“คุณมาได้ยังไงคะ?”
มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวยังใส่ชุดสูทตอนที่แยกกันที่สนามบินของช่วงบ่ายอยู่ เขามองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นได้ก้มไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาแล้วตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน
เดินไปสองก้าว รู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้เดินตามมา เขาถึงหันมามองเธอแล้วพูดว่า:“ทานข้าว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก้มดูนาฬิกา นี่ถึงพบว่าหนึ่งทุ่มแล้ว
เฉินถิงเซียวได้อุ้มเฉินมู่มานั่งลงที่โซฟา มู่น่อนน่อนได้รีบปิดประตูแล้วตามไป
มู่น่อนน่อนถามเธอ:“มู่มู่หิวหรือเปล่าคะ?อยากทานอะไรคะ?”
เฉินมู่นั่งอยู่บนตักเฉินถิงเซียว และพูดอย่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ:“น่องไก่ค่ะ”
“น่องไก่เหรอคะ?เดี๋ยวแม่ดูก่อนนะคะว่ามีหรือเปล่า”มู่น่อนน่อนเดินไปที่ตู้เย็น
ตอนที่เธอออกจากบ้าน ก็กะไว้แล้วว่าประมาณครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนถึงจะกลับมา เพราะฉะนั้นของในตู้เย็นแทบจะเคลียร์หมดเกลี้ยงแล้ว นอกจากเนื้อแช่งแข็งในช่องฟิต
แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีน่องไก่อยู่หรือเปล่า
เธอไปเปิดตู้เย็นที่ห้องครัว ดูที่ช่องฟิตแล้วพบว่าข้างในยังมีน่องไก่อยู่จริงด้วย
เด็กชอบปีกไก่น่องไก่ ปกติตอนที่มู่น่อนน่อนซื้อก็จะซื้อไว้เยอะหน่อย ถึงช่วงนี้เฉินมู่ไม่ค่อยได้มาพักที่บ้านเธอก็ตาม
มือข้างนึงของมู่น่อนน่อนจับประตูตู้เย็นไว้ และได้ตะโกนไปที่ทิศทางของเฉินมู่:“มู่มู่ ตู้เย็นมีน่องไก่อยู่ หนูเล่นกับพ่อไปก่อนนะคะ แม่มาทำกับข้าว”
เฉินมู่ตอบคำนึงว่า:“โอเคค่ะ!”
มู่น่อนน่อนเอาเนื้อออกมาจากช่องฟิต จากนั้นก็ได้มองไปที่ห้องรับแขกอีกแว๊บนึง
เฉินถิงเซียวเปิดโทรทัศน์ ฟังเสียงแล้วเหมือนกำลังดูการ์ตูนแอนิเมชั่นอยู่
เฉินมู่กอดเจ้าเสือน้อยนั่งอยู่ข้างๆเขา จ้องโทรทัศน์ไว้อย่างจดจ่อ เฉินถิงเซียวนั่งไขว่ห้าง หลุบตาเล็กน้อยกำลังจ้องโทรทัศน์อยู่
ท่าทางของสองพ่อลูกเหมือนกันเป๊ะๆ
เฉินมู่จะคอยส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นพักๆ แต่เฉินถิงเซียวตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแค่จ้องหน้าจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วได้ไปทำกับข้าวที่ห้องครัว
ในบ้านไม่มีผักสด นอกจากเนื้อก็มีแค่มันฝรั่งไม่กี่ลูกกับเห็ดหูหนูแห้ง
มู่น่อนน่อนได้ทำน่องไก่ผัดซอสแดง เห็ดหูหนูผัดหมูแผ่น ผัดมันฝรั่งเส้น ซุปสาหร่ายกุ้งแห้ง
อาหารบ้านๆที่เรียบง่ายสุดๆ
ตอนที่มู่น่อนน่อนต้มน้ำซุป ก็ได้ตะโกนไปทางห้องรับแขก:“มู่มู่ กินข้าวแล้วค่ะ มาเอาถ้วยกับตะเกียบของหนูเร็ว”
ผ่านไปไม่นาน เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าค่อนข้างหนัก
ทุกครั้งที่บอกว่าทานข้าว เฉินมู่ล้วนจะวิ่งไปเอาถ้วยชามที่ห้องครัวด้วยความดี๊ด๊า
คนที่ฝีเท้าค่อนข้างหนักนี้ ย่อมเป็นเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
เธอชะงักไปครู่นึง จากนั้นได้หันมาดู พบว่าเฉินถิงเซียวเดินเข้ามาจริงๆด้วย
เขาไม่ได้มองมู่น่อนน่อน แต่ได้เดินมาที่หน้าตู้เก็บชามอย่างเป็นธรรมชาติมาก เปิดตู้เก็บชามและเอาถ้วยออกมาจากด้านใน
ถ้วยของเฉินมู่คือใช้ถ้วยของเด็กโดยเฉพาะ เขาหยิบของเฉินมู่ก่อน จากนั้นก็ได้หยิบถ้วยสีขาวสองใบ
คงจะเพราะรู้สึกได้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องมองเขาอยู่ จู่ๆเขาได้หันหน้ามา พอหันมาก็ได้สบตากับมู่น่อนน่อนพอดี
เดิมทีมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองมองอย่างเปิดเผย แต่นาทีนี้ถูกเฉินถิงเซียวจ้องแบบนี้ เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด
เธอยิ้มและหันไปดูซุปของตัวเองเงียบๆ
สาหร่ายกับกุ้งแห้งในน้ำซุปสาหร่ายล้วนไม่ต้องต้มเลย แค่ใส่ลงไปในถ้วย เอาน้ำร้อนราดใส่แล้วเพิ่มเกลือ น้ำส้มสายชูกับต้นหอมก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เธอเทน้ำร้อนลงไปเสร็จ ข้างๆก็มีมือข้างนึงยื่นมาใช้มือข้างเดียวยกน้ำซุปขึ้น
มู่น่อนน่อนหันไปมอง เห็นมืออีกข้างของเขายังถือถ้วยเอาไว้ด้วย จึงได้พูดว่า:“ฉันยกเองค่ะ……”
เฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอ มือข้างนึงถือถ้วยไว้ มืออีกข้างยกน้ำซุปไว้แล้วเดินออกไปอย่างชิวๆ
มู่น่อนน่อนได้แต่ปล่อยเขาไป ส่วนตัวเองก็ยกกับข้าวที่เหลือออกไป
หลังจากเฉินถิงเซียวที่อยู่ข้างหน้าเอาซุปวางลงบนโต๊ะอาหารแล้ว ก็ได้ตะโกนว่า:“มู่มู่ กินข้าว”
เฉินมู่ยังคงนั่งดูทีวีอย่างใจจดใจจ่ออยู่ ในหูไม่ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวเลย
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นได้ลุกเดินไป
เขาเดินไปหยิบรีโมทบนโต๊ะขึ้นมาแล้วปิดทีวีโดยตรง
เฉินมู่ที่กำลังดูอย่างเมามันอยู่ได้ฉุนขึ้นมาทันที เธอได้ยื่นมือโยนตุ๊กตาในมือออกไป พร้อมชี้เฉินถิงเซียวแล้วพูดจาเสียงดัง:“ทำไมต้องปิดทีวีของหนูด้วย!”
เนื่องจากโกรธ เสียงของเธอสูงขึ้นไม่น้อยเลย ฟังแล้วค่อนข้างแหลม
สำหรับเรื่องนี้เฉินถิงเซียวไม่สะทกสะท้านเลย เขาได้ยื่นมือชี้เจ้าเสือน้อยที่ถูกเธอโยนลงบนพื้นพร้อมพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ:“เก็บขึ้นมา”
“ไม่!”เฉินมู่ทำหน้ามุ่ยไว้แล้ว“หื้ม”ใส่เขาทีนึง ก็เตรียมไปเอารีโมทมาเปิดทีวี
มีหรือที่เฉินถิงเซียวจะดูการกระทำลับหลังของเธอไม่ออก ในขณะที่เธอยื่นมือ เขาก็ได้ยื่นมือมาหิ้วคอเสื้อของเธอไว้ หิ้วเธอจากโซฟาไปที่โต๊ะอาหาร
ตอนที่มู่น่อนน่อนยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมา ภาพที่เห็นก็คือภาพนี้
ตอนที่เฉินมู่ถูกเฉินถิงเซียวหิ้วขึ้นมา ตระหนักได้อย่างเซนซิทีฟว่าเขาคงจะโกรธแล้ว จึงไม่กล้าส่งเสียงอีก เธอได้กำหมัดน้อยๆไว้แน่น เบะปากเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา
มู่น่อนน่อนวางกับข้าวลงแล้วมองไปที่เฉินถิงเซียว:“มีอะไรคะ?”
เฉินมู่ที่เดิมทีเบะปากไว้ไม่กล้าร้องไห้ พอเห็นมู่น่อนน่อนปุ๊บ ก็ร้อง“งือๆๆ”ออกมาเลย:“แม่ หนูจะเอาแม่!”
เสียงร้องไห้เศร้ารันทดจนผิดหูผิดตา
ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่มู่น่อนน่อนได้เดินผ่านมาเห็นกับตา เธอคงนึกว่าเฉินถิงเซียวกำลังทารุณเฉินมู่
แล้ว
เฉินถิงเซียวยัดเฉินมู่เข้าไปในเก้าอี้เด็ก พร้อมพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“วันนี้ถึงหนูเรียกคุณปู่ก็ไม่มีประโยชน์”
เสียงร้องไห้ของเฉินมู่ได้หยุดไปครู่นึง จากนั้นก็แหงนหน้าร้อง“ฮือๆๆ”ขึ้นมาอีก และเรียกอย่างเศร้ารันทด:“คุณปู่!หนูจะเอาคุณปู่”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวมืดลงมาทันที
มู่น่อนน่อน:“……”
เธอก็เพิ่งจะเคยเห็นเฉินมู่ดื้อแบบนี้เป็นครั้งแรก
เฉินถิงเซียวรินน้ำแก้วนึงแล้วยื่นมาที่ปากของเฉินมู่:“ดื่มน้ำสงบสติอารมณ์ก่อน”
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่ใช่
มีการกล่อมเด็กแบบเขาด้วยเหรอ?
เธอทนดูต่อไปไม่ไหว เตรียมจะเดินไปอุ้มเฉินมู่ แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวห้ามเอาไว้
เสียงร้องของเฉินมู่ได้เบาลงมา เธอมองหน้ามู่น่อนน่อนไว้อย่างกล้ำกลืน:“แม่……”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวผลักเบาๆทีนึง เขาได้ทวนซ้ำอีกรอบ:“ดื่มน้ำ”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม ร่างเล็กๆของเฉินมู่สั่นเทาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าจะก้มหน้าไปดื่มน้ำจริงๆด้วย
เธอดื่มน้ำไปกรึ๊บใหญ่ เสร็จแล้วก็ได้ผลักแขนของเฉินถิงเซียวออก:“ไม่ดื่มแล้ว”
“สงบสติอารมณ์ได้รึยัง?”เฉินถิงเซียววางแก้วน้ำลงแล้วถามเธอ
เฉินมู่ยื่นมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดด้วยเสียงสะอื้น:“สงบสติอารมณ์ได้แล้วค่ะ”
เฉินถิงเซียวได้ถามอีกว่า:“กินข้าวมั้ย?”
เฉินมู่แหงนหน้ามองเขาแล้วพยักหน้า:“กินค่ะ”
เฉินถิงเซียวหยิบถ้วยของเธอขึ้นมาตักข้าวแล้ววางลงที่ตรงหน้าเธอ จากนั้นได้คีบน่องไก่ให้เธอชิ้นนึง
เฉินมู่หยิบตะเกียบขึ้นมาทานข้าวอย่างเชื่อฟัง กัดไปแค่คำเดียว ก็ได้พูดสะอึกสะอื้นอีก:“ร้อน”
“งั้นก็รอแป๊บนึง เย็นแล้วค่อยกิน”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ได้หยิบถ้วยมาตักข้าวต่อ
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวตักข้าวถ้วยนึงพร้อมวางมาที่ตรงหน้าเธอแล้วได้อึ้งค้างไว้
เหมือนเฉินถิงเซียวไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป เขาตักข้าวให้มู่น่อนน่อนถ้วยนึง และได้ตักให้ตัวเองถ้วยนึง