ก้นบึ้งหัวใจเฉินถิงเซียวพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาดตีพุ่งขึ้นมา เหมือนว่า….อดใจไว้ไม่ได้?
เขารู้สึกว่าในความคิดที่อยู่ในใจของตนเองในเวลานี้มันช่างตลกชะมัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่มีตรงไหนที่พิเศษอะไรเลย ทำไมเวลาเขาแค่มองเธอเปียกฝนก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว
รอจนเขาได้สติกลับมานั้น ก็รู้ว่าตัวเองได้ถือร่มลงจากรถแล้ว
เขารีบวิ่งเหยาะๆ มาหาทันที เพื่อไล่ตามมู่น่อนน่อน
“คุณมู่” ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเรียกมู่น่อนน่อนแค่นั้นเอง เขารู้สึกทนไม่ได้แล้วจนต้องยกมุมปากหัวเราะเยาะให้ตัวเอง แต่นัยน์ตาไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น
มู่น่อนน่อนใช้กระเป๋าบังศีรษะเอาไว้และวิ่งไปทางหมู่บ้าน แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลัง ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะวิ่งตามมา
“คุณเฉิน คุณมาได้ยังไงคะ?”
เสียงมู่น่อนน่อนเพิ่งจะสิ้นเสียง ก็ได้ยินมีเสียงชายหนุ่มอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนชำเลืองมองเฉินถิงเซียวแค่เพียงแวบเดียว พอหันศีรษะไปอีกทางก็เห็นลี่จิ่วเชียนแล้ว
“ลี่จิ่วเชียน? แล้วทำไมคุณถึงออกมาล่ะคะ?”
ลี่จิ่วเชียนใส่เสื้อผ้าชุดพ่อบ้านอันอ่อนโยนทั้งชุด ในมือก็กางร่มชายตาหมากรุกออกมา และวิ่งเหยาะ ๆ หน้าตั้งมุ่งหน้ามาหาเธอ
ทว่าทางด้านหลังกลับมีเสียงทุ้มต่ำเย็นเฉียบของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมา “เพื่อนคุณเหรอ?”
“เอ่อ… ว่าที่สามีค่ะ” มู่น่อนน่อนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้ลังเลกับเรื่องนี้อยู่แวบหนึ่งนะ
เพิ่งจะพูดจบ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าบรรยากาศที่อยู่รอบตัวเริ่มอุณหภูมิลดระดับลง
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยความสงสัย
แต่ว่า ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด และไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้
ชั่วขณะเมื่อครู่นี้ เธออาจจะรู้สึกผิดไปเองก็ได้มั้ง
เวลานี้เอง ลี่จิ่วเชียนก็เดินมาถึงด้านหน้าของทั้งสองคน
สายตาของเขากวาดตามองมู่น่อนน่อนกับเฉิงถิงเซียวทั้งสองคนไปมา แววตาปกปิดเอาไว้อย่างลึกซึ้ง
จากนั้น เขากวักมือไปทางมู่น่อนน่อน “น่อนน่อน มานี่เร็ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้ว ก็ก้าวเท้าเตรียมเดินไปอยู่ใต้ร่มของลี่จิ่วเชียน
แต่พอเธอย่างเท้าออกเพียงก้าวเดียว ก็รู้สึกว่าข้อมือของตนเองถูกคนคว้าเอาไว้แล้ว
เธอหันไปมองทางด้านข้าง ก็เห็นว่าข้อมือของตนเองนั้นมีมือของผู้ชายอีกข้างติดมาด้วย
ฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งหนาและใหญ่แถมมีพลังอีกด้วย พละกำลังที่คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก็ไม่ได้รุนแรงหรือเบามากนัก มือของเขาร้อนผ่าวเล็กน้อย ความร้อนผ่าวนั้นช่างทำให้คนตกใจเหลือเกิน ราวกับต้องการจะทะลุเข้าผิวของเธอแล้วซึมผ่านเข้ามาในเลือดจนเข้ากระดูกอยู่เช่นนั้น
“คุณเฉิน คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” มู่น่อนน่อนพยายามขัดขืน แต่ไม่สามารถสะบัดมือของเฉินถิงเซียวได้
เมื่อมองดูแล้วเขาก็ไม่ได้ใช้แรงสักเท่าไหร่ แต่กลับสะบัดออกยากมาก
คุณเฉินท่านนี้ดูแล้วก็เข้ากับคนยากขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับมาคว้าเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเธองั้นเหรอ?
เฉินถิงเซียวใช้สายตามองต่ำมาที่เธอ สีหน้าของหญิงสาวซีดขาวกว่าคนปกติทั่วไป เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับคนทั่วไปก็ดูป่วยเล็กน้อย มีแค่ดวงตาสวยสง่าเหมือนแมวคู่นั้น ที่ช่างเย้ายวนใจอย่างบอกไม่ถูก
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่าตนเองคงประสาทไปแล้วจริงๆ
เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดถึงว่าที่สามีของตนเองแล้ว ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
และที่น่าตลกไปใหญ่ก็คือวินาทีที่มู่น่อนน่อนเดินไปเมื่อครู่นั้น สัญชาตญาณของเขาพลันยื่นมือออกไปคว้าเธอเอาไว้
ขนาดตนเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะว่าอะไร
สายตาของลี่จิ่วเชียนจับจ้องอยู่ที่มือของเฉินถิงเซียวที่จับมู่น่อนน่อนเอาไว้แน่น แต่ก็เบนสายตาไปชั่ววินาที และมองมาทางใบหน้าของเฉินถิงเซียว “คุณผู้ชายท่านนี้ รบกวนปล่อยเธอด้วยครับ”
เฉิงถิงเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยมู่น่อนน่อนไป
พอมู่น่อนน่อนถูกปล่อยมือ ก็เดินเข้ามายืนใต้ร่มของลี่จิ่วเชียนทันที
ลี่จิ่วเชียนเอนร่มที่อยู่ในมือไปทางเธอเล็กน้อย มู่น่อนน่อนยิ้มให้เขา พลันเงยหน้าพูดกับเฉินถิงเซียว “คุณเฉินคะ นี่คือว่าที่สามีของฉันค่ะลี่จิ่วเชียน”
จากนั้น เธอก็พูดกับลี่จิ่วเชียนต่อ “วันนี้ไปเดินเที่ยวกับเสี่ยวเหลียง เลยไปเจอลูกสาวของคุณเฉินที่ห้างฯพอดี….”
เธออธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ ตั้งแต่ต้นจนจบให้ลี่จิ่วเชียนฟัง
ลี่จิ่วเชียนฟังจบแล้ว พลางยิ้มให้เธออย่างปลอบโยน จากนั้นก็หันมาทางเฉินถิงเซียวและพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ คุณเฉินด้วยครับ ที่มาส่งว่าที่ภรรยาของผม”
เฉินถิงเซียวเองสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่นัยน์ตาอันลึกซึ้งเท่านั้นที่เหลือบมองมู่น่อนน่อนอยู่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปทันที
เขาถือร่มสีดำเข้ม เงาร่างกายสูงโปร่งซ่อนเร้นท่ามกลางสายฝนพรำ เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่าช่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนบ่นพึมพำ “ช่างเป็นคนที่นิสัยแปลกประหลาดจริงๆ”
จู่ ๆ ก็มีลมพัดตีขึ้นมาระลอกหนึ่ง เสื้อผ้าของมู่น่อนน่อนเปียกปอนไปทั่วตัว หนาวจนปากสั่นกึกๆ
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเห็นอากัปกิริยาตอบสนองกลับของเธอ พลันเงื้อมือขึ้นมาโอบหัวไหล่ของเธอเอาไว้ และพูดเสียงทุ้มต่ำ “กลับกันเถอะ”
“อืม” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบรับ พลันหันไปด้านข้างเพื่อมองมือของเขาที่พาดลงบนหัวไหล่ของตนเอง แถมขยับหนีไปด้านข้างอย่างไม่บอกไม่กล่าว
เธอยังไม่คุ้นชินกับการที่ลี่จิ่วเชียนมาแตะต้องตัว
และก็ไม่รู้ว่าลี่จิ่วเชียนเองก็สัมผัสอาการขัดขืนของเธอได้หรือไม่ วินาทีต่อมาก็ปล่อยมือลงทันที
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมาถึงรถนั้น เฉินมู่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาพอดี
เธอนอนกอดกล่องนมเปล่า พลางเงยหน้าจ้องมองหลังคารถอย่างเบลอๆ
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเข้ามาแล้ว เธอก็เบนสายตาไปทางเขา พลางเรียกอย่างออดอ้อน “คุณพ่อ”
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถ และหันไปมองเฉินมู่
เฉินมู่เองก็กะพริบดวงตาดั่งลูกองุ่นสีดำมองมาทางเขา
ทั้งสองคนพ่อลูกอยู่ในตัวรถ ต่างมองหน้ากันไปมา มองเช่นนั้นกันอยู่สักพัก
จู่ ๆ เฉินถิงเซียวก็ย่นคิ้วเข้าหากัน
ผู้หญิงแซ่มู่คนเมื่อครู่นี้ ต้องมีปัญหาอะไรแน่ ๆ
เพราะมักจะทำให้เขาเกิดความคิดซับซ้อนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวออกมาแต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขารู้สึกว่าเฉินมู่กับผู้หญิงคนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกันจริงๆ
เฉินถิงเซียวทำหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านทันที
เฉินมู่พูดคุยเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง
ตอนที่พวกเขามาถึงด้านหน้าประตูใหญ่ของวิลล่าตระกูลเฉิน ก็มีคนรับใช้ถือร่มและช่วยเปิดประตูรถให้พวกเขา
เฉินถิงเซียวอุ้มตัวเฉินมู่ขึ้นมาและเดินเข้าประตูทันที
ในห้องโถงเฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งแสดงท่าทางสอบสวนกลับมา
เมื่อเห็นเฉินถิงเซียวกำลังอุ้มตัวเฉินมู่เข้ามานั้น พลันส่งเสียงในลำคอ และพูดจาออกมาด้วยสีหน้าที่ดีไม่ได้เลย “ยังดีที่แกรู้แล้วว่าต้องกลับมา!”
น้ำเสียงของเฉินจิ่งหยุ้นเย็นชามาก เสียงก็ดังขึ้นเล็กน้อย
เฉินมู่ที่เป็นแค่เด็กเล็ก ตกใจจนกอดคอเฉินถิงเซียวเอาไว้แน่น และยังเอนศีรษะซบกับไหล่ของเขา แถมยังหลับตาไม่กล้าจะมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้นเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าปกติเธอจะซน แต่ว่าเมื่อเห็นผู้ใหญ่โกรธจริงๆ ขึ้นมากับตาของตัวเอง ก็ยังกลัวอยู่
เฉินถิงเซียวสัมผัสได้ถือปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยของเธอ พลางยื่นมือออกไปลูบหลังของเธอเป็นการปลอบใจ จากนั้นก็วางตัวเธอลงบนพื้น “อนุญาตให้ลูกไปกินไอศกรีมครึ่งกล่องได้ ไปเลยค่ะ”
พอได้ยินว่ากินไอศกรีมเท่านั้นแหละ ดวงตาของเฉินมู่พลันทอประกายออกมาอย่างลิงโลด
เฉินถิงเซียวเหลือบมองคนรับใช้ที่คอยเฝ้าประกบอยู่ข้างหลัง จากนั้นคนรับใช้ผู้หญิงก็เดินนำหน้า และจับมือเฉินมู่เดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัว “คุณหนูน้อย เราไปกินไอศกรีมกันนะคะ”
เฉินจิ่งหยุ้นเพิ่งจะรู้ตัวว่าพฤติกรรมของตนเองเมื่อครู่นี้ ทำให้เฉินมู่ตกใจ
สีหน้าของเธอเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข แต่ว่าก็ยังทำคอแข็งพูดต่อไป “ทำไมแกถึงได้มั่นใจขนาดนั้นด้วย การประชุมในวันนี้มันมีความสำคัญมากแค่ไหนแกย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมถึงพูดว่าเลื่อนแล้วต้องเลื่อนไปเลย…”
เฉินถิงเซียวหัวเราะแห้งๆ ออกมา แววตาอันคมกริบจ้องมองมาที่เฉินจิ่งหยุ้น “วันนี้เฉินมู่เกือบหายตัวไปอยู่แล้ว คุณรู้หรือเปล่า?”
เฉินจิ่งหยุ้นพอได้ยินถึงกลับตกตะลึงทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ได้ยินพวกคนรับใช้พูดว่า เป็นเพราะซูเหมียน….”
เฉินถิงเซียวแสดงสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งออกมา น้ำเสียงก็เย็นเฉียบจนคนหวั่นใจ “ซูเหมียนพาตัวเฉินมู่ออกไปจนเกือบหายตัวไปอยู่แล้ว เรื่องนี้ ผมจะคิดบัญชีกับคุณดี หรือว่าจะไปคิดบัญชีกับซูเหมียนดี?”