ในใจซูเหมียนคิดอะไรอยู่ มู่น่อนน่อนรู้ดี
ซูเหมียนนี่คือตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเป็นปรปักษ์กับเธอ เธอก็ย่อมไม่ถอยอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนรู้ว่าซูเหมียนเก็บกดมานาน ตอนนี้อุตส่าห์พลิกชะตาได้แล้ว ก็ย่อมต้องกู้หน้ากลับคืนมาสุดชีวิตอยู่แล้ว
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ดูบทก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนเอาฮาร์ดดิสก์ที่พกติดตัวไว้ออกมา แล้วยื่นให้กับฉินสุ่ยซาน
บทละครที่เหลืออีกหลายตอนล้วนอยู่ในนั้น
พอพูดเรื่องงาน สีหน้าของฉินสุ่ยซานก็จริงจังขึ้นมา “ฉันลองดูก่อน”
ฉินสุ่ยซานดูอย่างจริงจังมาก ตรงไหนที่ไม่เข้าใจยังได้ถามอยู่เป็นครั้งคราว
“หลังจากนี้อาจจะต้องให้เธอคอยตามอยู่ในกองถ่ายหน่อย หลังจากนี้ยังมีกลายจุดที่ต้องแก้”
“ถึงจะเริ่มถ่ายทำ อย่างน้อยก็ต้องรอหลังปีใหม่มั้ง ”มู่น่อนน่อนไม่มีความคิดเห็นอะไรกับสิ่งนี้
ราคาที่ฉินสุ่ยซานให้ไม่เลว อีกอย่างทางด้านบทละคร ฉินสุ่ยซานก็ให้เกียรติกับเธอที่เป็นนักเขียนบทต้นฉบับมาก
“ใช่ ต้องหลังปีใหม่อยู่แล้ว”ฉินสุ่ยซานพูดจบแล้วได้ดูนาฬิกาแวบนึง “เวลาล่วงเลยมานานแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนก็ไม่ปฏิเสธ ได้พยักหน้า
ตอนที่ทั้งสองออกไปด้วยกัน มู่น่อนน่อนได้ตรงดิ่งไปที่รถสีดำคันนึง
ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่มู่น่อนน่อนมาสตูดิโอของฉินสุ่ยซานล้วนขับรถมาเอง ฉินสุ่ยซานคุ้นเคยกับรถของมู่น่อนน่อนอยู่ เธอมองรถคันนั้นแวบนึง ก็รู้เลยว่ารถคันนั้นไม่ใช่รถของมู่น่อนน่อน
ในรถเหมือนจะมีคน
มู่น่อนน่อนเดินมาถึงข้างประตูรถ ก็ได้ยื่นมือเคาะกระจกรถ
กระจกรถเลื่อนลง ใบหน้าของฉีเฉิงได้โผล่อยู่ที่ตรงหน้า
ฉีเฉิงที่ในฐานะเป็นบอดี้การ์ดของเธอ พอออกจากบ้านก็คอยตามติดเธออย่างทำหน้าที่ได้เต็มที่สุดๆ
“ฉันจะไปทานข้าวกับฉินสุ่ยซาน”มู่น่อนน่อนก้มหน้าเล็กน้อย แล้วพูดกับฉีเฉิงที่อยู่ด้านใน
ฉีเฉิงพยักหน้าทีนึง หน้าตาเหมือนไม่อยากพูดเยอะ
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าที่จริงฉีเฉิงก็แปลกประหลาดดีนะ ปกติตอนที่เขาไปมาหาสู่กับเธอเป็นคนละเอียดรอบคอบดี เป็นห่วงเธอมาก แค่ปกติค่อนข้างเย็นชาไปหน่อยเอง
เย็นชาขนาดนั้น ไม่เข้ากับที่เขาเป็นห่วงเธอเลย
เหมือนอย่างกับว่ามีคนบีบบังคับเขา ให้เขาดีกับเธอยังไงอย่างงั้น
มู่น่อนน่อนคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเดิมทีฉีเฉิงก็เป็นคนที่นิสัยแปลกประหลาดอยู่แล้ว
ฉีเฉิงไม่อยากพูดมาก แต่มู่น่อนน่อนที่ในฐานะเป็นนายจ้างที่ใจดีคนนึง ก็ยังได้ถามว่า “นายจะทานกับพวกเราหรือว่า ”
“ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ”ฉีเฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ก็ได้
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินกลับมาที่ข้างกายของฉินสุ่ยซาน
ถึงแม้เมื่อครู่ฉินสุ่ยซานไม่ได้ตามไป แต่เธออยู่ห่างจากรถของฉีเฉิงไม่เยอะ เธอเห็นหน้าของฉีเฉิงไม่ชัด รู้แค่ว่าเป็นผู้ชายคนนึง
มู่น่อนน่อนเดินมาปุ๊บ ฉินสุ่ยซานก็ยิ้มอย่างคลุมเครือเลย “ฉันถึงว่าล่ะว่าทำไมหน้าตาเธอเหมือนไม่แคร์เลย ที่แท้ก็หาใหม่ได้แล้วนี่เอง”
“ของใหม่ของเก่าอะไร ”มู่น่อนน่อนดึงสติกลับมาไม่ได้ในชั่วขณะ
ฉินสุ่ยซานมองไปที่ฉีเฉิงแวบนึง แล้วกระซิบที่ข้างหูมู่น่อนน่อนว่า “ก็ผู้ชายคนใหม่ไง”
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่นึง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาเป็นบอดี้การ์ดของฉัน”
“ห๊ะ ”ทีนี้กลายเป็นฉินสุ่ยซานที่อึ้ง
เมื่อครู่เธอยังคิดว่าผู้ชายที่อยู่ในรถคนนั้นคือแฟนใหม่ของมู่น่อนน่อนเสียอีก
ฉินสุ่ยซานรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
เธอรีบเปลี่ยนประเด็น “ขึ้นรถก่อน หิวจะตายอยู่แล้ว”
มู่น่อนน่อนทำตามที่เจ้านายสั่ง ก็ไม่ได้พูดประเด็นนี้ต่ออีก
หลังจากเธอคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ ได้มองผ่านกระจกมองหลังแวบนึง พบว่าฉีเฉิงได้ขับรถตามมา
หลังจากผ่านเรื่องของคราวก่อน รถของมู่น่อนน่อนก็ได้เอาไปบำรุง ไม่ได้เอากลับมาสักที ฉีเฉิงได้ขับรถของเขาเอง
รถของฉีเฉิงไม่แพง สองแสนกว่าหยวน ดูเรียบง่ายธรรมดามาก
……
ฉินสุ่ยซานพามู่น่อนน่อนมาร้านอาหารสุดครีเอทีฟที่เพิ่งเปิดใหม่ รสชาติธรรมดามาก
พูดโดยตรงหน่อยก็คือไม่ค่อยอร่อย
แต่มู่น่อนน่อนก็ไม่แคร์อันนี้ กับข้าวมาเสิร์ฟปุ๊บก็ก้มหน้าทานข้าวเลย
ฉีเฉิงก็เข้ามาด้วย ได้นั่งที่ข้างๆของพวกเธอและได้สั่งอาหารด้วย
มู่น่อนน่อนแค่อยากรีบทานข้าวให้เสร็จแล้วกลับบ้านเร็วๆ
ช่วงนี้เนื่องจากบาดแผลยังไม่หายดี เธอไม่ได้ไปหาเฉินมู่เลย
ตอนนี้ตัดไหมแล้วและดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธออยากไปหาเฉินมู่
ถ้าเป็นไปได้ เธออยากลองคุยกับเฉินถิงเซียวดู ว่าเธอจะรับเฉินมู่ไปอยู่ที่คอนโดเธอช่วงนึง
ใกล้จะสิ้นปี ตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรให้ทำ อีกทั้งยังมีบอดี้การ์ดที่ความสามารถโดเด่นอย่างฉีเฉิงอยู่ เธอก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
ตอนที่มู่น่อนน่อนกินข้าว ไม่ได้สังเกตเห็นฉีเฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับเป็นฉินสุ่ยซานที่มองไปทางฉีเฉิงอยู่บ่อยครั้ง
ผ่านไปสักพัก ฉินสุ่ยซานได้เขยิบจากฝั่งตรงข้ามมาที่ข้างกายมู่น่อนน่อนอย่างลับๆล่อๆ “บอดี้การ์ดคนนั้นของเธอไปหามาจากไหน ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย”
“อื๊ม มีอะไรเหรอ ” มู่น่อนน่อนก็อดหันไปมองทิศทางของฉีเฉิงไม่ได้
ฉีเฉิงสั่งอาหารมาสองชุด ได้กินจนหมดเกลี้ยงแล้ว กำลังถือโทรศัพท์ไว้ไม่รู้คิดอะไรอยู่ ขมวดคิ้วไว้เหมือนเจอเรื่องกลุ้มใจอะไร
น้อยมากที่มู่น่อนน่อนจะเห็นอารมณ์ของฉีเฉิงเผยออกมาทางสีหน้า เธอแอบคาดเดาอยู่ในใจว่าฉีเฉิงอาจจะเห็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินจิ่งหยุ้น
“เธอไม่รู้สึกว่าบอดี้การ์ดของเธอดูแล้วเหมือนเจ้าพ่อมาเฟียในหนังเหรอ เขาดูแล้วมีความรู้สึกผ่านอะไรมาเยอะ เก็บซ่อนความสามารถไว้หมด ”
ต้องยอมรับว่าฉินสุ่ยซานดูคนได้แม่นยำมาก
“ใช่เหรอ ทำไมฉันดูไม่ออกเลย เขาแค่หน้าดุนิดหน่อยเฉยๆ” มู่น่อนน่อนไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือผิด มีเจตนาอยากจะช่วยฉีเฉิงปกปิดสถานะ
ดีที่ฉินสุ่ยซานแค่เอ่ยขึ้นมาเฉยๆ บอดี้การ์ดคนนึงไม่คุ้มค่าให้เธอเอามาใส่ใจจริงๆ
ทานข้าวเสร็จ มู่น่อนน่อนกับฉินสุ่ยซานได้แยกกันแล้วนั่งรถของฉีเฉิงกลับไป
มู่น่อนน่อนอยากไปหาเฉินมู่ ก็เลยค่อนข้างเสียสมาธิ
เธอคิดๆแล้วถึงได้โทรหาสือเย่
สือเย่รับสายไวมาก เสียงรอสายดังขึ้นแค่สองทีก็รับสายแล้ว
“คุณมู่ครับ” ครั้งนี้สือเย่เปลี่ยนคำพูดได้คล่องเชียว
ที่ผ่านมาสือเย่เคารพนอบน้อมและเกรงใจเธอมาโดยตลอด มู่น่อนพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้ช่วยสือ เฉินถิงเซียวอยู่บริษัทเฉินซื่อหรือเปล่า ”
ถึงแม้ตอนนี้เธอกับเฉินถิงเซียวกลายเป็นแบบนี้ แต่สือเย่ไม่ได้ขัดใจเธอ เธอก็ย่อมเกรงใจสือเย่อยู่แล้ว
สือเย่ที่อยู่ในสายเงียบไปครู่นึง “คุณชายประชุมอยู่ครับ”
“อ๋อ ถ้าเขาประชุมเสร็จ นายบอกเขาหน่อยนะว่าฉันอยากรับมู่มู่ไปอยู่กับฉันช่วงนึง รบกวนนายแล้วนะ”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเกรงใจขนาดนี้ สือเย่ก็ย่อมใช้น้ำเสียงต้องทำตามหน้าที่ “ผมรู้แล้วครับ เดี๋ยวผมจะบอกคุณชายให้ครับ”
วางสายลง มู่น่อนน่อนได้มองไปที่ฉีเฉิง “ไปวิลล่าของเฉินถิงเซียว ฉันจะไปหามู่มู่”
ฉีเฉิงมองเธอแวบนึง เหมือนมีความหมายแอบแฝง
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว “นายจ้องฉันแบบนี้ทำไม ”
ฉีเฉิงก็ไม่พูดจา ได้ขับไปที่วิลล่าของเฉินถิงเซียวโดยตรง
หลังจากมาถึงวิลล่าของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนลงจากรถ แล้วพาฉีเฉิงเดินเข้าไปข้างใน
เฉินถิงเซียวประชุมอยู่ที่บริษัท มู่น่อนน่อนมาหาเฉินมู่ที่วิลล่าของเขา รู้สึกว่าผ่อนคลายลงเยอะเลย
ตอนนี้เธอก็ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้อารมณ์ยังไงไปเผชิญหน้ากับเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นผู้ชายที่เดิมทีควรจะประชุมอยู่ที่บริษัท กำลังลงมาจากชั้นบน……