พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ได้ตามไป
“ฉีเฉิง นายรอก่อน”
ฉีเฉิงได้หยุดลงมาจริงๆด้วย แววตานิ่ง:“คุณมู่ยังมีธุระ?”
สีหน้าแววตาของเขาสงบนิ่งแต่เย็นชา
มู่น่อนน่อนก็ไม่อ้อมค้อม ได้ถามตรงๆว่า:“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง?”
น้ำเสียงของฉีเฉิงเหลาะแหละมาก:“ผ่านมาพอดีครับ”
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ?”มู่น่อนน่อนขวางฉีเฉิงเอาไว้ ฉีเฉิงที่เดิมทีเตรียมจากไปได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
ฉีเฉิงยิ้มหยันทีนึง:“เฉินจิ่งหยุ้นจะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ เธอไม่ต้องการผมแล้ว”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างทึ่ง ความหมายในคำพูดของฉีเฉิงคือ……เฉินจิ่งหยุ้นไม่เอาเขาแล้ว?
ที่ผ่านมาเธอดูออกว่าฉีเฉิงมีความรู้สึกพิเศษให้เฉินจิ่งหยุ้น แต่เฉินจิ่งหยุ้น……จะว่ามีความรู้สึกพิเศษให้ฉีเฉิง มันก็มีความรู้สึกพิเศษนิดนึงอยู่ แต่คนเย่อหยิ่งอย่างเฉินจิ่งหยุ้น จะชอบคนอย่างฉีเฉิงหรือเปล่า?
มู่น่อนน่อนดูออกว่าฉีเฉิงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของเฉินจิ่งหยุ้นให้มาก เธอก็เลยไม่ได้ถามอีก
เธอได้ถามอย่างกับว่าไม่ได้ตั้งใจ:“งั้นจากนี้นายวางแผนจะไปไหน?”
“ไปไหนก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอครับ?”ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง บนใบหน้ามีกลิ่นอายสง่างามของความเสเพลอยู่หลายส่วน
ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆมู่น่อนน่อนรู้สึกว่าฉีเฉิงไม่เหมือนคนฆ่ารันฟังแทงเลย
“มันก็ใช่” มู่น่อนน่อนพยักหน้า แล้วเสนอแนะว่า:“วันนี้นายได้ช่วยฉันเอาไว้ งั้นฉันเลี้ยงข้าวนายดีกว่า”
ความคิดของมู่น่อนน่อนเรียบง่ายมาก เธอแค่อยากหลอกถามฉีเฉิงอะไรหน่อย
ถึงแม้มีความเป็นไปได้สูงว่าฉีเฉิงจะไม่ตอบตกลง แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ไม่รับปากก็ช่าง
แต่ที่ทำให้มู่น่อนน่อนประหลาดใจคือ ฉีเฉิงได้พยักหน้าอย่างใจกว้าง:“โอเคครับ”
ทีนี้ มู่น่อนน่อนกลับค่อนข้างสงสัย
ระแวกชุมชน ก็มีร้านปิ้งย่างอยู่ร้านนึงแล้ว
ฉีเฉิงก็ไม่เรื่องมาก ได้ตามมู่น่อนน่อนเข้าไปในร้านปิ้งย่างเลย
พนักงานเอาเมนูอาหารมา ฉีเฉิงก็ไม่เกรงใจเลยสักนิด ได้สั่งเนื้อสัตว์มามากมาย
แต่ราคาของร้านปิ้งย่างแบบนี้ถูกมาก ถึงสั่งเยอะก็ไปไม่เท่าไหร่หรอก
ท่าทางที่ฉีเฉิงกินข้าวไม่ถือว่าสง่า แต่กลับทำคนให้คนรู้สึกว่าสุภาพเรียบร้อยมาก
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาไปครู่นึง แล้วอดขำไม่ได้:“นักฆ่าในละครเหมือนล้วนดุร้ายมาก กินข้าวก็กินคำโตๆไม่แคร์ภาพลักษณ์เลย”
ฉีเฉิงดื่มเบียร์ไปกรึ๊บนึง จากนั้นได้เงยหน้า พร้อมชายตามองมู่น่อนน่อนแวบนึง:“ไม่รู้อะไรเลย”
มู่น่อนน่อนถูกเขาทำเอาสำลัก
ช่างเถอะ อย่าถือสาฉีเฉิงเลย เมื่อครู่เขาได้ช่วยเธอไว้ อีกอย่างเธอก็อยากหลอกถามเขาด้วย
“ฉันไม่เคยเห็นของจริงสักหน่อย ในละครเล่นยังไง ก็ต้องมองเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”มู่น่อนน่อนพิงไปที่ข้างหลัง ทำหน้าบริสุทธิ์ใจ
ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง จู่ๆจากนั้นได้กดเสียงต่ำ ใช้เสียงที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนพูดว่า:“คุณรู้หรือเปล่า?งานสุดท้ายที่ผมรับ คือเป็นครูสอนภาษาที่โรงเรียนมัธยมแห่งนึง ได้สอนอยู่สองปีเต็มๆ ถึงหาโอกาสลงมือเจอและสำเร็จงานนั้นได้”
ปกติตอนที่ฉีเฉิงพูดจา ดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่รับมือง่าย
แต่นาทีนี้ตอนที่เขาใช้เสียงสงบนิ่งจนผิดปกติพูดเรื่องนี้ ทำให้มู่น่อนน่อนมีความรู้สึกกลัวจนขนลุกซู่
ฉีเฉิงที่เป็นนักฆ่า แต่กลับสามารถเป็นครูสอนภาษาที่มัธยมต้นแห่งนึง!สอนหนังสือมาสองปี ไม่ได้เผยพิรุธออกมาเลย
เพื่อฆ่าคนๆนึงแล้วเตรียมการสองปีเต็มๆ!
แต่ที่ยิ่งทำให้มู่น่อนน่อนช็อกคือ ฉีเฉิงยังมีความสามารถในการเป็นครูสอนภาษา!
ดูยังไง ก็ควรจะเป็นครูสอนพละมากกว่ามั้ง……
คงจะเพราะความประหลาดใจของมู่น่อนน่อนแสดงออกมาชัดเจนเกิน ฉีเฉิงแสยะยิ้มมมุปาก เผยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา:“สิ่งที่ผมเป็น ไม่น้อยกว่าเฉินถิงเซียวหรอก”
คราวนี้ถึงทีมู่น่อนน่อนแสยะยิ้มมุมปากแล้ว
เธอก้มหน้าลง ถือไม้เสียบอันนึงทิ่มเต้าหู้ในถ้วย ก็ไม่พูดต่อจากประเด็นของฉีเฉิง
จู่ๆเหมือนเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ ได้เงยหน้ามองไปที่ฉีเฉิงกะทันหัน
ฉีเฉิงเห็นสีหน้าที่อย่างกับว่าเห็นผีของเธอแล้ว ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย:“คุณเป็นคนพูดประเด็นนี้ขึ้นมาเอง แต่คุณวางใจได้ ผมไม่อยู่ดีๆก็ลงมือกับคุณโดยที่เราไม่มีความแค้นกันหรอก”
มู่น่อนน่อนจ้องฉีเฉิงไว้แล้วถามว่า:“นายรู้จักคนที่ชื่อลี่จิ่วเชียนหรือเปล่า?”
“ใครครับ?”ฉีเฉิงคิดอยู่ครู่นึง:“ไม่รู้จัก”
มู่น่อนน่อนกลับจมปลักเข้าสู่การครุ่นคิด
เมื่อครู่ฉีเฉิงบอกว่า การค้าขายสุดท้ายของเขาในก่อนหน้านี้ ได้สอดแนมอยู่ในโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนึงสองปีเต็มๆ
และตอนนั้นลี่จิ่วเชียนก็ดูแลมู่น่อนน่อนมาสามปีเต็มๆเหมือนกัน ได้รับความไว้ใจจากเธอ สุดท้ายถึงเผยธาตุแท้ของเขาออกมาเอง
วิธีการของสองเรื่องนี้ คล้ายคลึงกันมาก
นี่ทำให้มู่น่อนน่อนอดสงสัยไม่ได้ว่า ลี่จิ่วเชียนอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรX
“ไม่รู้จักจริงอ่ะ?”
ความสงสัยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน ทำให้ฉีเฉิงไม่ค่อยสบอารมณ์ เขาหน้าบึ้งพร้อมพูดว่า:“ในองค์กร ทุกคนที่ปฏิบัติการอยู่ข้างนอกต่างก็มีรหัสที่ตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ พวกเราไม่รู้ชื่อและสถานะแท้จริงของกันและกันครับ”
มู่น่อนน่อนฟังแล้วค่อนข้างช็อกไปเลย
เธอเขียนบทละครก็ยังไม่กล้าเขียนแบบนี้เลย
แต่ความจริงยิ่งดราม่ากว่าในละครเสียอีก
ถึงแม้มู่น่อนน่อนยังอยากรู้เรื่องขององค์กรXให้มากขึ้น แต่คืนนี้เธอถามเยอะเกินไปแล้ว
ที่ฉีเฉิงพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ คงจะเพราะอารมณ์ดี และคงจะอยากขู่เธอ วันข้างหน้าให้เธอไม่กล้าถามเรื่องขององค์กรXอีก
หลังจากนี้ เธอก็เลยไม่ได้ถามฉีเฉิงเกี่ยวกับเรื่ององค์กรXอีก
ทั้งสองกินปิ้งย่างเสร็จ ก็ได้ล่ำลาซึ่งกันและกัน
แต่หลังจากทั้งสองล่ำลากันแล้ว มู่น่อนน่อนพบว่าฉีเฉิงไม่ได้จากไป กลับกันได้คอยเดินตามอยู่ข้างหลังเธอ
“นายตามฉันมาทำไม?”มูาน่อนน่อนย่อมไม่คิดว่าฉีเฉิงกลัวเธอจะเกิดเรื่องอีก ก็เลยจะส่งเธอกลับบ้าน
ฉีเฉิงเอามือสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม พร้อมใส่แมสกับหมวกอีกครั้ง ดูแล้วไม่ต่างกับคนธรรมทั่วไปในท้องถนนเลย
คิ้วที่เขาเผยอยู่ข้างนอกได้ขยับ เสียงอยู่ภายใต้การบดบังของแมสไม่ค่อยชัดเท่าไหร่:“ผมก็กลับบ้านไง”
มู่น่อนน่อนชี้ทางข้างหน้า:“นายก็ไปที่นี่?”
ฉีเฉิงขี้เกียจพูดมากกับเธอ ได้เดินแซงเธอไปข้างหน้าโดยตรง
มู่น่อนน่อนเดินตามหลังเขา มองดูเขาเข้าไปในชุมชนที่เธอพักอยู่ จากนั้นได้เข้าไปในตึกที่เธอพักอาศัยอยู่
หน้าลิฟต์ ฉีเฉิงได้ก้าวเข้าไปก่อน แล้วเรียกมู่น่อยน่อนที่ยืนอยู่ข้างนอก:“เฮ้ คุณจะไปไหม?”
มู่น่อนน่อนมองเขาแวบนึง จากนั้นได้ยกฝีเท้าเดินเข้าไป
เธอมองชั้นที่ฉีเฉิงกดแล้วม่านตาหดทันที
บังเอิญจังเลย ฉีเฉิงไม่เพียงพักตึกเดียวกันของชุมชนกับเธอ แถมยังพักอยู่ชั้นเดียวกันด้วย
ฉีเฉิงเห็นมู่น่อนน่อนไม่ได้กดชั้นที่จะไป จึงได้ถามเธอว่า:“ชั้นไหนครับ?”
มู่น่อนน่อนไม่พูดจา ฉีเฉิงหัวเราะเยาะทีนึง น้ำเสียงดูหมิ่นมาก:“ผู้หญิงที่ผมเคยเจอมาเยอะจนนับไม่ถ้วน คุณคิดว่าผมจะทำอะไรคุณงั้นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนพบว่า ฉีเฉิงคนนี้ถ้าไม่พูดถึงอดีต นิสัยและความเคยชินของเขาไม่ต่างกับคนทั่วไปเลย
“ฉันไม่เคยคิดแบบนี้ แค่รู้สึกว่าบังเอิญเฉยๆ” มู่น่อนน่อนดึงสายตากลับ หลุบตาลงจ้องปลายเท้าของตัวเองไว้
จากนั้นทั้งสองก็ไม่พูดจากันอีก
ตอนที่ลิฟต์เปิดออก ทั้งสองได้ทยอยกันเดินออกมาจากลิฟต์ จากนั้นได้เดินไปยังห้องที่ทิศทางกลับกัน