉินถิงเซียวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเพียงแค่เอ่ยเรียบๆว่า “ไปดูสิว่าตายหรือไม่”
สือเย่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเฉินเหลียน แต่คิดไม่ถึงว่าในวันนี้พวกเขาจะเดินมาถึงจุดนี้
เขาเงยหน้ามองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง เฉินถิงเซียวมีสีหน้าเย็นชา บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใดเผยออกมา เย็นชาราวกับไม่ใช่คน
สือเย่ใจสั่น เดินเข้าไปอังลมหายใจของเฉินเหลียน
หลังจากนั้น เขาก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉินถิงเซียว “ยังมีลมหายใจครับ”
“อย่าให้พวกเขาตาย” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็ก้าวเท้าจากไป
ความตายสำหรับพวกเขานั้นง่ายดายเกินไปแล้ว
สำหรับเฉินถิงเซียว ก็ยากที่จะคลี่คลายความแค้นในหัวใจเช่นกัน
……
เฉินถิงเซียวไปอาบน้ำที่ห้องอื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถึงได้กลับไปหามู่น่อนน่อนที่ห้อง
ทว่าตอนที่เขากลับมาถึงห้องก็พบว่าในห้องไม่มีใคร
เฉินถิงเซียวหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเย็นชาในเสี้ยววินาที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันตรายว่า “มู่น่อนน่อนล่ะ”
บอดี้การ์ดตอบทันทีว่า “คุณหญิงน้อยไปเยี่ยมคุณท่านเฉินครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินถิงเซียวก็หมุนตัวเดินไปยังตึกที่คุณท่านเฉินพักอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว อากาศเย็นเล็กน้อย
ตอนที่เฉินถิงเซียวไปถึง ก็เห็นมู่น่อนน่อนกับคุณท่านเฉินนั่งเคียงไหล่กันอยู่ใต้ชายคาบ้านสองคน
คุณท่านเฉินยังคงมีท่าทางเหมือนเดิม นั่งทึ่มทื่อโคลงศีรษะอยู่บนเก้าอี้รถเข็น สีหน้าเฉยเมย
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างกายเขา กำลังเอ่ยสนทนากับเขาเบาๆ
และไม่รู้ว่าคุณท่านเฉินจะได้ยินหรือไม่ เพียงแค่ในบางครั้งก็ยิ้มออกมา ทว่ามองดูแล้วเหมือนกับว่ากำลังยิ้มโง่ๆ
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนแล้วก็ก้าวเท้ายาวเข้าไปหาเธอ
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่ามีคนมา เมื่อหันหน้าไปก็เห็นเขา จึงเรียกชื่อเขา “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวเดินมาถึงหน้าเธออย่างรวดเร็ว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงก็เจือไปด้วยโทสะ “ไม่ใช่ว่าให้คุณพักผ่อนดีๆในห้องหรือ”
“นอนไม่หลับ จึงมาเยี่ยมคุณปู่ ฉันกลับมาจากซิดนีย์ ก็ไม่ได้มาเยี่ยมคุณปู่เลย” มู่น่อนน่อนจับมือคุณท่านเฉินไว้
ผู้เฒ่าที่ไม่เคยมีโทสะ แต่ยังคงมีบุคลิกที่น่าเกรงขามกลับกลายเป็นมีสภาพแบบนี้ มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกทุกข์ทรมานอยู่บ้าง
เฉินถิงเซียวมองคุณท่านเฉินครู่หนึ่ง เอ่ยสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง “เข็นคุณปู่เข้าไป”
หลังจากนั้น เขาก็ดึงมู่น่อนน่อนให้ลุกขึ้นแล้วเดินกลับห้อง
“ฉันยังอยากจะอยู่อีกสักหน่อย…” มู่น่อนน่อนไม่ยอมเดินตามเขาไป อดไม่ได้ที่จะหันไปมองคุณท่านเฉิน
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรแล้วอุ้มเธอขึ้นมาทันที
บริเวณหัวเลี้ยว เขาหันหน้ากลับไปมองทิศทางของคุณท่านเฉินครู่หนึ่ง
บางทีการที่คุณปู่เป็นแบบนี้ในตอนนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
……
เมื่อกลับไปถึงห้อง เฉินถิงเซียววางมู่น่อนน่อนลงบนเตียง “พักผ่อนให้ดี ผมจะเฝ้าคุณ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกได้ว่า นับตั้งแต่ที่เธอถูกซือเฉิงหยู้จับตัวไปแล้วได้รับบาดเจ็บ เฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนเป็นคนที่ระมัดระวังในเรื่องเล็กๆน้อยๆมากเกินไป ทั้งยังหวาดระแวงอยู่บ้าง
“ฉันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจริงๆ” หลายวันมานี้ มู่น่อนน่อนอธิบายเรื่องนี้กับเขาไปหลายครั้งแล้ว
เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอครู่หนึ่ง ยื่นมือไปเหน็บชายผ้าห่มแทนเธอแล้วนั่งลงบนเตียงโดยไม่พูดอะไร ท่าทางราวกับว่าหากเธอไม่นอน เขาก็จะเฝ้าอยู่ที่นี่ไปตลอด
มู่น่อนน่อนจนปัญญา จึงทำได้เพียงแค่หลับตาลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พบว่าตัวเองยังคงนอนไม่หลับจึงลืมตาขึ้น พบว่าเฉินถิงเซียวยังคงจ้องมองเธอนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมา เฉินถิงเซียวก็หรี่ตาลงอย่างอันตราย
มู่น่อนน่อนจึงทำได้เพียงแค่หลับตาแล้วพูดกับเขา “คุณจะเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรือคะ คุณไม่ไปหาซือเฉิงหยู้?”
“พรุ่งนี้เขาจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่” เฉินถิงเซียวเอ่ยจบแล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้นอนได้แล้วสินะ”
“ฉันนอนไม่หลับ” มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจลึก “ฉันเพียงแค่นึกถึงเรื่องที่มู่มู่ยังคงอยู่ในมือของซือเฉิงหยู้ ฉันก็นอนไม่หลับ”
เธอมีประสบการณ์แล้วว่าซือเฉิงหยู้มีความวิปริตมากเพียงใด เมื่อเขาเป็นบ้าขึ้นมาก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
ตอนนี้เมื่อเธอหลับตาลง ในสมองก็จะปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ซือเฉิงหยู้กระทำการอย่างโหดร้ายต่อมู่มู่ต่างๆนาๆ
ในใจของเธอไม่กล้ามีแม้กระทั่งความรู้สึกว่าจะโชคดีสักเล็กน้อย
หลายวันมานี้เฉินถิงเซียวเฝ้าเธออย่างใกล้ชิด แม้ว่าภายนอกเธอจะให้ความร่วมมือในการกินยานอนหลับเพื่อรักษาตัว แต่เธอแทบจะนอนไม่หลับทั้งคืน
เธอมักจะหลับตาทั้งที่สมองแจ่มใสในยามค่ำคืน นึกถึงมู่มู่ทั่วทั้งร่างก็จะรู้สึกเหน็บหนาว
ไม่สามารถโอบกอดความหวังต่อคนที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปในนรกได้
เฉินถิงเซียวขบกรามแน่น มือที่วางอยู่บนเตียงก็เกร็งเขม็ง แต่น้ำเสียงของเขายังสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก “ตอนกลางคืนจะพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง”
“ใครคะ” มู่น่อนน่อนลืมตา
“ตอนกลางคืนคุณก็จะรู้เอง”
……
ช่วงอาหารมื้อเย็น มู่น่อนน่อนลงไปกินข้าวที่ชั้นล่าง
เมื่อมู่น่อนน่อนเดินไปถึงห้องอาหาร เธอก็พบว่าที่หน้าโต๊ะอาหารมีคนอยู่คนหนึ่งแล้ว
และยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนี้เห็นเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “สวัสดีค่ะ ฉันคือซูชิงหนิง”