ระยะห่างที่มู่น่อนน่อนออกเดินทางจากเมืองหู้หยางมาหาเสิ่นเหลียง จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณไม่ถึงห้าวัน
จากเมืองหู้หยางมาที่นี่ เดินทางใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองวัน อีกทั้งตอนนี้สภาพถนนย่ำแย่ เดินทางลำบากแน่นอน ก็ต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ถ้าหากเดินทางใช้เวลาสองวัน ถ้าอย่างนั้นเวลาออกเดินทางของลี่จิ่วเชียน ก็ต้องเลื่อนขึ้นมาก่อนอีกอย่างน้อยสองวัน
เฉินถิงเซียวออกเดินทางวันที่สองหลังจากที่มู่น่อนน่อนออกเดินทาง วันที่สามมาถึง
จากการคาดเดา ลี่จิ่วเชียนก็คือในวันนั้นที่เฉินถิงเซียวมาถึง เริ่มออกเดินทางมาที่นี่
ในเวลาสั้นขนาดนี้ สามารถมั่นใจว่าเธออยู่ที่นี่ และมาตามหา ก็แสดงว่า——ลี่จิ่วเชียนเป็นไปได้มากที่จะแอบติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเธอ
เธอใช้ชีวิตอยู่กับลี่จิ่วเชียนมาระยะหนึ่ง ต่อมาทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ร่วมกัน แม้จะบอกว่าเป็นมิตรภาพที่ผ่านความเป็นความตายกันมา แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกได้ว่า ลี่จิ่วเชียนไม่ได้คิดกับเธอแบบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง
ผู้ชายคนหนึ่ง ติดตามทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา ถ้าหากไม่ได้คิดกับผู้หญิงคนนี้แบบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ก็จะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่
สำหรับจุดประสงค์ของลี่จิ่วเชียน มู่น่อนน่อนยังคงเต็มใจที่จะคิดไปในทางที่ดี
ถึงยังไง ลี่จิ่วเชียนก็คอยช่วยเธอมาโดยตลอด
แม้ว่าเมื่อสามปีก่อนเขาจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับช่วยชีวิตเธอไว้
ถ้าไม่มีเขา เธอคงตายไปนานแล้ว
มู่น่อนน่อนถามเขาว่า: “ถนนด้านนอกเสียหายหนักมาก คุณเข้ามาได้ยังไง?”
“เฮลิคอปเตอร์” ลี่จิ่วเชียนพูดจบ ก็มองตรวจสอบเธอรอบหนึ่ง: “คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
มู่น่อนน่อนกำลังจะพูด ถึงจะสัมผัสได้ว่าบรรยากาศมีบางอย่างผิดปกติ
เธอหันหน้าไป ก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องเธออย่างเย็นชาอยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนหนาวสั่น เธอไปยั่วโมโหเขาตรงไหนอีกล่ะ?
เธอเม้มปาก นั่งลงข้างๆเฉินถิงเซียว ตอนที่หันไปมองอีกครั้ง พบว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวเหมือนว่าจะดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอถึงจะถามลี่จิ่วเชียนว่า: “คุณกินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”
ลี่จิ่วเชียนกวาดสายตามองเธอและเฉินถิงเซียว ตอบว่า: “กินแล้ว”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าบรรยากาศมีบางอย่างแปลกๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เลยถือโอกาสพูดบอกไปว่า: “เรายังไม่ได้กินเลย…”
เวลานี้ เฉินถิงเซียวที่ไม่พูดอะไรมาตลอดก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน: “คลินิกของคุณลี่ล้มละลายแล้วหรอครับ?”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนแข็งทื่อไปสองสามวินาที จากนั้นถึงจะพูดว่า: “เปล่าครับ ไม่รู้ว่าทำไมคุณเฉินถึงถามแบบนี้ล่ะครับ?”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเหอะ น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชามากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย: “คุณลี่ว่างมาเป็นห่วงภรรยาของคนอื่น ผมก็นึกว่าเป็นเพราะคลินิกล้มละลายแล้ว เลยว่างจนไม่มีอะไรทำ”
มู่น่อนน่อนได้ยินคำว่า “ภรรยา” สองคำนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินถิงเซียวอย่างแปลกใจ
ลี่จิ่วเชียนถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวทำให้จุกจนพูดไม่ออกอยู่สักพัก
เขายกมุมปากก่อน เผยรอยยิ้มที่ฝืนๆอย่างมาก: “ขอบคุณความห่วงใยของคุณเฉินนะครับ ห้องตรวจจิตเวชของผมเปิดปกติดี มีลูกค้าประจำมากมาย แต่ใครๆก็อยากใหญ่โต ถ้าคุณเฉินหวังดี ก็ช่วยแนะนำลูกค้าให้ผมสักหน่อย หรือคุณเฉินเอง จะมาดูแลธุรกิจของผมสักหน่อยก็ได้นะครับ”
ลี่จิ่วเชียนพูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงก็ยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ราวกับว่าสร้างพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ
เพียงแต่ว่า…
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าประโยคสุดท้ายของเขา เหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวยิ่งเพิ่มมากขึ้น รัศมีบนตัวก็ยิ่งเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น: “ผมกล้าไป คุณกล้ารับมั้ยครับ?”
“คุณเฉินอุตส่าห์มาหาผมได้ นั่นคือไว้วางใจในตัวผม และเป็นเกียรติของผม ต่อให้ผมไม่กล้ารับ ก็ต้องรับครับ” เสียงของลี่จิ่วเชียนฟังดูเหมือนตื่นเต้นดีใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเขาทีหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
การสนทนาระหว่างชายทั้งสอง เต็มไปด้วยกลิ่นของสงคราม
ลี่จิ่วเชียนเห็นเฉินถิงเซียวไม่สนใจเขาแล้ว ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมู่น่อนน่อน
“น่อนน่อน คุณจะกินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปมั้ย?”
คำพูดของเขาแค่เอ่ยออกมา เฉินถิงเซียวก็มองไปที่เธอ
สีหน้าของเฉินถิงเซียวเย็นชาอย่างมาก เพียงแค่เหลือบมองเธอเบาๆ แล้วก็หันไปอีกทาง
ทั้งๆที่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าเขาเหมือนพูดทุกอย่างหมดแล้ว
ลี่จิ่วเชียนและเฉินถิงเซียวไม่ถูกกัน ทุกครั้งที่ทั้งสองคนคุยกันต่างก็ทิ่มแทงกันและกัน
แม้ว่ามู่น่อนน่อนจะรู้สึกขอโทษเล็กน้อย แต่ก็ยังหาข้ออ้างมาปฏิเสธอย่างอ้อมๆ: “เกรงว่าจะไปด้วยกันกับคุณไม่ได้แล้ว พวกเรายังมีเพื่อนที่จะมาตามหาที่นี่ พวกเราต้องรอพวกเขามาหาด้วยกัน”
ลี่จิ่วเชียนสังเกตได้ว่า มู่น่อนน่อนพูดว่า“พวกเรา” ไม่ใช่“ฉันและเฉินถิงเซียว”
ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาจางๆ: “งั้นก็ดีเลย ผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณรอเพื่อนของคุณมาด้วยกัน”
เขาพูดจบ ก็หันไปมองเฉินถิงเซียว ถามเองตอบเองว่า: “เพื่อนของน่อนน่อนก็คือเพื่อนของคุณเฉินด้วยใช่มั้ย? ผมเชื่อว่าเพื่อนของคุณเฉินคงจะไม่ชักช้าเกินไปหรอกนะ”
คำพูดยั่วยุของลี่จิ่วเชียน แม้แต่มู่น่อนน่อนก็ยังฟังออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินถิงเซียว
เธอไม่รู้ว่าทำไมลี่จิ่วเชียนถึงจงใจพูดแบบนี้เพื่อยั่วยุเฉินถิงเซียว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามพวกนี้
เธอหันไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียว พบว่าใบหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถึงจะสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
กลัวคุณชายเฉินถิงเซียวโกรธขึ้นมา จะลุกมาต่อยกับลี่จิ่วเชียนเลย
สองคนนี้ถ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ที่นี่ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกเขาสองคนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“กินข้าวเช้าได้แล้ว”
เสียงของคุณลุงดังมาจากห้องข้างๆ มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นคุณลุงเดินมาถึงที่ประตูห้องโถงแล้ว มือข้างหนึ่งถือผัดผักกวางตุ้งหนึ่งชาม มีอีกข้างหนึ่งถืออีกผักดองหนึ่งชาม
เขาถือผักสองชามเดินตรงไปข้างๆลี่จิ่วเชียน วางผักสองชามลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่ง หันหลังกลับไปหยิบเก้าอี้ตัวกนึ่งมา และนั่งลงข้างๆ
ปกติคุณลุงอยู่คนเดียว ในห้องโถงมีเก้าอี้สามตัวพอดี ไม่กี่วันนี้ตอนที่พวกเขากินข้าว หนึ่งคนก็เก้าอี้หนึ่งตัวพอดีนั่งกินข้าวรอบโต๊ะ
สีหน้าเมื่อกี้ของคุณลุง ราวกับว่ากำลังโทษลี่จิ่วเชียนที่แย่งที่นั่งของเขา
คุณลุงเป็นคนหัวรั้น อาจจะไม่พอใจที่ลี่จิ่วเชียนไม่บอกกล่าวสักคำก็เข้ามาในบ้านของเขาแล้ว
มู่น่อนน่อนรีบลุกยืนขึ้นเอาเก้าอี้ของตัวเองวางไว้หน้าโต๊ะอาหาร: “หนูไปยกข้าวในครัวนะคะ”
“อืม” คุณลุงพยักหน้า แล้วหันหน้ามาเหลือบมองลี่จิ่วเชียนแวบหนึ่งอีกครั้ง
ต่อให้ลี่จิ่วเชียนจะตอบสนองช้าก็สูญเปล่า เมื่อกี้ชายชราคนนี้ขมวดคิ้วมองเขานั้นหมายถึงอะไร
มู่น่อนน่อนไปที่ห้องครัวยกข้าวต้มมาสองชาม หันหลังกลับก็เห็นเฉินถิงเซียวก็เข้ามาด้วย
ประตูห้องครัวเล็กไปหน่อย ตอนที่เฉินถิงเซียวเข้ามาเลยก้มตัวเล็กน้อย รับข้าวต้มสองชามในมือของมู่น่อนน่อนมา หันหลังกลับแล้วเดินออกไป
มู่น่อนน่อนหมุนตัวกลับมาหยิบอีกชามหนึ่ง เดินตามหลังเฉินถิงเซียว
ดังนั้น ลี่จิ่วเชียนจึงเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวนั่งลงหน้าโต๊ะไม้ที่เก่าจนมองสีเดิมไม่ออกตัวหนึ่ง ร่วมกันกับชายชราในชนบทคนหนึ่ง กินข้าวต้มกับผักดองที่มองสีไม่ออกและผักกวางตุ้งหนึ่งชาม