เธอจำโครงสร้างเรื่อง “เมืองพัง” ได้ แต่เธอจำรายละเอียดบางอย่างได้ไม่ชัดเจน
ตอนนี้จะเขียนภาคสอง เธอต้องทบทวนเนื้อหาภาคแรกอีกครั้ง
ตลอดช่วงบ่าย มู่น่อนน่อนดู “เมืองพัง” ด้วยแท็บเล็ตของเธอ
แม้แต่ตอนที่เธอทำอาหาร เธอก็วางแท็บเล็ตไว้บนเคาน์เตอร์ หั่นผักไปด้วย ดูไปด้วย
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้นมานอกประตู
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนตกใจ และหลังจากกดหยุดเล่น แล้วก้าวเดินไปที่ประตู
ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปเปิดประตู ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก
มีชายแปลกหน้าในชุดเอี๊ยมทำงานยืนอยู่ที่หน้าประตู
มู่น่อนน่อนมีสีหน้าเย็นชา แล้วถามว่า “คุณเป็นใคร?”
ผู้ชายคนนั้นมองมู่น่อนน่อนด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เขาพูดด้วยเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ “ผมเป็นพนักงานไขกุญแจครับ… “
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเย็นชาลง “ฉันไม่ได้โทรให้คนมาไขกุญแจนี่คะ”
ในเวลานี้ ใบหน้าของชายหนุ่มที่คุ้นเคยก็พูดขึ้นมา“ฉันเรียกเขามาเปิดเอง”
ผู้ชายที่ไขกุญแจก้าวถอยหลัง ใบหน้าที่หยิ่งทระนงของเฉินถิงเซียวก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของมู่น่อนน่อน
“เฉินถิงเซียว?” มู่น่อนน่อนยกยิ้มอย่างโมโห “คุณไม่มีอะไรทำ ให้คนมาไขกุญแจบ้านฉันทำไมคะ คุณเคาะประตูไม่เป็นหรือไง หรือไม่อย่างนั้น คุณก็โทรให้ฉันมาเปิดประตูให้ก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ!”
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวมองเธออย่างเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมไม่ได้เคาะประตู ไม่ได้โทรหาคุณหรือไง?”
หลังจากได้ยินแบบนั้น มู่น่อนน่อนก็รีบหันหลังกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอในห้อง
เธอหาโทรศัพท์มือถือของเธอเจอบนโต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น มีสายที่ไม่ได้รับหลายสาย ซึ่งทั้งหมดเป็นเฉินถิงเซียวที่โทรมา
ที่แท้เฉินถิงเซียวก็โทรมาหาเธอแล้ว…
คงเป็นเพราะเธอเอาแต่ดู “เมืองพัง” ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
เธอหันกลับมา แล้วพบว่าเฉินถิงเซียวเดินตามเธอเข้ามาในห้อง และตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟา
เขาคลายเนกไท และเอนกายพิงโซฟา แล้วมองมู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
มู่น่อนน่อนวางโทรศัพท์ลง หันหลังกลับไปเทน้ำใส่แก้วให้เขา
เฉินถิงเซียวจิบน้ำ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณทำอะไรอยู่?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดตามความจริงว่า “ดูหนังอยู่ค่ะ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเยาะ แต่ไม่พูดอะไร
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปทางประตูอีกครั้ง และพอมั่นใจว่ามีเพียงเฉินถิงเซียวที่อยู่ที่นี่ เธอจึงถามเสียงดังว่า “มู่มู่ล่ะคะ อยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”
พอพูดถึงเฉินมู่ สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็เคร่งขรึมลง “เป็นหวัด ผมเพิ่งกลับมาจากบริษัท แล้วจะมารับคุณไปดูเธอ”
มู่น่อนน่อนขยับริมฝีปาก คำพูดอยู่ตรงริมฝีปาก แต่เธอก็กลืนเข้าไปอีกครั้ง
เด็กมีภูมิต้านทานต่ำ เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะเป็นหวัดง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเองก็เป็นผู้ป่วยอยู่ใช่หรือไง?
“คุณรอฉันเดี๋ยวนะคะ ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” มู่น่อนน่อนพูด เธอลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทันที
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็รีบเดินออกมา
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิกำลังพอดี ไม่หนาวเกินไปและไม่ร้อนเกินไป ข้างบนเธอใส่เสื้อสเวตเตอร์สีขาว และกระโปรงข้างล่าง มันดูเรียบง่ายและอบอุ่นมาก
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วพูดเร่งเร้าเฉินถิงเซียว “ไปกันเถอะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวออกไป
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน
เฉินถิงเซียวเหลือบไปมองเธอเล็กน้อย เห็นเธอเม้มปากแน่น ท่าทางดูกังวลใจมาก
“พาไปหาหมอแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เด็กเป็นหวัดก็เรื่องธรรมดา” คำพูดของเฉินถิงเซียวเหมือนกำลังปลอบโยนมู่น่อนน่อนอยู่
แต่คำพูดของเขาไม่ส่งผลกับมู่น่อนน่อนเลย เธอพยักหน้าลวกๆ
ใบหน้าของเฉินถิงเซียวเริ่มบึ้งตึง เขาจึงไม่พูดอะไรอีก
……
ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองก็มาถึงบ้านพักของเฉินถิงเซียว
หลังจากลงจากรถแล้ว มู่น่อนน่อนก็รีบเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เธอเคยอาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียวมาก่อน ดังนั้นเธอจึงคุ้นเคยกับบ้านพักของเขามาก พอเธอเดินเข้าไปในห้องโถง เธอวิ่งตรงขึ้นบันไดไปชั้นบน และพุ่งตรงไปที่ห้องของเฉินมู่ทันที
เฉินมู่กำลังให้น้ำเกลืออยู่ มีขวดน้ำเกลือขนาดเล็กแขวนอยู่ข้างเตียง เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง หลับไปแล้ว
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วกระซิบเรียกเบาๆ “มู่มู่?”
ดวงตาของเฉินมู่เงาดำและเป็นประกาย ขนตาของเธอยาว แต่ไม่งอน เมื่อเธอนอนหลับ ขนตาก็ปกลงมาถึงมาถึงชั้นใต้ตาของเธอ
ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกผ้าห่มคลุมไว้ ตอนที่เธอหายใจปีกจมูกของเธอก็ขยับเบาๆ
ดูน่าสงสารมาก
เฉินมู่นอนหลับไม่ลึก มู่น่อนน่อนเพียงแค่กระซิบเรียกเธอ เธอก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว
นางกลอกตาไปมาอย่างงุนงง พอเห็นมู่น่อนน่อน เธอก็ยิ้มออกมา “คุณแม่”
ในขณะที่เธอพูด เธอก็เอื้อมมือออกไปอยากให้มู่น่อนน่อนอุ้ม
มู่น่อนน่อนเห็นจึงว่าเฉินมู่อยากให้ทำอะไร พอเห็นเฉินมู่เอื้อมมือขึ้นมา เธอก็เอื้อมมือออกไปกดมือเธอลง “อย่าขยับสิลูก มือลูกยังมีเข็มอยู่นะจ๊ะ”
พอได้ยินคำพูดดังกล่าว เฉินมู่ก็หันศีรษะแล้วเหลือบมองไปที่หลังมือของตัวเอง เธอเบะปากและน้ำตาก็ไหลออกมาทันที แต่เธอไม่ร้องไห้ออกเสียง
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ หัวใจของมู่น่อนน่อนก็บีบแน่นมาก
มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเธอ “ไม่เป็นไรจ้ะ มู่มู่จะหายป่วยเร็วๆ นี้แน่นอน”
เฉินมู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”
เธอใช้มืออีกข้างที่ไม่มีเข็มจับมือของมู่น่อนน่อนไว้แน่น “คุณแม่ขา อย่าไปไหนนะคะ”
“แม่ไม่ไปจ้ะ แม่จะอยู่กับลูกที่นี่” มู่น่อนน่อนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เฉินมู่ไม่ได้เจอเธอแค่หนึ่งเดียวกับคืนหนึ่ง จึงพูดคุยกันเล็กน้อย แล้วผล็อยหลับไปในไม่ช้า
มู่น่อนน่อนช่วยลูบหลังเธอ ก่อนจะหันหลังกลับ และเห็นเฉินถิงเซียวที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตอนนี้กลับมายืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว
เธอถูกเฉินถิงเซียวทำให้ตกใจมาก จึงพูดอย่างโกรธเคือง “คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบคำถามของเธอ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ใบหน้าของเฉินมู่ “หลับไปแล้ว”
“ค่ะ” มู่น่อนน่อนลุกขึ้นเดินออกไป แล้วกระซิบพูดกับเขา “เธอเป็นหวัดได้ยังไงคะ”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเฉยเมย “เมื่อคืนนี้ เธอเดินเท้าเปล่าออกจากห้องกลางดึกมาหาผมบอกจะหาแม่”
เขานอนไม่ลึก กลางดึกได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างนอก พอเขาออกมา เขาพบว่าเฉินมู่กำลังยืนเท้าเปล่าอยู่ที่ประตูหน้าห้องของเขา เธอร้องไห้สะอื้นไห้เงียบ ๆ จะหาแม่ของเธอ
กลางดึกแบบนี้เขาจะไปหาแม่ให้เธอจากที่ไหน?
สุดท้าย ไม่มีทางเลือกอื่น เฉินถิงเซียวทำได้เพียงพาเธอไปนอนด้วยที่ห้องของเขา
ถึงจะเป็นแบบนี้ เธอก็ยังเป็นหวัดอยู่ดี
แต่ว่า ช่วงเช้าตอนที่มู่น่อนน่อนโทรมา เฉินมู่ยังคงนอนหลับอยู่ และตอนนั้นเฉินถิงเซียวไม่รู้ว่ามู่มู่ได้เป็นหวัดแล้ว
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเขา เธอเดินออกไปนอกห้อง แล้วปิดประตูลง ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเฉินถิงเซียวว่า “พอเธอตื่นขึ้นมาฉันจะพาเธอกลับไปค่ะ”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชามากพอเขาได้ยินแบบนี้ “คุณหมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้มู่มู่ต้องการการดูแลจากฉันค่ะ ฉันต้องพาเธอกลับไปด้วย” หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ยกยิ้มเล็กน้อย “หรือจะให้ฉันอยู่ต่อคะ?”
ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูด มู่น่อนน่อนก็พูดปฏิเสธออกมาซะก่อน “คุณไม่ต้องการให้ฉันอยู่ต่อแน่นอน”