ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม – บทที่ 491 ความสัมพันธ์คืบหน้าขึ้นมาอีกขั้น

บทที่ 491 ความสัมพันธ์คืบหน้าขึ้นมาอีกขั้น

เฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็ไม่ได้โกรธ แต่กลับเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังออกมาแทน “ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ สามารถนอนห้องเดียวกับคุณได้หรือเปล่า?”

มู่น่อนน่อนถูกน้ำเสียงที่จริงจังสุดๆของเขาทำเอาช็อกไป

ราวกับว่าถ้าเธอพูดว่า “ได้” ไปคำนึงจริงๆ เขาก็เหมือนจะสามารถทำให้ชีวิตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงอย่างนั้น

มู่น่อนน่อนคร้านจะพูดกับเขาอีก เดินเข้าไปจัดการกับของเล่นของเฉินมู่ จากนั้นก็เอาไปที่ห้องของเฉินมู่

อย่าพยายามจะพูดคุยเหตุผลกับผู้ชายคนนี้ พูดสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว

อีกทั้งบางครั้งเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กมากเลย

……

เฉินถิงเซียวพักอยู่ที่ห้องเช่าของมู่น่อนน่อนไปอย่างนี้

เช้าวันที่สองตอนที่เขาไปทำงาน ได้พากระเป๋าเดินทางไปอีก ตอนที่กลับมาตอนเย็น ก็ได้นำกระเป๋าเดินทางมาอีก

รองเท้า ผ้าขนหนู เนกไท…ทั้งหมดล้วนเป็นข้าวของของเขาทั้งนั้น

ในตู้รองเท้าที่อยู่ตรงทางเข้า ด้านบนหลายชั้นได้วางรองเท้าของมู่น่อนน่อนเอาไว้อยู่ ด้านล่างสองชั้นได้เจียดแบ่งเอาไว้วางรองเท้าหนังของเฉินถิงเซียว

รองเท้าหนังกับเสื้อสูทของเฉินถิงเซียว มองไปแล้วโดยรวมก็เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของแบบเดียวกัน ระหว่างรองเท้าแต่ละคู่มันมีข้อแตกต่างกันอยู่

เสื้อสูทเป็นแบรนด์เดียวกัน แต่กลับไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน

มีเพียงแค่รูปแบบของเนกไทที่จะดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาหน่อย เพราะถึงยังไงสีกับลวดลายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ในห้องน้ำก็ได้เพิ่มของใช้ของผู้ชายขึ้นมาเยอะมากเลยเช่นกัน

ห้องน้ำเดิมทีแล้วก็ไม่ได้ใหญ่ วางข้าวของของมู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ได้พอดิบพอดี เพิ่มของใช้ในชีวิตประจำวันของผู้ใหญ่มาอีกคน เหมือนว่าจะแออัดอยู่บ้าง

มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวจัดข้าวของของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ มองไปแล้วก็เหมือนกับว่าเป็นสามีที่ออกไปทำงานนอกสถานที่กลับมาแล้วเอาข้าวของของตัวเองจัดวางที่ในบ้านนี้ไปใหม่อีกครั้ง

ถึงแม้ว่า “บ้าน” หลังนี้จะเป็นเพียงแค่บ้านที่มู่น่อนน่อนเช่ามาเท่านั้น

มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ช่วยเขาด้วยเหมือนกัน เพียงแค่มองเขายุ่งอยู่ที่ข้างๆ

สภาพอากาศอันที่จริงมันก็หนาวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เฉินถิงเซียวพอเข้าบ้านมาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกไปเลย สวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าแค่ตัวเดียว กระดุมที่แขนเสื้อได้ถูกปลดออก แขนเสื้อได้ถกขึ้นถึงท่อนแขน จัดเรียงรองเท้า ทำความสะอาดข้าวของไปอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

ตอนนี้ ด้านนอกจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวไปแวบนึง แล้วผันร่างไปเปิดประตู

ประตูห้องเปิดออก ด้านนอกมีคนสองคนสวมชุดทำงานของกรรมกรกำลังยกกล่องลังกล่องใหญ่มาใบหนึ่ง “สวัสดีครับ ไม่ทราบคุณคือภรรยาของคุณเฉินหรือเปล่าครับ? นี่เป็นโต๊ะทำงานที่คุณเฉินได้สั่งเอาไว้ รบกวนคุณช่วยเซ็นรับหน่อยครับ”

มู่น่อนน่อนตะลึงงันไป

เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเข้าไปชมเฉินถิงเซียวก่อนสักหน่อยว่าแม้แต่โต๊ะทำงานก็เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว หรือว่าจะเซ็นชื่อก่อนดี

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองเข้าไปทางในห้องไปแวบนึง ก็เห็นเฉินถิงเซียวออกมาจากห้องน้ำพอดี

มู่น่อนน่อนถอนสายตากลับมา ก้มหน้าเซ็นชื่อลงไป

คนงานส่งของเข้ามา “คุณนายมู่ ติดตั้งโต๊ะไว้ที่ไหนครับ?”

เฉินถิงเซียวได้ยินเสียงก็เดินออกมา แล้วชี้ไปด้านหน้าหน้าต่างที่ทอดยาวจรดพื้น “วางไว้ตรงนั้น”

มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วออกมา น้ำเสียงไม่ดีนัก “แม้แต่ที่ก็ยังคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

“อืม” เฉินถิงเซียวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเนื่องจากน้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเลย เขาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลย “ทางนี้วางโต๊ะทำงานของผม อีกด้านนึงเหลือไว้ให้คุณกับเฉินมู่ใช้”

น้ำเสียงของเขาเป็นธรรมชาติเสียจนเหมือนกับว่าได้ทำเหมือนที่นี่ได้กลายเป็นบ้านไปแล้วจริงๆ

มู่น่อนน่อนพูดอะไรไม่ออก ทำเพียงแค่ไปดูคนงานติดตั้งโต๊ะทำงานของเขาอยู่ที่ข้างๆ

ก็คงจะเป็นเพราะว่าคำนึงว่าห้องไม่ได้ใหญ่มาก โต๊ะทำงานของเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะยังมาพร้อมกับชั้นวางหนังสือด้วย แต่ก็ไม่ได้ครองพื้นที่เยอะมาก

ห้องนี้เป็นห้องเก่าของเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าการตกแต่งจะสวยประณีต แต่องค์ประกอบของห้องเรียบง่ายมาก ห้องรับแขกค่อนข้างจะใหญ่อยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อเทียบกับลักษณะห้องใหม่ๆบางห้องของตอนนี้ดูแล้ว ห้องรับแขกของห้องนี้มันใหญ่จนไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง

มีพื้นที่ว่างเล็กๆพอดี ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนก็คิดอยู่ว่าอยากจะซื้อโต๊ะทำงานสักตัวกลับมาด้วยเหมือนกัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกเฉินถิงเซียวมาก่อนแล้วได้ไปก่อนแล้ว

คนงานติดตั้งโต๊ะทำงานเสร็จก็กลับไป

พวกเขาเพิ่งจะกลับออกไป ต่อจากนั้นก็มีคนมาเคาะประตูอีก

มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ “คุณไปเปิดประตู”

เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดออกมาเช่นกัน ตรงเข้าไปเปิดประตูห้องทันที

สือเย่ยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ในมือกำลังหอบกล่องลังใบหนึ่งอยู่ “คุณผู้ชาย นี่คือข้อมูลที่คุณให้ผมเอามาให้ครับ”

ตอนก่อนจะเลิกงาน จู่ๆเฉินถิงเซียวก็สั่งให้เขาจัดแจงเอาเอกสารที่ยังไม่ได้จัดการในช่วงนี้ส่งไปที่บ้านของมู่น่อนน่อน

ระหว่างทาง ภายในใจของสือเย่ไม่สงบเลย

นึกไม่ถึงว่าคุณผู้ชายจะให้เขาเอาเอกสารส่งมาที่บ้านของคุณหญิง?

นี่ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ของคุณผู้ชายกับคุณหญิงได้คืบหน้าขึ้นมาอีกขั้นอีกครั้ง ทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันแล้ว?

ไม่รอให้เฉินถิงเซียวยื่นมือไปรับกล่องลังมา สือเย่ก็ได้เอ่ยพูดออกมาทันทีว่า “คุณผู้ชาย ผมช่วยคุณเอาเข้าไปดีกว่าครับ”

อันที่จริงเขาอยากรู้เอามากๆเลยว่าระหว่างคุณผู้ชายกับคุณหญิง ในตอนที่เขาไม่รู้ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

เฉินถิงเซียวส่งเสียงปฏิเสธออกมา “ไม่ต้อง”

“ไม่ต้องจริงๆเหรอครับ?” สือเย่หอบกล่องลังเอาไว้ไม่ปล่อย สีหน้าที่แสดงออกมามีความไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง

ก็คงจะเป็นเพราะว่าคนมาถึงวัยกลางคนแล้ว ทั้งยังผ่านการหย่าร้างแต่งงานใหม่มาด้วยแล้ว ดังนั้นแล้วตอนนี้สือเย่จึงสนใจเรื่องของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนมากเป็นพิเศษ

เมื่อสามปีก่อนเขากับภรรยาหย่ากัน แต่ว่าหลังจากที่ถูกเฉินจิ่งหยุ้นไล่ออกจากบริษัทเฉินซื่อไป เขาก็ได้แต่งงานใหม่กับอดีตภรรยาอีกครั้ง

เขาพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้ของตัวเองมาก เรื่องที่กังวลที่สุดเลยก็คือเรื่องที่เฉินถิงเซียวฟื้นความทรงจำกลับมา

มู่น่อนน่อนเห็นเฉินถิงเซียวไปเปิดประตูก็ยังไม่กลับมา ก็ได้ลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้

พอเธอเดินเข้าไป ก็เห็นสือเย่ยื่นกล่องลังใบหนึ่งให้กับเฉินถิงเซียว

ตอนที่สือเย่เลิกตาขึ้นมาเห็นมู่น่อนน่อน บนใบหน้าได้เป็นประกายระยิบระยับชนิดที่หาได้ยากออกมา “คุณหญิง!”

มู่น่อนน่อนถามออกไปคำนึงว่า “เอาเอกสารมาส่งเหรอ?”

“ใช่ครับ!” สือเย่พยักหน้าตอบออกมา

มู่น่อนน่อนยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดประโยคนั้นที่สือเย่อยากจะได้ยินออกมา “เข้ามานั่งก่อนสักหน่อยแล้วค่อยไปเถอะ”

“ได้ครับ…”

สือเย่ตอบรับออกมาคำนึง พร้อมกับก้าวเท้าเตรียมที่จะเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้นมาเบาๆ “สือเย่ นายไม่ต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนลูกเหรอ? นายรู้หรือเปล่าว่าการอยู่เป็นเพื่อนลูกมันสำคัญมากแค่ไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น…”

จู่ๆเฉินถิงเซียวก็ได้หยุดชะงักไป เลิกคิ้วพลางเอ่ยออกไปว่า “ช่วงนี้นายยังทะเลาะกับภรรยาอีกแล้ว”

สือเย่อึ้งไปแป๊บนึง “คุณผู้ชาย…คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกับภรรยาของผมทะเลาะกัน?”

แต่ไหนแต่ไรมาเฉินถิงเซียวไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเขามาก่อนเลย แล้วรู้เรื่องที่เขากับภรรยาทะเลาะกันได้ยังไง

สายตาของเฉินถิงเซียวจรดลงไปที่บนเสื้อสูทที่บนร่างของเขา “เสื้อสูทหลายช่วงวันมานี้ของนายมันไม่เรียบเท่าเมื่อก่อน”

สือเย่ก้มหน้าลงมองเสื้อสูทบนร่างของตัวเอง ก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงาน ล้วนเป็นภรรยาที่เป็นคนรีดเสื้อสูทให้เขาทั้งนั้น ตัวเขาเองรีดได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

หลายวันมานี้ เขาทะเลาะกับภรรยาจริงๆ

ภรรยาออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อนสนิท เขาต้องดูแลลูก แล้วยังต้องรีดเสื้อสูทเอง

ของพวกนี้มันก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆทั้งนั้น

ความสัมพันธ์ที่มีมาหลายปีขนาดนี้ของเขาและภรรยา ทะเลาะกันนิดหน่อยล้วนแล้วแต่จะเป็นอรรถรสทั้งนั้น

ความหมายทั้งในคำพูดและนอกคำพูดของเฉินถิงเซียว ต่างก็เป็นการไม่อยากให้เขาเข้าไปทั้งนั้น

อันที่จริงสือเย่เองก็มีความอยากรู้อยู่แวบนึงเหมือนกัน แต่ก็ได้เอ่ยออกมาอย่างชาญฉลาด “งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

หลังจากที่สือเย่ไป เฉินถิงเซียวก็ปิดประตูลงทันที

เขาผันร่าง แล้วก็สบเข้ากับสายตามองเข้ามาของมู่น่อนน่อน “ทำไมถึงไม่ให้ผู้ช่วยสือเข้ามานั่งสักหน่อย?”

“ก็ไม่ทำไม” เฉินถิงเซียวพูดจบก็เดินอ้อมมู่น่อนน่อนไปทางโต๊ะทำงาน

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

Status: Ongoing

แม่ของมู่นอนน่อนคุกเข่าลงต่อหน้าของเธอ ขอให้เธอ แต่งงานแทนพี่สาวกับเฉินถึงเขียวผู้ชายที่ขี้เหร่และพิการที่ ชาวบ้านเล่าลือกัน ในคืนวันแต่งงาน ตอนที่เธอได้พบหน้า หล่อเหลาของชายคนนี้เธอตกใจมาก เฉินถึงเซียวพูดตรงๆ เลยว่าเธอน่าเกลียดมากๆ เดิมที่คิดว่าคงใช้ชีวิตต่างคนต่าง อยู่ แต่กลับถูกผู้ชายคนนี้กดอยู่ใต้รางกายอย่างรุนแรง”ไหน บอกว่าคุณทำไม่ได้ไง”ผู้หญิงตกใจ” ได้หรือไม่ได้ คำพูดของ เธอ ฉันไม่นับ! “บนหน้าของเฉินถึงเชียวแสดงออกถึงความ เจ้าเสน่ห์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท