มู่น่อนน่อนหยุดอยู่กับที่ได้ครู่นึง ก็ได้เดินไปยังทิศทางของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวพิงอยู่บนโซฟา ดูแล้วเกียจคร้านกับเย็นชา
เขาได้ยินความเคลื่อนไหวแล้ว ได้เงยหน้าขึ้นมามองมู่น่อนน่อนแวบนึงพร้อมยักคิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เธอว่ามีอะไรก็พูดมาเลย
มู่น่อนน่อนมองโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเขาแวบนึง เธอก็ไม่ได้นั่งลง แค่ยืนคุยกับเขา “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ เดิมทีคืออยากฝากให้ผู้ช่วยสือบอกคุณ แต่คุณอยู่ที่นี่แล้ว ฉันบอกคุณโดยตรงเลยดีกว่า”
ก็ไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวตั้งใจฟังเธอพูดอยู่หรือเปล่า เขาได้ดูดบุหรี่แรงๆอีกคำ
นิ้วมือของเขาเรียวยาวสวยงาม แม้แต่ท่าทางในการดูดบุหรี่ก็ยังเพลินตาเพลินใจมากเป็นพิเศษ
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย เอาบุหรี่ครึ่งมวนที่ยังดูดไม่หมดเขี่ยใส่ที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นถึงมองไปที่มู่น่อนน่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย “เพราะฉะนั้น ”
“ฉันอยากพาลูกไปอยู่กับฉันช่วงนึง ” มู่น่อนน่อนได้พูดออกมาโดยตรง
เฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาในทันที เขาจ้องมู่น่อนน่อนอย่างนิ่งๆอยู่หลายวินาที
ความเงียบของเขาทำให้มู่น่อนน่อนค่อนข้างตื่นเต้น เฉินถิงเซียวนี่คือไม่อยากให้เธอพาเฉินมู่ไปคอนโดของเธอเหรอ
สักพัก เฉินถิงเซียวได้นั่งตัวตรง แล้วพูดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยคำนึง “อีกไม่นานก็วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยอารมณ์ซับซ้อนที่มู่ย่อนน่อนยากจะแยกแยะ
จู่ๆมู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่า หลังจากพวกเขาอยู่ด้วยกัน เหมือนไม่เคยอยู่ฉลองวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกันดีๆเลย
วันส่งท้ายปีเก่าของปีแรกฉลองที่ตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินก็เกิดเรื่อง
ในสามปีนั้นไม่มีอะไรต้องพูดถึงเลย
และปีนี้……
สมองของมู่น่อนน่อนค่อยๆปลอดโปร่ง เข้าใจความหมายที่แอลแฝงอยู่ในคำพูดของเฉินถิงเซียว “ถ้าคุณอยากฉลองวันส่งท้ายปีเก่ากับมู่มู่ ฉันส่งเธอกลับมาล่วงหน้าได้ค่ะ”
ใครจะไปรู้ว่าเฉินถิงเซียวเปิดปากก็ปฏิเสธโดยตรงเลย “ไม่ต้อง”
ไม่รอให้มู่น่อนน่อนไหวตัวทัน เฉินถิงเซียวก็ได้พูดว่า “วันส่งท้ายปีเก่าผมมีนัด ไม่ว่าง พรุ่งนี้คุณมารับเธอเลย”
เขาพูดจบก็ได้ลุกขึ้น และหันหลังขึ้นชั้นบนไป
แผ่นหลังเย็นชา ไม่หยุดลงเลย
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากไว้ เหมือนเพื่อเอาคืน แล้วงอนยังไงอย่างงั้น เธอก็ได้เดินออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบทันที
ราวกับว่าพอเดินช้าปุ๊บ ก็จะขายขี้หน้า
เดินออกมาจากห้องโถง มู่น่อนน่อนมองดูรอบด้าน ก็เห็นฉีเฉิงหอบเสื้อคลุมและกำลังนั่งสูบบุหรี่กับบอดี้การ์ดหลายคนอยู่บนพื้น เหมือนเป็นเจ้าพ่อมาเฟียเลย
หน้าของบอดี้การ์ดมีแผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ชกต่อยกันมาเหรอ
มู่น่อนน่อนเดินตรงดิ่งไป ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แค่พูดคำเดียวว่า “กลับกันเถอะ”
เธอพูดจบก็ได้เดินไปด้านนอกโดยตรงเลย ไม่นานฉีเฉิงก็ได้ตามมา
รู้สึกได้ว่าฉีเฉิงที่อยู่ข้างหลังฝีเท้ายิ่งอยู่ใกล้ มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ไม่หยุดฝีเท้าและไม่หันหน้ากลับมา “นายชกต่อยกับบอดี้การ์ดของเฉินถิงเซียวเหรอ ”
“อืม” ฉีเฉิงแค่ตอบคำนึง ยังคงไม่อยากพูดมากแม้แต่คำเดียวเหมือนก่อนหน้านี้
สำหรับหน้าตาแบบนี้ของฉีเฉิงแล้ว มู่น่อนน่อนชินจนกลายเป็นเรื่องปกติไปตั้งนานแล้ว
“ตอนนี้ฉันไม่อยากมีความเกี่ยวพันใดๆกับเฉินถิงเซียว จุดนี้นายก็รู้ดี ถึงฉันเป็นนายจ้างของนาย แต่พฤติกรรมส่วนตัวของนายไม่เกี่ยวกับฉัน”
ฉีเฉิงฟังความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อนออก ได้หัวเราะเยาะทีนึง “ผมซ้อมบอดี้การ์ดของเขา เขารู้อยู่ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผมอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกครับ”
“งั้นก็ดี”มู่น่อนน่อนพึงพอใจกับการตอบของฉีเฉิงมาก
ตอนนี้เธอไม่อยากมีความเกี่ยวพันกับเฉินถิงเซียวสักนิดเลยจริงๆ
แต่ที่ตลกคือ แต่เธอก็ไม่มีทางไม่เกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียวจริงๆ
เฉินถิงเซียวเป็นพ่อของลูกสาวเธอ และเป็นผู้ลงทุนละครเรื่องใหม่ของเธอ
ระหว่างทางกลับบ้าน ในรถเงียบผิดปกติ
มู่น่อนน่อเพราะเจอกับเฉินถิงเซียวเลยทุกข์ใจ ส่วนฉีเฉิงก็ไม่รู้เพราะอะไร ดูเหมือนอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีเหมือนกัน
ทั้งสองไม่มีท่าทีจะเป็นห่วงอีกฝ่ายกันเลย เงีบตลอดทางจนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง
หลังลงจากรถ ทั้งสองขึ้นชั้นบนก็ได้แยกทางกันโดยตรง
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงบ้าน เปิดดูตู้เย็นแวบนึงแล้ว ไม่มีอะไรกินเลย
ไหนๆก็ไหนแล้วจึงได้หยิบนมเปรี้ยวมาดื่มซะเลย
เธอดื่มนมเปรี้ยวไปด้วยและหยิบมือออกมาดูข่าวไปด้วย เพิ่งเปิดเจอข่าวของเสิ่นเหลียง มือถือเธอก็ได้ดังขึ้น
เสิ่นเหลียงโทรมาพอดี
พอรับสายปุ๊บ เสิ่นเหลียงก็ได้พูดว่า “ฉันอยู่ใต้ตึก”
มู่น่อนน่อนตกใจ มือที่ถือนมเปรี้ยวเอาไว้ควบคุมแรงได้ไม่ดี ไม่ระวังได้บีบนมเปรี้ยวออกมา แล้วสาดใส่บนเสื้อเธอ
“เธอกลับมาเมื่อไหร่ ”มู่น่อนน่อนรีบวางนมเปรี้ยวลง เปิดลำโพงคุยกับเสิ่นเหลียงไปด้วย และเอาทิชชูเช็ดคราบนมเปรี้ยวบนเสื้อไปด้วย
“ฉันจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เรื่องของฉัน เธอยุ่งอะไรด้วย ฉันจะขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย”เสิ่นเหลียงรีบร้อน พอพูดจบก็วางสายทิ้งเลย
มู่น่อนน่อนเช็ดนมเปรี้ยวเสร็จ ได้ลุกไปล้างมือที่ห้องน้ำ ก็เห็นแผลบนคอตัวเองที่ยังไม่ได้หายดีหมดผ่านกระจก
วันนี้เธอใส่เสื้อไหมพรมคอเต่า ตอนที่ออกจากบ้านได้ใส่เสื้อคลุมและพันผ้าพันคอ กลับมาถึงบ้าน หลังจากถอดเสื้อคลุมและผ้าพันคอออก แผลบนคอก็ได้เผยออกมา
มู่น่อนน่อนก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเหลียงมาหาเธออย่างรีบร้อนขนาดนี้คือเธอพบเห็นอะไรแล้วหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่คิดจะพูดเรื่องของเจียงซ่งให้เสิ่นเหลียงฟัง
เพราะยังไงก็ผ่านไปแล้ว มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย เพื่อเสิ่นเหลียงจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
มู่น่อนน่อนเพิ่งเปลี่ยนเสื้อไหมพรมคอเต่าออกมาจากห้องนอน ประตูห้องนอนก็“ก๊อกๆๆ” ถูกคนเคาะดังขึ้นจากข้างนอก
เธอเดินไปเปิดประตูอย่างไว ก็เห็นเสิ่นเหลียงยืนอยู่ที่หน้าห้อง
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเหลียงกลับมาจากกองถ่าย ข้างๆมือยังมีสัมภาระวางอยู่ใบนึง
เธอใส่หมวกแก๊ปเอาไว้ หมวกของเสื้อโค้ตก็สวมอยู่บนหัว ผมค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้แต่งหน้า แต่ดูแล้วหน้าตาสดชื่นมีชีวิตชีวามาก
“ช้าจังเลย เธอมัวแต่ทำอะไรอยู่ ”เสิ่นเหลียงบ่นคำนึง จากนั้นก็ได้หิ้วสัมภาระเดินเข้ามาโดยตรง
มู่น่อนน่อนยิ้ม จัดเสื้อไหมพรมคอเต่าของตัวเองอย่างสงบเยือกเย็น แล้วปิดประตูห้องนอน
“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าสักคำ ก็มากะทันหันเลยล่ะ ”มู่น่อนน่อนพูดไปด้วยแล้วรินน้ำให้เสิ่นเหลียงไปด้วย
เสิ่นเหลียงเข้ามาในห้อง ก็โยนสัมภาระไว้ข้างๆแล้วโดดขึ้นไปบนโซฟาเลย คอยซุกอยู่ในโซฟารอมู่น่อนน่อนรินน้ำให้เธอ
มู่น่อนน่อนรินน้ำแล้วยื่นให้เสิ่นเหลียง
“ขอบใจจ้า”เสิ่นเหลียงรับน้ำมาดื่มคำนึง ก็ได้วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า
มู่น่อนน่อนรู้ว่าเธอมีเรื่องจะพูด ก็เลยนั่งลงที่ข้างกายเธอ
และแล้วก็จริงด้วย เธอนั่งลงปุ๊บ เสิ่นเหลียงก็เขยิบเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเลย “ได้ยินมาว่าบริษัทเฉินซื่อจะลงทุน เมืองพัง2 ”
“ข่าวของเธอไวดีหนิ”มู่น่อนน่อนก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ในวันนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นเหลียงก็รู้แล้ว
เสิ่นเหลียงเชอะทีนึง แล้วทำสีหน้าได้ใจ “ดูถูกฉัน เส้นสายของฉันเยอะกว่าของเธอก็แล้วกัน”
มู่น่อนน่อนยิ้มอ่อนๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“เธอกับประธานเฉินคืนดีกันแล้วเหรอ ”เสิ่นเหลียงได้ถามอย่างสอดรู้สอดเห็นอีก
“ยัง”สีหน้าของมู่น่อนน่อนจืดจางลงมาบ้าง หลุบตาลง หายใจลึกๆทีนึงแล้วพูดว่า “ก็อย่างนี้แหละ ไม่มีทางคืนดีกันอีกแล้ว”
“ห๊ะ ”เสิ่นเหลียงมึนไปครู่นึง
เธอลงเครื่องปุ๊บ ก็ได้นั่งรถมาอย่างดีอกดีใจโดยตรงเลย ก็เพราะรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะลงทุน เมืองพัง2 เธอยังนึกว่ามู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวคืนดีกันแล้ว