ลี่จิ่วเชียนหน้าบูดบึ้งไว้ ได้กรอกยากำนั้นเข้าไปอย่างแข็งกระด้าง
อาลั่วยืนอยู่ข้างหลังเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร:“ถึงคุณชายไม่กินยาก็ไม่เป็นไรค่ะ!ไม่ว่าคุณชายจะเป็นลี่จิ่วเชียนหรือว่าลี่จิ่วชัง ฉันก็ไม่……”
ลี่จิ่วเชียนได้กลืนยาเข้าไปอย่างค่อนข้างลำบาก เสียงค่อนข้างแหบพร่า แต่กลับแฝงด้วยความเย็นชา:“หุบปาก”
อาลั่วไม่พูดจาอีก แค่มองเขาไว้อย่างอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้
“ฉันคือฉัน เสี่ยวชังคือเสี่ยวชัง”ตอนที่ลี่จิ่วเชียนพูด มือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานได้กุมแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
อาลั่วก็อดไม่ได้อยู่ดี เธอได้พูดอีกคำนึงว่า:“ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ว่าอาการป่วยของคุณชายกำเริบ คุณชายจะดำเนินแผนการ จะล่อมู่น่อนน่อนมาที่เมืองMเหรอคะ?”
ลี่จิ่วเชียนหันไปมองอาลั่ว มองจากมุมของมู่น่อนน่อน สามารถเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของลี่จิ่วเชียน แต่ใบหน้าด้านข้างนี้ก็เย็นชาเหมือนกัน
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนจะต้องดูแย่มากแน่ๆเลย เสียงของอาลั่วค่อนข้างขาดความมั่นใจ:“คุณชายตกหลุมรักมู่น่อนน่อนเข้าจริงๆแล้วใช่มั้ยคะ?คุณชายคงไม่ใช่ว่าลืมจุดประสงค์เดิมไปแล้วนะคะ?ตอนนี้วานวานยังอยู่ในโรงพยาบาลอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตอยู่……”
เพี๊ยะ!
คำพูดของอาลั่วได้ถูกเสียงตบหน้าของลี่จิ่วเชียนขัดจังหวะ
มู่น่อนน่อนที่อยู่หน้าห้องก็ถูกเสียงตบหน้าของลี่จิ่วเชียนทำเอาช็อกเหมือนกัน
ถึงแม้รู้ตั้งนานแล้วว่าลี่จิ่วเชียนไม่ใช่คนดี แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะตบตีผู้หญิง โดยเฉพาะกับอาลั่วที่ดีกับเขาและภักดีกับเขาขนาดนี้
ลี่จิ่วเชียนตบฉาดนี้ได้ค่อนข้างโหด อาลั่วเซไปครู่นึงถึงยืนทรงตัวนิ่ง เธอไม่ได้ยื่นมือไปจับหน้าตัวเอง แค่ก้มหน้าเล็กน้อยไม่พูดสักคำ
เป็นผู้หญิงที่ดื้อด้านและหยิ่งในศักดิ์ศรี
ลี่จิ่วเชียนลุกขึ้นมาหันหลังให้กับประตู มู่น่อนน่อนไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้ยินแค่เสียงของเขา:“ฉันทำเรื่องอะไร ต้องให้เธอมาเตือนด้วยเหรอ?”
ผ่านไปครู่นึง เสียงของอาลั่วถึงก้องมาเบาๆ:“ขอโทษค่ะ ฉันล้ำเส้นเกินไป”
ลี่จิ่วเชียนหันหน้ามาพร้อมกับสีหน้าบูดบึ้ง เสียงก็เย็นชาสุดๆ:“ออกไป”
“ค่ะ”อาลั่วพยักหน้าเล็กน้อย ดูแล้วเคารพนอบน้อมสุดขีด
เห็นอาลั่วกำลังจะออกมาแล้วมู่น่อนน่อนรีบปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นได้หันหลังเดินกลับไปที่ห้องนอนของเฉินมู่อย่างเบามือเบาเท้าและรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนเดินไปด้วยและนึกย้อนเนื้อหาที่เมื่อครู่อยู่หน้าห้องได้ยินที่ลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วพูดคุยกันไปด้วย
ลี่จิ่วเชียนชอบเธอหรือเปล่าอันนี้เธอไม่รู้ เธอแค่อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของลี่จิ่วเชียนคืออะไร
แต่เมื่อครู่คำพูดของอาลั่วพูดไปแค่ครึ่งเดียว ก็ไม่ได้พูดให้แน่ชัดว่าจุดประสงค์ที่ลี่จิ่วเชียนเข้าใกล้เธอตอนนั้นคืออะไรกันแน่
ยังมีอีก แล้ววานวานคือใคร?
ถ้าวานวานเป็นชื่อคน ฟังแล้วน่าจะเป็นชื่อของผู้หญิง
——ตอนนี้วานวานยังอยู่ในโรงพยาบาล อาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตอยู่
นี่เป็นคำพูดเดิมของอาลั่ว คำพูดนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้ไม่น้อยเลย
วานวาน อาจจะเป็นผู้หญิงคนนึง
ฟังน้ำเสียงของอาลั่ว วานวานน่าจะเป็นผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องลี่จิ่วเชียน แถมน่าจะสำคัญมากด้วย ถ้าไม่สำคัญ ลี่จิ่วเชียนก็ไม่สนหรอกว่า“วานวาน”คนนั้นจะอาศัยเครื่องช่วยหายใจยื้อชีวิตหรือว่าตายไปแล้ว
สำหรับผู้ชายคนนึงแล้ว ผู้หญิงที่สำคัญก็มีแค่สองแบบเท่านั้น แบบนึงคือคนรัก อีกแบบนึงคือคนในครอบครัว
ดูจากนิสัยที่เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างลี่จิ่วเชียนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าวานวานคนนั้นอาจจะเป็นแค่คนในครอบครัวของเขา
อาลั่วชอบลี่จิ่วเชียน ถ้าวานวานเป็นคนรักของลี่จิ่วเชียน ตอนที่เธอพูดถึงวานวานน้ำเสียงไม่ควรจะปกติขนาดนั้นถึงจะถูก
มู่น่อนน่อนได้จัดเรียงสิ่งที่ในใจวิเคราะห์ออกมา และได้ข้อสรุปว่า
ลี่จิ่วเชียนมีจุดประสงค์ที่ไม่อาจบอกใครได้จริงๆ จุดประสงค์นี้อาลั่วรู้ มีคนๆนึงที่สำคัญกับเขามาก ชื่อวานวาน เป็นผู้หญิงและกำลังป่วยหนักอยู่
อาลั่วเป็นคนหัวดื้อไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ปากแข็งจะตาย เหมือนลี่จิ่วเชียนเลย อยากได้ข้อมูลจากปากของสองคนนี้ ยากไม่ต่างกับขึ้นสวรรค์เลย
เพราะฉะนั้น จุดทะลวงที่เหลืออยู่ก็คือผู้หญิงที่ชื่อ“วานวาน”คนนั้น
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่สามารถแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นผู้หญิงแน่นอน ถ้าเกิดเป็นผู้ชายล่ะ?ถึงแม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก
ตลอดทางมู่น่อนน่อนได้ไตร่ตรองเรื่องนี้จนกลับมาถึงห้องนอนของเฉินมู่
เฉินมู่นั่งอยู่บนพรมปูพื้น เอาตุ๊กตาทั้งหมดวางเรียงเป็นแถวอย่างเบื่อหน่าย กำลังเล่นพ่อแม่ลูกกัน
ถึงแม้ลี่จิ่วเชียนไม่ค่อยจำกัดอิสระของพวกเธอ แต่ยังไงก็สู้อยู่บ้านไม่ได้ มู่น่อนน่อนกลัวจะมีคนคิดมิดีมิร้ายกับเฉินมู่ ดังนั้นจึงให้เฉินมู่คอยอยู่ที่ข้างกายตลอด ให้เธออยู่ในสายตาตัวเองตลอด
พอเป็นแบบนี้ พื้นที่ๆเฉินมู่สามารถทำกิจกรรมก็จะเล็กมาก
ตอนนี้เธอเป็นวัยที่กำลังชอบขยับเขยื้อนพอดี กลับได้แค่อุดอู้อยู่ในวิลล่าทั้งวัน ออกไปเล่นก็ไม่ได้ และน้อยมากที่จะงอแง เป็นเด็กดีเชื่อฟังจนทำให้คนสงสาร
เฉินมู่ได้ยินเสียง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่น่อนน่อนเข้ามา เธอแหงนหน้ายิ้มให้กับมู่น่อนน่อน:“แม่คะ!”
“กำลังเล่นอะไรอยู่คะ?”มู่น่อนน่อนนั่งลงมาที่ข้างๆของเฉินมู่ มองดูเธอจัดวางตุ๊กตา
เฉินมู่มีความสนใจที่จะอธิบายให้เธอฟังมาก ตุ๊กตาพวกนี้คือใครบ้าง และชื่ออะไรบ้าง
ยังไม่รอให้เฉินมู่ได้บอกชื่อตุ๊กตาพวกนั้นให้มู่น่อนน่อนฟังหมด ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว
มู่น่อนน่อนได้ลังเลก่อน เดาอยู่ในใจว่าก่อนหน้านี้อาลั่วเห็นตัวเองไปแอบฟังหรือเปล่า ตอนนี้ถึงได้มาหาเธอ
จากนั้น เธอถึงลุกไปเปิดประตู
คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคืออาลั่วจริงๆด้วย
อาลั่วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“คุณผู้ชายหาคุณ ที่ห้องอ่านหนังสือ”
เธอพูดจบก็ได้หันหลังไปเลย ไม่อยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
มู่น่อนน่อนหันมามองเฉินมู่แว๊บนึง เห็นเธอยังนั่งอยู่บนพื้นและอินกับการเล่นตุ๊กตาของตัวเองอยู่ มู่น่อนจึงได้เรียกเธอ:“มู่มู่”
“คะ?”เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสีหน้ามึนงง
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วกวักมือให้เธอ:“รีบมาเร็ว เราไปเล่นที่ห้องอ่านหนังสือของลุงลี่กัน”
“ค่ะ!”เฉินมู่เอามือยันพื้นไว้แล้วลุกขึ้นมา ถึงในห้องจะเปิดเครื่องทำความร้อนไว้ แต่เธอก็ยังใส่เสื้อผ้าหนาอยู่ดี ก็เลยดูค่อนข้างเซ่อซ่า
แต่ก็เซ่อซ่าได้น่ารัก
หลังจากเฉินมู่ยืนขึ้น ก็ได้วิ่งไปยังทิศทางของมู่น่อนอย่างไว วิ่งมาถึงตรงหน้ามู่น่อนน่อนก็ได้กุมมือของเธอไว้โดยตรง
มู่น่อนน่อนได้พาเธอมาถึงที่หน้าห้องอ่านหนังสือของลี่จิ่วเชียน ก่อนอื่นได้เคาะประตูก่อน ทีนี้ก็รอแค่คนที่อยู่ด้านในเรียกพวกเธอเข้าไป
แต่มู่น่อนน่อนไม่ได้ยินลี่จิ่วเชียนที่อยู่ข้างในเรียกพวกเธอเข้าไป เพราะลี่จิ่วเชียนได้มาเปิดประตูเอง
เอี๊ยดเสียงนึง ประตูถูกคนเปิดออกจากด้านใน
ลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ที่หน้าห้องด้วยสีหน้าอ่อนโยน พอเห็นมู่น่อนน่อน เขาได้พูดด้วยรอยยิ้ม:“มาแล้วเหรอครับ”
ประตูเปิดกว้างไปหน่อย มู่น่อนน่อนมองไปที่ด้านหลังของลี่จิ่วเชียน พบว่าห้องอ่านหนังสือไม่มีความเละเทะของก่อนหน้านี้แล้ว ได้กลายเป็นห้องที่สะอาดเรียบร้อยเป็นระบบระเบียบแล้ว
ลี่จิ่วเชียนก็เหมือนห้องอ่านหนังสือที่ได้ผ่านการจัดความเรียบร้อยยังไงอย่างงั้น สีหน้าอ่อนโยนและใจเย็น หาร่องรอยคลุ้มคลั่งของก่อนหน้านี้ไม่เจอเลยสักนิด
มู่น่อนน่อนยิ่งอยู่ยิ่งแน่ใจแล้วว่าลี่จิ่วเชียนอาจจะป่วยโรคแปลกประหลาด