สุดท้ายเสียงโต้แย้งของทั้งคู่ได้หายสาบสูญอยู่ในจูบนี้
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่แข็งกร้าวและเอาแต่ใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แถมแรงของเขาเยอะมาก มู่น่อนน่อนจะขัดขืนออกได้ยังไง
ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ในที่สุดเฉินถิงเซียวถึงได้ปล่อยมือเธอ
มู่น่อนน่อนโกรธจนตัวสั่น เธอยกมือขึ้นอยากจะทุบตีไปที่เขา
แต่พอยกมือขึ้น วินาทีต่อมาก็ได้เอามือลงอีก
หลายปีมานี้ทั้งสองผ่านมาไม่ง่ายเลย เรื่องนี้ยังไม่ทันจบอีกเรื่องก็แทรกเข้ามาอีก ถึงจะโกรธมากแค่ไหน เธอก็ยังลงไม้ลงมือกับเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่ดี
มู่น่อนน่อนดึงมือตัวเองกลับ และได้ถามคำถามที่ก่อนหน้านี้เคยถามอีกรอบนึง:“คุณจำได้หมดแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่”เฉินถิงเซียวตอบอย่างรวดเร็วมาก
มู่น่อนน่อนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เฉินถิงเซียวเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเธอ จึงได้พูดเสริมอีกคำว่า:“ไม่ใช่ทั้งหมด”
มู่น่อนน่อนเอียงศีรษะมองเขา เสียงเย็นชาเล็กน้อย:“จำอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว?”
เฉินถิงเซียวขยับริมฝีปาก หยุดชะงักไปหลายวิถึงส่งเสียงออกมา:“จำตอนที่อยู่จีนติ่งคนอื่นวางยาผมและครั้งแรกของเราได้”
มู่น่อนน่อนอึ้ง สีหน้าค่อนข้างอึดอัด เธอเม้มปากแล้วถามโดยตรง:“ยังมีอีกล่ะ?”
“จำได้แค่นี้แหละ”เฉินถิงเซียวจ้องมองเธอไว้ แววตาลุ่มลึก จ้องมองเธออย่างไม่คลาดสายตา
มู่น่อนน่อนสบตากับเขาไปหลายวิ ก็ได้เคลื่อนย้ายสายตาออกแล้ว
เธอเชื่อว่าที่เฉินถิงเซียวพูดคือความจริง
เพราะเฉินถิงเซียวไม่จำเป็นต้องโกหก
จำครั้งแรกของพวกเขาได้……
นั่นก็หมายความว่า จำความรักของพวกเขาสองคนได้ ถึงว่าล่ะหลายวันนี้ถึงได้เอาใจใส่ขนาดนี้
พอมาคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงเฉินถิงเซียวก็ไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เมื่อเทียบกับเขาในก่อนหน้านี้ ถือว่าได้เอาใจใส่มากแล้ว
สำหรับเรื่องของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนได้เตรียมใจที่จะรอคอยตั้งนานแล้ว ความผิดปกติของเขาในหลายวันนี้ ถึงแม้ในใจเธอรู้สึกอยู่ลางๆว่าเขาจำอะไรได้ แต่กลับไม่กล้าไปคิดว่าเขาจำได้หมดเลยหรือเปล่า
คงจะเพราะชินกับเฉินถิงเซียวในแบบนี้แล้ว จึงไม่กล้าเพ้อฝันว่าเฉินถิงเซียวในเมื่อก่อนจะกลับมา
เพราะฉะนั้น ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาว่าไม่ใช่ทั้งหมด มู่น่อนน่อนกลับยอมรับได้อย่างง่ายดาย
เธอมองนอกหน้าต่าง พร้อมถามเฉินถิงเซียวว่า:“ทำไมไม่บอกฉันคะ?ในเมื่อจำได้แล้ว ทำไมไม่บอกฉัน?”
เธอรอไปสักพัก ก็ไม่ได้คำตอบจากเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนหันหน้ามาก็เห็นเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธออยู่ สายตาเพ่งมองอยู่ที่บนตัวเธออย่างจดจ่อมาก
จนกระทั่งมู่น่อนน่อนหันหน้ามาสบตากับเขา จู่ๆเหมือนเขาถึงดึงสติกลับมายังไงอย่างงั้น แววตาลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงออกมา
ไฟที่อยู่ในใจมู่น่อนน่อนได้ลุกขึ้นมาอีก
เธอกัดริมฝีปากแล้วพูด:“คุณไม่อยากพูดก็ช่าง รอให้คุณอยากพูดค่อยพูด เรามาคุยเรื่องของลี่จิ่วเชียนต่อ ไม่ว่าคุณคิดกับเขายังไง คุณคิดว่าเขามีจุประสงค์อะไร แต่เขาได้ช่วยชีวิตฉันไว้ จุดนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉัน”
เดิมทีเธอคิดอยู่ตอนที่เฉินถิงเซียวฟื้นคืนความทรงจำจะต้องเพิกเฉยเขาหน่อย ให้เขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกที่เธอเคยได้รับรู้หน่อย
แต่จู่ๆเฉินถิงเซียวได้ฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้บ้าง เวลาคับขันแบบนี้ พวกเขากลับมาทะเลาะกัน
พวกเขาได้ทะเลาะกันเพราะลี่จิ่วเชียน
ปกติเธอล้วนจะไปมองปัญหาอยู่ในจุดยืนของเฉินถิงเซียว เธอรู้เรื่องที่เขาเคยประสบพบเจอมาในสมัยยังเด็ก เข้าใจนิสัยด้านที่เศร้าหมองของเขา เพราะฉะนั้นในหลายๆเรื่องเธอสามารถเข้าใจเขาได้
แต่เรื่องของลี่จิ่วเชียน เธอจะไม่ยอมถอยแน่นอน
ไม่ว่าการโผล่มากะทันหันของลี่จิ่วเชียนในสามปีก่อน หรือว่าช่วยเธอเมื่อสามปีก่อน และเขาดูแลเธอมาสามปี……
เรื่องพวกนี้ ล้วนมีจุดที่ไม่สอดคล้องกับตรรกะ
เขาเหมือนจงใจช่วยเธอไป และซ่อนเอาไว้ไม่ให้คนพบเห็น
แต่กลับไม่ขัดขวางคนอื่นหาเธอเจอ ดูออกว่าเป็นเธอ กลับกันยังได้พาเธอมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหู้หยาง ไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงสถานที่นี้
ลี่จิ่วเชียน ตั้งแต่ต้นจนจบคนๆนี้ล้วนแฝงด้วยความแปลกประหหลาด
แต่ว่า เรื่องที่ลี่จิ่วเชียนช่วยเธอ ก็ไม่สามารถให้เธอใช้เจตนาร้ายที่ร้ายที่สุดไปคาดเดาลี่จิ่วเชียน
บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง และมีเหตุผลที่ตัวเองพูดไม่ได้
มู่น่อนน่อนยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจอ่อน ตั้งแต่เล็กจนโต อยู่ตระกูลมู่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเธอเลย เธอไม่ปรารถนาความรักใคร่ที่ไม่มีหวัง แต่มีคนยื่นมือมาช่วยเธอ ได้แสดงความตั้งใจดีต่อเธอ เธอก็จะจดจำไว้ในใจ
เธอรู้นิสัยของเฉินถิงเซียวดีมาก และดูออกตั้งนานแล้วว่าเฉินถิงเซียวกับลี่จิ่วเชียนไม่ถูกกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเขา จู่ๆเฉินถิงเซียวได้เสนออกมาว่าจะไปตรวจไข้กับลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนก็รู้สึกผิดปกติแล้ว
แต่เรื่องของวันนี้และคำพูดที่เฉินถิงเซียวพูด ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าลี่จิ่วเชียนได้ถูกเฉินถิงเซียวจับตาเข้าแล้ว
เธอพูดมาเยอะขนาดนี้ เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาอะไรที่มากกว่าเลย
เขาสตาร์ทรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่พูดจา มู่น่อนน่อนก็ย่อมไม่พูดจาอีก
เพียงแต่ รถขับไปขับมา เหมือนทิศทางไม่ค่อยถูก
มู่น่อนน่อนพบว่านี่ไม่ใช่ทางไปบ้านเธอเลย
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวและเตือนเขา:“คุณไปผิดทางแล้วค่ะ”
“ไม่ผิด”เฉินถิงเซียวตอบอย่างไม่หันหน้ามามอง
เขายังเพ่งมองด้านหน้าอีกเช่นเคย ดูแล้วจริงจังสุดๆ
เขาเป็นคนที่แต่ไหนแต่ไรทำเรื่องอะไรล้วนจดจ่อและใส่ใจมาก
มู่น่อนน่อนเพิ่มน้ำเสียงให้หนักขึ้น พร้อมพูดจาให้ช้าลง:“นี่ไม่ใช่ทางไปชุมชนที่ฉันพักค่ะ”
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวได้หันมามองเธอแว๊บนึงแล้วพูด:“นี่คือทางไปบ้านของเรา”
ไม่นานมู่น่อนน่อนก็เข้าใจว่าเฉินถิงเซียวจะพาเธอไปที่วิลล่า
มู่น่อนน่อนเม้มปากไว้ เงียบไปครู่ถึงได้พูดว่า:“ตอนนี้ฉันไม่อยากไปค่ะ”
เธอยังไม่ลืมหรอกนะว่าตอนนี้พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่
ถึงย้ายไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียว ทั้งสองอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ไม่แน่อาจจะทะเลาะกันรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เฉินถิงเซียวไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอ ไม่ได้ลดความเร็วของรถลงเลยสักนิด ยังคงขับไปยังทิศทางของวิลล่าต่อ
มู่น่อนน่อนเห็นเขาไม่สนใจเธอเลย จึงได้พูดเสียงดังว่า:“คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง!”
ในที่สุดเฉินถิงเซียวก็ได้เปิดปากพูดสักที
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย:“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว อย่าโวยวาย”
“ใครกันแน่ที่โวยวาย?”ถึงเฉินถิงเซียวที่ฟื้นคืนความทรงจำกลับมาได้ส่วนนึง เวลาไม่มีเหตุผลขึ้นมาก็ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
อยู่ในโลกของเฉินถิงเซียว ไม่มีเหตุผลให้พูดถึง
มีแค่เขาอยากทำอะไร กับเขาไม่อยากทำอะไรเท่านั้น
มู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงได้หันไปมองนอกหน้าต่าง ไม่มองหน้าเขาอีก
เห็นเขาทีไรก็รู้สึกหงุดหงิดทุกที
รถยนต์ได้จอดลงที่หน้าวิลล่า
มีบอดี้การ์ดจะเดินมาเปิดประตู แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวห้ามเอาไว้
เฉินถิงเซียวลงจากรถแล้วเดินมาที่ข้างประตูของฝั่งข้างคนขับ พอเปิดประตูรถแล้วได้พูดอย่างเรียบเฉย:“ถึงแล้ว”
มู่น่อนน่อนมองเขาอย่างเย็นชาแว๊บนึง จากนั้นได้มือกอดอกเดินเข้าไปอย่างไว แกล้งทิ้งเฉินถิงเซียวไว้ข้างหลัง
เธอเพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง เฉินมู่ก็ได้วิ่งมาเลย “แม่คะ!”
มู่น่อนน่อนก้มหน้า กำลังอยากจะอุ้มเธอขึ้นมา ก็ได้ยินเฉินมู่“เอ๊ะ”คำนึง:“ทำไมปากของแม่ถึงได้ถลอกคะ?”