คำตอบของฉีเฉิงทำให้เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกว่ามีเหตุผล
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ลำพังแค่ฉีเฉิงเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเปลี่ยนความคิด
เมื่อคิดแบบนี้ ใจเธอก็ยิ่งสงสัย ทำไมจู่ๆ เฉินถิงเซียวมาพูดเรื่องนี้กับเธอ
คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ออก
หลายปีที่ผ่านเฉินจิ่งหยุ้นใช้ชีวิตเป็นคุณหนูใหญ่ ทุกคนเคารพนบนอบเธอ เพื่อนพ้องก็จริงใจเพียงผิวเผินเท่านั้น
เธอจดจำไม่ลืม ตอนที่เธอเพิ่งได้รับใบรายงานวินิจฉัย ปฏิกิริยาแรกคืออยากบอกเฉินถิงเซียวหรือไม่
เพราะเฉินถิงเซียวเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่บนโลก
สำหรับเฉินถิงเซียว เธอเลิกหวังนานแล้ว
เพียงแต่ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะโทรบอกเฉินถิงเซียว เพราะเฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอเลย
แต่ว่า นอกจากเฉินถิงเซียว เธอก็ไม่รู้ว่าควรบอกใคร
ในตอนนั้น เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
ภายนอกเธอเจิดจรัสมาก แต่คนที่จริงใจต่อเธอกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว
เฉินจิ่งหยุ้นอึดอัดในอก หลังจากเธอหอบหายใจสองครั้ง ก็เริ่มพูดกับฉีเฉิงอีกครั้งว่า “เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราไปกัน”
ฉีเฉิงดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย อารมณ์บนใบหน้าค่อนข้างซับซ้อน “ผมไม่ไปกับคุณ”
“อะไร” เฉินจิ่งหยุ้นสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด ฉีเฉิงบอกว่าจะไม่ไปกับเธอเหรอ
“จุดเริ่มต้นที่ผมติดตามปกป้องอยู่ข้างกายคุณ เป็นเพราะคุณได้ช่วยผมให้รอดพ้นจากปัญหาครั้งหนึ่ง” บนใบหน้าของฉีเฉิงไม่มีสีหน้าอะไรพิเศษ “พวกเรา หมดหนี้ต่อกันนานแล้ว”
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย และกลับมาปกติดังเดิมทันที “แบบนี้ก็ดี งั้นคุณ……วางแผนว่าจะไปไหน”
ฉีเฉิงไม่ได้ตอบ
เฉินจิ่งหยุ้นจึงถามเองตอบเอง “ก็จริง คุณไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องบอกฉัน แต่ไม่ว่าคุณคิดจะไปไหน ฉันก็ยังต้องขอบคุณคุณ”
ไม่มีฉีเฉิงเธอก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนั้น
ฉีเฉิงคนนี้ดูเย็นชามาก แถมยังออกจะน่ากลัว แต่ที่จริงเขาเป็นผู้ชายที่มีเลือดนักสู้มาก
เขามีหลักการและบรรทัดฐาน และเขาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นเพียงผิวเผิน
เขาสัญญาว่าจะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ ก็เพียงเพราะเธอเคยช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้หมดหนี้ต่อกันแล้ว ก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก
“งั้นฉันกลับห้องก่อนนะ” เฉินจิ่งหยุ้นเห็นฉีเฉิงยังคงเงียบ เหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะพูดสิ่งใด
เฉินจิ่งหยุ้นดวงตาหมองหม่นเล็กน้อย หันหลังและจะเดินไป
เพียงแต่ ตอนที่เธอหันตัวไป เธอรู้สึกว่าข้อมือตัวเองถูกจับไว้
กำลังที่ใช้จับข้อมือนั้นแรงมาก กระชากเธอไปอย่างดุดัน ทั้งร่างของเธอชนเข้ากับอกของฉีเฉิงอย่างหนักโดยควบคุมไม่ได้
มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป เฉินจิ่งหยุ้นร้องอุทานด้วยความตกใจ และเงยหน้าขึ้นมองฉีเฉิง“ฉีเฉิงคุณทำ……”
คำพูดส่วนหลัง ฉีเฉิงไม่ได้ให้โอกาสเธอได้พูดออกมา เขากดหน้าต่ำลงมาบนริมฝีปากของเธอ
ฉีเฉิงใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือของเธอ ส่วนอีกข้างกอดเอวเธอแน่น ไม่ให้เฉินจิ่งหยุ้นมีโอกาสได้รอดพ้น
เฉินจิ่งหยุ้นถูกเขากักไว้ในอ้อมแขน ดิ้นไม่หลุด ริมฝีปากปิดแน่นด้วยความขุ่นเคือง ไม่ให้โอกาสแก่เขา
แต่ไหนเลยเธอจะสามารถควบคุมมันได้
กระทั่งรู้สึกว่าหญิงสาวในอ้อมแขนกำลังจะหมดลมหายใจ เขาจึงปล่อยริมฝีปากของเธอ
แต่ก็ปล่อยเพียงแค่ริมฝีปากของเธอเท่านั้น มือของเขายังคงกอดเอวเธอเอาไว้แน่น ไม่มีการปล่อยเธอ
เฉินจิ่งหยุ้นเพิ่งถูกฉีเฉิงจูบไป แม้แต่บนใบหน้าซีดที่ไร้สีเลือด ก็ปรากฏริ้วแดงเรื่อขึ้นมาก
สีหน้าของฉีเฉิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย คลายมือปล่อยข้อมือของเฉินจิ่งหยุ้น มือที่ว่างลูบริมฝีปากของเฉินจิ่งหยุ้นด้วยนิ้วหัวแม่มือ น้ำเสียงยังค่อนข้างแหบพร่า “ตรงนี้ ผมทำเครื่องหมายไว้ ต่อให้ผมไม่ไปหาหมอเป็นเพื่อนคุณ คุณก็ต้องจำไว้ว่าตัวเองเป็นคนของใคร!”
ขณะที่เขาเค้นคลึงริมฝีปากของเธอ ข้อนิ้วก็ยังจับล็อคคางเธอ ทำให้เธอไม่เงยหน้ามองเขาไม่ได้
เมื่อฉีเฉิงพูด แววตาเป็นประกายโหดเหี้ยมราวกับหมาป่า
เฉินจิ่งหยุ้นหัวใจหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะ ตกตะลึงจนพูดไม่ออกสักคำ
กระทั่งเมื่อเธอได้สติ ฉีเฉิงก็ปล่อยเธอแล้ว “มีชีวิตกลับมา”
ทิ้งประโยคนี้ไว้ แล้วเขาก็หันหลังจากไป ไกลห่างออกไป ด้านหลังที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
บนตัวเขามองไม่ออกถึงร่องรอยที่ว่าวินาทีก่อนยังจูบกับหญิงสาวคนหนึ่ง
เฉินจิ่งหยุ้นลูบริมฝีปากที่แดงเรื่อของเธอ มองฉีเฉิงเดินหายไปตรงทางเลี้ยว มองไปยังทางเดินอันว่างเปล่า ค่อนข้างสงสัยว่าเมื่อครู่ตัวเองเกิดภาพลวงตาใช่หรือไม่
ถ้อยคำต่างๆ ที่ฉีเฉิงพูด……หมายถึงอะไร
……
หลังจากมู่น่อนน่อนกลับไป ก็เริ่มค้นหา “องค์กรX” บนอินเทอร์เน็ต
แต่สิ่งที่ทำให้สับสนก็คือ เธอค้นหาบนอินเทอร์เน็ตนานมาก ก็ไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆ เลย
เธอเปลี่ยนหลายเบราว์เซอร์ เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ เปลี่ยนแท็บเล็ต แต่ก็ยังค้นหาข้อมูลขององค์กรXไม่เจอ
หรือว่าฉีเฉิงโกหกเธอ
แต่ดูท่าทางฉีเฉิงแล้วไม่เหมือนว่าโกหกเธอ
ถ้าฉีเฉิงเคยเป็นนักฆ่าจริง ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง……
ถ้าอย่างนั้น การที่เธอค้นหาข้อมูลของ “องค์กรX” ไม่เจอก็เป็นเรื่องปกติ
——สามารถซื้อชีวิตคนได้ สามารถซื้อข้อมูลข่าวสารทุกอย่างได้ ตราบใดที่สามารถจ่ายได้ ก็สามารถซื้อสิ่งที่ต้องการได้
นี่เป็นองค์กรอาชญากรรมชัดๆ!
ถ้ามีองค์กรแบบนี้อยู่จริง เช่นนั้นก็ต้องซ่อนอยู่ในที่มืด
องค์กรอาชญากรรมแบบนี้ ทุกนายจ้างที่หาพบถ้าไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ เพราะฉะนั้นการป้องกันความลับขององค์กรนี้จึงต้องรัดกุมมาก
ดังนั้นต่อให้มู่น่อนน่อนค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ก็ยากที่จะพบข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนี้
มู่น่อนน่อนใจเต้นกระหน่ำ
ถ้าฉีเฉิงเป็นคนขององค์กรX แล้วเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ไหม
สายตาของมู่น่อนน่อนไปตกบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือมา หาเบอร์ของเฉินถิงเซียว เพิ่งกดโทรออก เธอก็กดวางทันที
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนโง่ เขามีความระแวดระวังมาก เขาจะใช้งานใครก็ต้องค้นหาข้อมูลส่วนตัวให้แน่ชัดก่อน
ตัวตนของฉีเฉิงเฉินถิงเซียวรู้อยู่ก่อนแล้ว
แต่ว่า ถ้าเขารู้ตัวตนของฉีเฉิงทำไมยังให้ฉีเฉิงอยู่ข้างกายอีก
ฉีเฉิงไม่ใช่คนดีอะไร ทำงานแลกเงิน มือเปื้อนเลือดคนมาไม่รู้เท่าไร คนแบบนี้ อันตรายมาก!
มู่น่อนน่อนคิดไปคิดมา และก็ยังคงโทรออกไป
ขณะที่รอสายเชื่อมต่อ มู่น่อนน่อนกำมือแน่นอย่างตึงเครียดตลอดเวลา