ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเบาๆได้ขัดความคิดของเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเก็บอารมณ์ทางสีหน้าขึ้น:“เข้ามา”
บอดี้การ์ดได้ผลักประตูเข้ามา แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม:“คุณหนูเฉิน ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วครับ”
“ไม่ต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนแล้ว ออกเดินทางตอนนี้เลย”
เฉินจิ่งหยุ้นออกคำสั่ง ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เข้ามาเคลื่อนย้ายเฉินถิงเซียว
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ส่งตัวเฉินถิงเซียวขึ้นไปบนเครื่องบิน ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเฉินถิงเซียวเหมือนมีสัญญาณว่าจะฟื้นขึ้นมา
“คุณหนูเฉิน ตุณชายเฉินน่าจะอีกไม่นานก็คงจะฟื้นขึ้นมา”
คุณหมอบอกเรื่องนี้กับเฉินจิ่งหยุ้นด้วยใบหน้าที่ดีใจ แต่กลับไม่เห็นความดีใจบนใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นสักนิดเดียว
เธอเพียงกล่าวประโยคเบาๆ:“รับทราบแล้วค่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นไล่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนอื่น ๆ ออกไป เหลือหนึ่งในนั้นไว้เพียงคนเดียว แล้วกล่าวกำชับ:“ความเป็นไปที่เขาจะฟื้นขึ้นมาในช่วงนี้นั้นบ่อยขึ้น จงเพิ่มปริมาณยาให้เขา ก่อนที่จะไปอเมริกา อย่าให้เขาได้ฟื้นตื่นขึ้นมา”
ความจริงแล้วอาการบาดเจ็บของเฉินถิงเซียวดูไม่ได้สาหัสขนาดนั้น
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ เฉินถิงเซียวนั้นสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นสั่งให้คนวางยาเฉินถิงเซียว จึงทำให้เขาไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้
คำพูดของกู้จือหยั่นก่อนหน้านี้ได้ทิ่มแทงหัวใจของเฉินจิ่งหยุ้น
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินถิงเซียวจะจืดชืด แต่ว่าในใจเธอก็รู้ดี หากเฉินถิงเซียวฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเธอไม่ได้ส่งคนไปช่วยค้นหามู่น่อนน่อน จะต้องโกรธแค้นเธออย่างแน่นอน
เธอจะต้องไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
แต่โชคดีตรงที่เธอสามารถติดต่อกับนักสะกดจิตที่เชี่ยวชาญมีชื่อเสียงที่สุดในโลก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินจิ่งหยุ้นก็ยกริมฝีปากขึ้น แววตาประกายความมุ่งมั่นแน่วแน่
……
เครื่องบินได้จอดลงที่ลานจอดส่วนตัวในประเทศM เฉินจิ่งหยุ้นได้ติดต่อทางฝั่งนักสะกดจิต และฝั่งนั้นก็ได้ส่งคนมารับแล้ว
ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาได้เดินมาที่ด้านหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น:“ขออนุญาตถามว่าใช่คุณคุณหนูเฉินหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะฉันเอง”
เมื่อยืนยันตัวตนกันแล้ว พวกเขาก็พาเฉินถิงเซียวกับเฉินจิ่งหยุ้นจากไปพร้อมกัน
ในใจของเฉินจิ่งหยุ้นยังคงไม่เชื่อใจนักสะกดจิตผู้เชี่ยวชาญคนนั้นสักเท่าไหร่ :“พวกคุณเป็นลูกน้องของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเหรอ”
ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถได้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า:“คุณหนูเฉินยังคงไม่เชื่อใจเจ้านายของพวกเราหรือครับ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องเชื่อเขา ถึงแล้วครับ เชิญคุณหนูเฉินลงจากรถได้เลยครับ”
เฉินจิ่งหยุ้นกัดฟันแล้วเดินลงจากรถ
ด้านหน้าเป็นวิลล่าทรงกลมสีดำที่มีสไตล์แปลกๆ
เฉินจิ่งหยุ้นเกิดความอยากถดถอยขึ้นในใจ ทั้งวิลล่านี้ รวมไปถึงลูกน้องสองคนที่ผู้เชี่ยวชาญส่งมารับนั้นดูแปลกประหลาดเกินไป
คนที่อยู่ด้านหลังเปล่งเสียงเร่งรัดเธอ:“คุณหนูเฉิน เชิญครับ”
ตอนที่เฉินจิ่งหยุ้นมานั้นไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย เพียงเพราะว่าต้องการให้คนที่รู้เรื่องนี้นั้นยิ่งน้อยก็ยิ่งดี
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็จะต้องลองสักตั้ง
เฉินจิ่งหยุ้นยกเท้าเดินเข้าไปด้านใน
พวกเขาพาเธอเดินเข้าไปข้างใน
ผ่านระเบียงทางเดินจนกระทั่งเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง
ในห้องมีการเปิดไฟไว้ มีผนังด้านหนึ่งที่ทั้งแถบเป็นตู้ชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ด้านหน้าตู้เป็นโต๊ะหนังสือที่ทำมาจากไม้ ด้านหน้าโต๊ะหนังสือมีร่างของชายหนุ่มที่สูงใหญ่นั่งอยู่
ชายหนุ่มสวมแว่นตาใส่ผ้าปิดปากไว้ และทั้งร่างสวมใส่ด้วยชุดสูทสีดำล้วน ทำให้ดูลึกลับมาก
ลูกน้องเดินเข้ามาที่ด้านหน้าของชายหนุ่มอย่างนอบน้อม:“MR.Li ได้พาคนมาถึงแล้วครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินมาที่ด้านหน้าของเฉินจิ่งหยุ้น ยื่นมือมาหาเธออย่างสุภาพ:“สวัสดีครับ คุณหนูเฉิน”
เขานั้นพูดภาษาจีน
เฉินจิ่งหยุ้นยื่นมือออกไป แล้วถามหยั่งเชิง:“คุณหลี่?”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“เริ่มต้นกันได้แล้ว”
“คุณหลี่ ปกติแล้วคุณสวมหน้ากากตลอดเวลาเหรอคะ” เฉินจิ่งหยุ้นค่อนข้างระแวดระวัง ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ดูแล้วเด็กเกินไป
“พาคุณหนูเฉินออกไปดื่มน้ำชา” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ลูกน้องของเขาจึงได้เชิญแกมบังคับเฉินจิ่งหยุ้นออกไป
ประตูถูกปิดลง สายตาของชายหนุ่มตกกระทบไปที่เรือนร่างของเฉินถิงเซียว
เขาถอดแว่นออก ในแววตาประกายความสนใจ แล้วพึมพำ :“ดูน่าสนุกแฮะ”
……
“เมื่อเร็วๆนี้ มีปาปารัสซี่ถ่ายติดรูปการเดินทางของเฉินถิงเซียวประธานแห่งบริษัทเฉินซื่อ ในรูปเขาดูสนิทสนมกับสาวน้อยคนหนึ่งมากประหนึ่งว่าเป็นลูกสาว……”
ในห้องวีไอพี ทีวีกำลังนำเสนอข่าวบันเทิง
พยาบาลที่กำลังเปลี่ยนยาให้กับผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็เริ่มซุบซิบกันอย่างเงียบๆ
“ข่าวจริงหรือเปล่าเนี่ย ที่ว่าเฉินถิงเซียวมีลูกสาว”
“ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมีข่าวว่ามีคู่หมั้นไม่ใช่เหรอ เด็กนั้นจะใช่ลูกที่เกิดจากเขากับคู่หมั้นหรือเปล่า”
หนึ่งในพยาบาลชี้ไปทางผู้ป่วยหญิงที่นอนอยู่บนเตียงแล้วกล่าวเตือนสติ:“……เธอระวังหน่อย อย่าฉีดลึกเกินไป……”
พยาบาลอีกคนกล่าวอย่างไม่พอใจ :“ฉีดลึกหน่อยเธอก็ไม่รู้สึกหรอก คนป่วยที่นอนติดเตียงมาสามปี เกรงว่าคงจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วมั้ง”
“อย่าพูดแบบนี้…….มาฉันทำเอง”
พยาบาลกำลังจะนำเข็มฉีดยาฉีดเข้าไปในข้อมือของผู้ป่วย ก็รู้สึกว่าข้อมือที่ถูกเจาะฉีดมาเป็นเวลานานแรมปีจนเขียวช้ำไปหมดนั้นเหมือนกับมีการขยับเขยื้อน
“เมื่อกี้นี้ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า”
พยาบาลอีกคนกล่าวถามเธอ:“อะไรเหรอ”
เวลานี้ เสียงผู้หญิงที่อ่อนแอแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินได้ดังขึ้น:“พวกคุณ……คือ……”
พยาบาลสองคนต่างก้มมองหญิงสาวที่อยู่บนเตียงพร้อมกัน:“คุณฟื้นแล้วเหรอ!”
มู่น่อนน่อนกะพริบตาขึ้น เนื่องจากนอนมาสามปี การพูดจาจึงค่อนข้างลำบาก
ยังไม่ทันรอให้เธอได้พูดขึ้นอีกครั้ง พยาบาลทั้งสองคนก็ได้วิ่งออกไปแล้ว
“ฉันจะไปโทรศัพท์บอกคุณลี่!”
“ฉันจะไปบอกคุณหมอ!”
……
ลี่จิ่วเชียนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากลิฟต์ ก็มีพยาบาลที่วิ่งเข้ามาแจ้งข่าวกับเขาด้วยความดีใจ:“คุณลี่ คู่หมั้นของคุณฟื้นแล้ว ฟื้นเมื่อกี้นี้เอง!”
สามปีก่อน โรงพยาบาลมีผู้ป่วยหญิงคนหนึ่งได้เข้ามาทำการรักษา สามปีผ่านไปแล้วก็ยังนอนไม่ฟื้น แต่ว่าชายหนุ่มที่ชื่อลี่จิ่วเชียนไม่ว่าฝนจะตกลมจะแรงอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดการมาเยี่ยมดูผู้ป่วยหญิงคนนี้ได้ และเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ
ถึงแม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะไม่เคยบอกความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู้ป่วยหญิงคนนั้นว่าเป็นอะไรกัน แต่พยาบาลเหล่านี้ต่างรู้สึกว่าผู้ป่วยหญิงคนนั้นเป็นคู่หมั้นของลี่จิ่วเชียน
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้นแววตาก็ประกายรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับไม่รู้สึกประหลาดใจ:“จริงเหรอครับ”
พยาบาลเห็นลี่จิ่วเชียนเป็นแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้น เขาควรจะดีใจมากไม่ใช่เหรอ
“ผมจะดูไปเธอก่อน” ลี่จิ่วเชียนเฉยเมยกับความสงสัยของพยาบาล และก็เดินตรงเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ในห้องผู้ป่วยมีแพทย์หลายคนที่กำลังตรวจดูอาการของมู่น่อนน่อน
ลี่จิ่วเชียนเดินเข้าไป เห็นมู่น่อนน่อนที่ใบหน้าซูบผอมนอนมึนงงอยู่บนเตียง จึงเปล่งเสียงกล่าวขึ้น:“มู่น่อนน่อน ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว”
ผู้ป่วยหญิงที่นอนอยู่บนเตียงได้เงยหน้าขึ้นมองลี่จิ่วเชียน คู่ดวงตาที่เดิมทีงดงามสดใสประหนึ่งดวงตาแมวแต่ตอนนี้ไร้ซึ่งราศีหันมามองลี่จิ่วเชียน น้ำเสียงแหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยิน :“คุณเรียกฉันเหรอ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินเสียงของเธอ สีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ยื่นมือชี้มาที่ตัวเอง :“คุณรู้จักผมไหม ผมเป็นใคร”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า:“คุณเป็นใคร”
ลี่จิ่วเชียนหรี่ตาลง แล้วยกริมฝีปากขึ้น:“คู่หมั้นของคุณ”
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่สองสามวินาที แล้วแววตาผุดความสงสัย:“จริงเหรอ”