หลังจากที่มู่น่อนน่อนกดวางสาย เธอโกรธมากจนแทบอยากจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง
เธอบีบโทรศัพท์แน่น แล้วสบถออกมา “ถ้าแน่จริงคืนนี้ก็อย่ากลับมา!”
“เกิดอะไรขึ้น…” เสิ่นเหลียงเห็นท่าทางทั้งหมดของเธอตอนคุยโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกับเธอ
“คืนนี้ฉันชวนเขาไปที่นั่น เขาบอกว่าเขาไม่ไป และบอกว่าเขาไม่อยากจะคุยกับฉัน” มู่น่อนน่อนนึกถึงน้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้ จึงยกยิ้มอย่างเยือกเย็น
เสิ่นเหลียง “…”โกหกทั้งนั้น เธอไม่เชื่อว่าบอสใหญ่จะไม่อยากคุยกับมู่น่อนน่อน
เสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังโกรธอยู่ เธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดออกไป “เขาแค่พูดเพราะโกรธ ฉันคิดว่าคืนนี้บอสใหญ่จะต้องไปหาเธอแน่นอน”
มู่น่อนน่อนยกยิ้มโดยที่ในแววตาไม่มีรอยยิ้ม “ทางที่ดีอย่ามา”
……
ตอนที่มู่น่อนน่อนกลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว
หลังจากเธออาบน้ำเสร็จออกมา เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ และไม่มีข้อความด้วย
เธอเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพร้อมกับจับโทรศัพท์ไว้ในมือ
จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอก็เดินไปที่ประตูแล้วเอื้อมมือออกไปเปิด
ชายร่างสูงกำลังยืนตัวตรงยืนอยู่ที่ประตู ร่างกายของเขายังคงสวมชุดสูทตามเดิมไม่เคยเปลี่ยน ทั้งราบเรียบและบาง แต่ออร่าของเขายังคงไม่ลดลง
ทั้งสองมองหน้ากันสักพัก เฉินถิงเซียวถึงจะก้าวเท้าเข้าไป
มู่น่อนน่อนเอื้อมมือไปขวางทาง “ไหนบอกว่าจะไม่มาไงคะ?”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวแข็งทื่อเล็กน้อย น้ำเสียงของเขายังคงเฉยเมยจนฟังไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติใดๆ “มาเอาของใช้ของมู่มู่”
มู่น่อนน่อนยังคงไม่ยอมให้เขาเข้าไป และพูดอย่างเฉยเมย “คุณชายเฉินไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อของให้ลูกสาว ถึงกับต้องมาที่นี่เพื่อเอาของไป? บริษัทเฉินซื่อกำลังจะล้มละลายแล้วเหรอคะ?”
ดวงตาของเฉินถิงเซียวเบิกกว้างแล้วหรี่ตามอง สีหน้าของเขาบึ้งตึงลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังอดทนอยู่
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็ตั้งใจจะปิดประตู
แต่เฉินถิงเซียวไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอ
เขาใช้มือข้างหนึ่งขวางประตู ส่วนอีกข้างโอบเอวของเธอไว้ รวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่มือข้างที่โอบเอวเธอ แล้วยกเธอขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
ตามมาด้วยเสียงปิดประตูดัง “ปัง”
โลกทั้งใบเงียบสงัดไปทันที
ทั้งสองยืนอยู่ที่โถงทางเดิน แขนของเฉินถิงเซียวยังคงโอบเอวของเธอไว้ ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนนั้นใกล้มากจนแม้แต่เสียงหายใจของอีกฝ่ายก็ยังได้ยินชัดเจน
มู่น่อนน่อนพยายามดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็ไม่สามารถหนีจากแขนของเฉินถิงเซียวได้ เธอจึงเริ่มโมโหเล็กน้อย
เธอยกเท้าขึ้นและหน้าขาของเขา “คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
เฉินถิงเซียวไม่ขยับเลยสักนิด ในแววตาของเขาเป็นประกายอย่างได้ใจเล็กน้อย “พูดต่อสิ?”
“เฉินถิงเซียว!”
มู่น่อนน่อนยกมือขึ้นตีเขา แต่เขาจับข้อมือเธอไว้ด้วยไหวพริบที่รวดเร็ว
เธอไม่ได้มีเรี่ยวแรงเยอะเท่ากับเฉินถิงเซียว เธอจึงถูกเขาดึงไปกอดไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้ ปล่อยให้เขาทำอะไรได้ตามใจชอบ
เฉินถิงเซียวก้มหน้าลงและเห็นคอเสื้อของมู่น่อนน่อนที่เปิดขึ้นเล็กน้อยตอนที่พยายามดิ้นออกจากเขา กลิ่นของครีมอาบน้ำที่สดชื่นบนร่างกายของเธอบอกเขาว่าเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ถึงขั้นอาบน้ำเพื่อรอให้ผมมา ในที่สุดก็มีจิตสํานึกในฐานะคุณนายเฉินบ้างแล้ว” บนสีหน้าของเฉินถิงเซียวมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คิ้วคมเริ่มคลี่ออกมา ตอนนี้ไม่เพียงแต่ดวงตาของเขาที่แสดงถึงความอารมณ์ดี แม้แต่เสียงและน้ำเสียงก็ดูอารมณ์ดีมากด้วย
“เมื่อก่อนทำไมฉันถึงไม่สังเกตเห็นมาก่อนว่าคุณหลงตัวเองได้ขนาดนี้” มู่น่อนน่อนโต้กลับ “อีกอย่างนะคะ ช่วยอย่าเรียกฉันว่าคุณนายเฉินด้วย ตอนนี้เราไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว คู่หมั้นของคุณชื่อซูเหมียน”
พอได้ยินเธอพูดถึงซูเหมียน รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ค่อยๆหุบลง
ในดวงตาของเขาเหมือนมีหมอกปกคลุม ความอารมณ์ดีก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา ราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
แขนที่โอบเอวของมู่น่อนน่อนไว้กระชับขึ้นทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณลองพูดอีกครั้งสิ”
เฉินถิงเซียวโกรธแล้ว
ตอนที่เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ มู่น่อนน่อนก็กลัวเขาเช่นกัน
แต่ถ้าเป็นตอนที่ยังโกรธจนหัวร้อน มู่น่อนน่อนก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้
“ฉันบอกว่า ซูเหมียนต่างหากที่เป็นคู่หมั้นของคุณ! ฉันกับคุณ…อื้อ…”
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ ก็ถูกริมฝีปากของเฉินถิงเซียวปิดไว้ก่อน
นี่คือจูบที่เต็มไปด้วยความโกรธ ปราศจากความอ่อนโยนหรือความเสน่หาแม้แต่น้อย
พอเฉินถิงเซียวปล่อยเธอ มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าริมฝีปากของเธอชาไปหมดเเล้ว
เฉินถิงเซียวหอบหายใจเล็กน้อย แล้วขยับหน้าเข้าใกล้ใบหูของเธอ ก่อนจะกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด “ยังจะพูดอีกไหม”
มู่น่อนน่อนรีบผลักเขาออกไปอย่างแรง ก่อนจะเซถอยหลังไปสองก้าว พร้อมกับชี้ไปที่ประตูแล้วพูดเสียงดัง “ออกไป!”
เฉินถิงเซียวเหยียดมือออกมา ก่อนจะใช้นิ้วชี้กดที่มุมริมฝีปากล่าง แล้วยกยิ้มมุมปาก บนใบหน้าที่แสนสุภาพบุรุษเพิ่มความชั่วร้ายเล็กน้อย
“คุณอารมณ์ดีก็เรียกผมมา อารมณ์เสียก็ให้ผมไป คุณคิดว่าคนอย่างผมเฉินถิงเซียวคนนี้เป็นใคร” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ และไม่สนใจใบหน้าที่โกรธของมู่น่อนน่อน ก่อนจะหันหลังแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ และคุ้นเคยกับการจัดวางสิ่งของในห้องเป็นอย่างดี
เขาเดินไปที่โซฟา แล้วนั่งลงอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยิบกาต้มน้ำบนโต๊ะพร้อมกับเทน้ำชาให้ตัวเองเหมือนอยู่ในบ้านของตัวเอง
ในหัวใจของเขา เขาถือว่าบ้านของมู่น่อนน่อนเป็นบ้านของเขาจริงๆ
ตอนที่เฉินถิงเซียวจะดื้อดึงขึ้นมาเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มู่น่อนน่อนเองก็จนปัญญาเช่นกัน
เธอเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของเฉินถิงเซียวอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเอนกายพิงโซฟา แล้วกอดอกมองเขา เธอดูเกียจคร้าน และดูเหนื่อยล้ามาก
“คุณรอจนมู่มู่นอนหลับแล้วถึงมาเหรอคะ?”
เฉินถิงเซียวก็ตอบคำถามของเธออย่างจริงจังเช่นกัน “ใช่”
“ทำไมคุณไม่พามู่มู่มาด้วยคะ” เธอขอให้เฉินถิงเซียวมาหาเธอในคืนนี้เพียงเพื่อให้เขาพามู่มู่มาด้วย เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะไม่เข้าใจความหมายจากคำพูดของเธอจริงๆ เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้แก้ตัวให้ตัวเอง ก่อนจะพูดเล่นลิ้น “เธอหลับอยู่”
“…” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเธอไม่สามารถสนทนากับเฉินถิงเซียวต่อแล้ว
เธอลุกขึ้นยืนแล้วตั้งใจที่จะกลับไปที่ห้องเพื่อนอนหลับ แต่เฉินถิงเซียวกลับเรียกเธอไว้ “คุณกินข้าวหรือยัง”
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปสักพัก จากนั้นจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา จึงถามว่า “คุณหิวเหรอคะ?”
“อืม” เฉินถิงเซียวพยักหน้าอย่างจริงใจ ไม่มีออร่าเอาแต่ใจที่ปกคลุมเธอหายไปไหนแล้ว
มู่น่อนน่อนไม่อยากสนใจเขาแล้ว
แต่เธอรู้ดีอยู่ในใจ ถึงแม้เธอจะไม่สนใจเขา เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอสนใจเขาอยู่ดี
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยความโกรธ “คอยดูเถอะ!”
เฉินถิงเซียวยืนตัวตรง และเหยียดหลังตรง ท่าทาง “เด็กดี”เหมือนกับเฉินมู่ที่กำลังรอกินข้าวอยู่
ตอนที่เฉินมู่อยู่ที่นี่ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินมู่เหมือนกับเฉินถิงเซียว
ตอนที่เฉินถิงเซียวอยู่ที่นี่ เธอกลับรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวเหมือนกับเฉินมู่
ที่สำคัญคือดวงตาของสองพ่อลูกเหมือนกันมากจริงๆ เธอเองก็ทำใจไม่สนใจเขาไม่ได้
ตอนที่มองเห็นมู่น่อนน่อนเข้าไปในครัว เฉินถิงเซียวยกยิ้มแล้วเดินตามไป