ตอนที่ 3 นายช่างกับปรมาจารย์
เมิ่งชวนอ่านชีวประวัติอย่างละเอียด บางส่วนก็เป็นชีวประวัติของบรรพชนจากตระกูลใหญ่อื่น ๆ ที่ส่งเสริมการเผยแพร่เกียรติประวัติของบรรพชน! บางคนก็มีชื่อเสียงจริงๆ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปเป็นผู้เขียนชีวประวัติของเขาขึ้นมา ทำให้เทพอสูรเหล่านั้นมีชีวประวัติของตัวเองที่แตกต่างกันถึงสิบเวอร์ชั่น บางอันก็เป็นสำนักที่เขียนชีวประวัติของเทพอสูรขึ้นมา มีแม้กระทั่งเทพอสูรบางคนที่ลงมือเขียนชีวประวัติของตัวเองออกมาอย่างอลังการณ์เกินจริง เพราะอยากให้ชนรุ่นหลังจดจำเรื่องราวของตนได้
“ชีวประวัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องราวทั่วไป แต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของข้า บางเล่มก็กล่าวเพียงไม่กี่ประโยค กระทั่งบางเล่มก็ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า”
“ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวเหล่านี้ บางเรื่องก็มีความน่าเชื่อถือสูง บางเรื่องก็มีความน่าเชื่อถือต่ำ จำต้องแบ่งประเภทไว้”
เมิ่งชวนเป็นลูกหลานตระกูลเทพอสูร หลังจากได้รับการสั่งสอนจากสำนักกระจกทะเลสาบ รากฐานจึงมั่นคงขึ้น ทักษะดาบก็ฝึกฝนจนสามารถประสบความสำเร็จมากมาย อยู่ห่างจาก ‘เขตหนึ่งเดียว’ เพียงก้าวเดียว
ด้วยพื้นฐานเช่นนี้…
เขาจึงมีความสามารถแยกแยะได้ว่าในชีวประวัติเหล่านั้นสิ่งไหนที่ประโยชน์สำหรับเขา
“ฝึกกระบี่โดยมิใช้จิตใจ ก็เป็นเพียงทาสกระบี่ ฝึกกระบี่โดยใช้จิตใจ จึงจะกลายเป็นนายกระบี่” เมิ่งชวนอ่านประโยคหนึ่งในชีวประวัติที่จักรพรรดิกระบี่เหนือได้ชี้แนะลูกหลาน
เมิ่งชวนจ้องประโยคนั้นพลางครุ่นคิด “จักรพรรดิกระบี่เหนือ ได้ชี้แนะประโยคนี้กับชนรุ่นหลังระดับไร้ตำหนิผู้หนึ่ง ในปีนั้นทักษะกระบี่ของชนรุ่นหลังคนนั้นก็ได้บรรลุขั้นหนึ่งเดียว โดยปกติแล้วการฝึกฝนก็ควรที่จะใช้จิตใจลงไปด้วย จักรพรรดิกระบี่เหนือกลับเน้นย้ำประโยคนี้…เห็นได้ชัดว่า ทักษะกระบี่ของผู้บ่มเพาะระดับไร้ตำหนิคนนั้น คงจะใช้จิตใจไม่พอสินะ”
……
เมิ่งชวนยังคงอ่านชีวประวัติของเทพอสูรอย่างต่อเนื่อง
บางครั้งบางคำไม่กี่คำที่เทพอสูรทิ้งไว้ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์บางอย่าง ก็จะทำให้เมิ่งชวนครุ่นคิดและเกิดการคาดเดาต่างๆ
สำหรับคนทั่วไปแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล่าธรรมดา
แต่ในสายตาของคนที่ตั้งใจแล้ว จะมองเห็นเหตุผลบางประการที่ทำให้เทพอสูรเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมาได้
“ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า สังหารศัตรู ใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ตราบใดที่ปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็เพียงพอแล้ว จะมัวฝึกฝนทักษะมากมายให้ยุ่งยากทำไม” ในชีวประวัติเล่มนี้ได้กล่าวไว้เช่นนั้น เมื่อสามพันปีก่อนเทพอสูรผู้แข็งแกร่งนาม ‘เว่ยเฟิงดาบอสูร’ ได้กล่าวประโยคนี้กับศิษย์น้องผู้หนึ่ง สำหรับชีวประวัติเกี่ยวกับเว่ยเฟิงดาบปีศาจผู้นี้ ในเมืองตงหนิงนั้นมีถึงสิบห้าเวอร์ชั่น
บางเล่มก็เขียนประโยคที่คล้ายๆกันว่า “ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า สังหารศัตรู ใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ตราบใดที่ปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็เพียงพอแล้ว”
เมิ่งชวนก็จดบันทึกคำพูดนี้เช่นกัน
นอกจากชีวประวัติเหล่านี้แล้ว เมิ่งชวนยังให้ความสำคัญกับคติประจำตระกูลของตระกูลเทพอสูรที่มีชื่อเสียง
คติประจำตระกูล คือคำพูดที่เทพอสูรได้ทิ้งไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง เป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นเรื่องที่เทพอสูรคิดว่ามันคือสิ่งสำคัญอย่างแน่นอน
ยิ่งจดบันทึกมากเท่าไหร่ เมิ่งชวนก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น
“ต้องเรียนรู้จากเขา จึงจะเป็นเหมือนเขา หากไม่ใฝ่เรียนรู้ ก็จะเป็นได้แค่คนโง่เขลา การเรียนรู้จากเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ จุดนี้มิผิดแน่! เรื่องราวในชีวประวัติ ล้วนเป็นเศษเล็กเศษน้อย ถ้าหากมีพื้นฐานไม่หนาแน่นพอ เกรงว่าคงเดินหลงผิดได้ง่าย” เมิ่งชวนตระหนักได้ถึงจุดนี้ เพราะเมื่อสังเกตคำขวัญของตระกูลอื่น ๆแล้ว พวกเขาล้วนให้ความสำคัญเกี่ยวกับพื้นฐานการบ่มเพาะ
ด้วยคำสั่งสอนนี้ ตระกูลต่างๆจึงได้ส่งลูกหลานเข้าสำนัก เพื่อดำเนินการฝึกฝนในระบบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เพราะสำนักทุกเมืองใหญ่ในราชวงศ์โจว…ถูกก่อตั้งโดยสำนัก ‘เขาหยวนชู’ ซึ่งเป็นสำนักเก่าแก่ที่สุดของใต้หล้า ระบบการสอนของสำนัก ก็เป็นสิ่งที่เขาหยวนชูกำหนดขึ้นมา มีแค่การฝึกฝนในสำนัก จึงจะสามารถทำให้รากฐานมั่นคง
แน่นอนว่าเป็นเพียงการชี้แนะรากฐาน ทักษะกระบี่ของเมิ่งชวนขาดเพียงก้าวเดียวก็จะไปถึงขั้นหนึ่งเดียวได้ ฝึกฝนอยู่ในสำนักมาเจ็ดปี อะไรที่ควรสอนก็ได้สอนไปหมดแล้ว ที่เหลือเขาจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง
“รากฐานของข้าเพียงพอแล้ว ตอนนี้ข้าขาดแค่เพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงไปอีกขั้นได้”
“สิ่งที่ข้าได้บันทึกในวันนี้ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ข้ามากมาย”
“แต่นี่ มิอาจรีบร้อนได้ ข้าอ่านหนังสือพวกนี้แค่รอบเดียว ยังต้องจัดระเบียบอีกรอบ หลักการในการฝึกฝนบางอย่าง หากมีเทพอสูรสามท่านกล่าวตรงกัน จึงจะถูกจัดได้ว่าคุ้มค่าที่เชื่อ”
……
วันแล้ววันเล่า
ยิ่งเมิ่งชวนรวบรวมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ความรู้เพิ่มมากเท่านั้น รวมเข้ากับ ‘กฎเหล็กการฝึกฝน’ ของสำนักกระจกทะเลสาบ ซึ่งเป็นกฎการฝึกฝนที่เขาหยวนชูกำหนดมา เมื่อสองอย่างนี้รวมกัน ก็ยิ่งทำให้เมิ่งชวนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะ”
ตกดึกคืนนั้น เมิ่งชวนมองสมุดบันทึกตรงหน้าของตนเอง แล้วเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“ห้าวันมานี้ สำคัญกว่าฝึกฝนมาตลอดห้าปีของข้า” เมิ่งชวนมองสมุดบันทึกตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ความเข้าใจของเขาในการฝึกฝนกระจ่างชัดมากขึ้น
บัญญัติการฝึกข้อที่หนึ่ง รากฐานสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับรากฐานของบ้าน การเข้าฝึกฝนในสำนักนั้น นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
บัญญัติการฝึกข้อที่สอง จำนวนครั้งสำคัญมาก ไม่ว่าจะมีความคิดมากมายในหัว ก็มิสู้ฝึกฝนสักหมื่นครั้ง! ฝึกชักกระบี่หมื่นครั้งทุกวัน ฝึก ‘เงาโลหิตสังหาร’ หมื่นรอบทุกวัน ประโยคนี้ มีเทพอสูรถึงสิบสองคนที่พูดตรงกัน
บัญญัติการฝึกข้อที่สาม ทักษะเดียว สามารถหากินทั่วใต้หล้า! คล้ายกับข้อที่สอง สังหารศัตรูควรใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ฝึกฝนกระบวนท่าเดียวจนเชี่ยวชาญ ยังมีประโยชน์กว่าการฝึกท่าไม้ตายนับสิบกระบวนท่า
บัญญัติการฝึกข้อที่สี่ การฝึกฝนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และการข่มกลั้นยืนหยัดฝึกต่อไป สุดท้ายก็ได้เป็นแค่นายช่าง! มีเพียงแค่สนุกไปกับมัน หมกหมุ่นอยู่กับมัน และตรึกตรองความลึกลับทุกกระบวนท่า จึงจะสามารถสำเร็จเป็นปรมาจารย์
เมิ่งชวนเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิเหนือได้กล่าวว่า “ฝึกกระบี่โดยมิใช้จิตใจ ก็เป็นเพียงทาสกระบี่ ฝึกกระบี่โดยใช้จิตใจ จึงจะกลายเป็นนายกระบี่” ผู้บ่มเพาะดูเหมือนจะฝึกฝนอย่างตั้งใจ แต่มิได้ใช้จิตใจในการฝึกอย่างแท้จริง ใช้จิตใจอย่างแท้จริง…สิ่งนี้คงหมายถึงการสนุกไปกับมัน หมกหมุ่นอยู่กับมัน โยนความคิดอื่นออกไปให้หมด และทุ่มเทความสนใจให้กับมัน ประหนึ่งสาวกผู้คลั่งไคล้ แล้วจักประสบความสำเร็จ และสามารถกลายเป็นปรมาจารย์ได้ มิฉะนั้น ก็จักเป็นเพียงนายช่างคนหนึ่ง
บัญญัติการฝึกข้อที่ห้า ความก้าวหน้าในแต่ละวัน จักเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในแต่ละเดือน สุดท้ายก็จะประสบความสำเร็จ…
บัญญัติการฝึกข้อที่หก…
……
บัญญัติการฝึกมีทั้งหมดเก้าข้อ
ในแต่ละข้อล้วนเป็นสิ่งที่เทพอสูรมากกว่าสามท่านขึ้นไปคิดเห็นตรงกัน และเมิ่งชวนก็คิดว่าเป็นหลักการที่น่าเชื่อถือ
“ข้าจะต้องฝึกกระบี่ทุกวันวันละหลายชั่วโมง แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าเพียงใด ก็ต้องกัดฟันฝึกต่อไป ข้าเคยคิดว่ายิ่งตั้งใจมากก็เท่ากับใช้จิตใจมาก แต่เห็นได้ชัดว่าข้ายัง ‘ใช้จิตใจ’ ไม่พอ ข้าควรที่จะสนุกไปกับการฝึกกระบี่ ควรที่จะหมกหมุ่นอยู่กับมัน และไตร่ตรองทุกกระบวนท่าจึงจะถูก ” เมิ่งชวนคิดว่าจุดนี้ คือปัญหาใหญ่สำหรับตัวเอง การฝึกฝนช่างยากเย็นยิ่งนัก
ปกติแล้วช่วงบ่ายเขาจะวาดภาพหนึ่งชั่วโมง นี่เป็นความสุขที่มีสีสันมากที่สุดในชีวิตของเขา และเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบมากที่สุดตั้งแต่เด็ก ในขณะที่วาดรูป ความเหนื่อยล้าจากการฝึกจะถูกลืมเลือน จิตใจก็จะสงบนิ่ง
ดังนั้น เขาจึงยืนหยัดที่จะทำงานอดิเรกนี้ต่อไปปีแล้วปีเล่า
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า สภาพจิตใจของเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“หากข้ายังคงทำเหมือนเมื่อก่อน แม้จะขยันฝึกฝนแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่นายช่าง” เมิ่งชวนรู้สึกทนไม่ไหว เขาวางสมุดบันทึกลง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือมุ่งหน้าไปที่ลานฝึก
เมื่อมาถึงลานฝึกเขาก็เริ่มฝึกฝน《กระบี่ใบไม้ร่วง》
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
ครั้งนี้เขาเพียงแค่ฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงกระบวนท่าที่หนึ่ง ‘ฟาดฟัน’ เมิ่งชวนโยนความคิดทั้งหมดออกจากหัว ทุ่มเทสมาธิและจิตใจทั้งหมดไปกับทักษะ ราวกับว่าในใต้หล้านี้มีเพียงกระบี่ในมือเท่านั้น! ทันทีที่กระบี่ถูกฟันออกไป ก็รู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดในยามที่กระบี่ฟันออกมา รู้สึกได้ถึง ‘สายลม’ ที่ถูกกระบี่ตัดผ่าน ทักษะกระบี่ก็ยังคงเป็นทักษะชุดเดิม แต่ทัศนะคติกลับเปลี่ยนไป ทำให้สิ่งที่ ‘มองเห็น’ ก็เปลี่ยนไปด้วย
ตอนยังเด็กที่เลือกกระบี่เร็ว ก็เพราะเมิ่งชวนชอบมันจากใจจริง เพียงแต่การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกวันก็ได้สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่เขา จนความชื่นชอบค่อยๆลดลง กระทั่งวันนี้เมื่อทัศนะคติของเขาได้เปลี่ยนไป ร่างกายและจิตใจก็กลับมารับรู้ทักษะกระบี่ได้อีกครั้ง
ความรู้สึกชื่นชอบได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง
กระบี่ฟาดออกไปอย่างเงียบงัน
วิถีกระบี่ ราวกับรอยวาดที่งดงาม ยิ่งเขาพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้วิถีกระบี่งดงามมากเท่านั้น จังหวะตัดฝ่า ‘สายลม’ ก็รวดเร็วขึ้นทุกขณะ! ทักษะกระบี่ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงนั้นแฝงไปด้วยความสวยงาม ตอนนี้ทักษะกระบี่ของเมิ่งชวนก็เข้าใกล้เป้าหมายไปอีกหนึ่งขั้น
เมิ่งชวนลองใช้ทักษะเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามฟาดกระบี่ออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ทำให้การตัดฝ่า ‘สายลม’ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เมิ่งชวนฟันกระบี่ติดต่อกันถึงห้าสิบครั้ง ในใจก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
“การฝึกที่แท้จริงควรจะเป็นเช่นนี้!” เมิ่งชวนทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ เขาเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าที่สอง ‘โคจรพระจันทร์’
……
วันที่สองที่เมิ่งชวนฝึกตามบันทึกที่ตนเองสรุปมา ณ.โถงใหญ่ใต้ดินของตระกูลอวิ๋น
“พรึ่บพรึ่บ~~~”
ตรงกลางโถงใหญ่ ปรากฎเปลวไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นมา
ท่ามกลางเปลวไฟสีม่วงนั้นมีชายชราผมดำผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้รับอันตรายใดใดจากเปลวไฟนั่น
“ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้ารึ?” อวิ๋นฟูอันเดินเข้ามาในห้องโถงอย่างนอบน้อม และมิกล้าเข้าไปใกล้บิดา แม้จะอยู่ห่างจากบิดาแต่ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่พวยพุ่งออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้นบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“ฟูอัน” ชายชราผมดำลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาฉายแววสงบ “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวหนึ่งมา หญิงชราผู้นั้นของตระกูลเมิ่งได้เข้าต่อสู้กับพวกอสูรที่ด่านอันไห่ และได้รับบาดเจ็บหนัก เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีคงจะกลับมาที่ตงหนิงในอีกไม่กี่วัน”
อวิ๋นฟูอันกล่าวอย่างตกใจว่า “ท่านพ่อ หญิงชราผู้นั้นที่ท่านเอ่ยถึงคือเมิ่งเซียนกู่เยี่ยงนั้นรึ?”
“ใช่ เป็นนาง”
ชายชราผมดำพยักหน้าเล็กน้อย
“เป็นไปได้ไหมว่าข่าวนี้อาจจะผิดพลาด?” อวิ๋นฟูอันไม่กล้าที่จะเชื่อ “ไม่ใช่ว่าเมิ่งเซียนกู่คือนักตรวจสอบที่เก่งกาจที่สุดหรือ ภายในรัศมีสิบลี้นั้นมิมีสิ่งใดที่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของนางได้ นางไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปสู้อยู่แนวหน้า ทำไมจู่ๆถึงได้รับบาดเจ็บหนักได้เล่า?”
“ข่าวนี้ไม่ผิดพลาด” ชายชราผมดำกล่าวอย่างสงบ “ราชาอันไห่ได้เชิญหมอฝีมือดีเป็นจำนวนมากมารักษานาง แต่อาการบาดเจ็บของหญิงชรานั้นร้ายแรงเกินไป มันสายเกินไปแล้วที่ช่วยนางทัน ข่าวนี้เผยแพร่ไปทั่วด่านอันไห่ นี่ไม่ใช่ความลับ! ถ้านางหยุดต่อสู้ และรักษาตัวอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถยืดอายุขัยได้เจ็ดแปดปี แต่ถ้ายังต่อสู้ต่อ เกรงว่าอายุขัยของนางจะยิ่งสั้นลง”
“ยืดอายุขัยมากที่สุดแค่เจ็ดแปดปี?” อวิ๋นฟูอันอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “หากไม่มีเมิ่งเซียนกู่ ตระกูลเมิ่งมิใช่ว่าจบสิ้นแล้วรึ?”
“ห้าตระกูลเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองตงหนิง ไม่ช้าก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสี่ตระกูลเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่” ชายชราผมดำพยักหน้าพลางกล่าวออกมา
ตระกูลหนึ่ง จะรุ่งโรจน์ได้นั้นก็ต้องมีเทพอสูร
ในทำนองเดียวกัน หากไม่มีเทพอสูร ตระกูลนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นตระกูลธรรมดา
“ตระกูลเมิ่งสูญเสียคุณสมบัติที่จะครอบครองตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ และผลประโยชน์ของเมืองตงหนิง ” ชายชราผมดำกล่าวอย่างเยือกเย็น “จริงสิ ในปีนั้นมีสัญญาหมั้นระหว่างชิงผิงและเด็กเมิ่งชวนตระกูลเมิ่งใช่หรือไม่ เจ้าไปที่ตระกูลเมิ่งสักครั้ง ขอให้พวกเขาคืนสัญญาหมั้นมา และฉีกสัญญานั่นทิ้งซะ! ตระกูลเมิ่งในตอนนี้…ไม่คู่ควรที่พวกเราจะเกี่ยวดองด้วย”
“ขอรับ” อวิ๋นฟูอันรับคำอย่างนอบน้อม
“แต่ก่อนที่หญิงชรานั่นจะตาย เราก็ไม่ควรกระทำเรื่องที่น่าเกลียด” ชายชราผมดำกล่าวจบก็หลับตาลง
อวิ๋นฟูอันจึงกล่าวลาและจากไปอย่างเงียบๆ
……
“อะไรนะ? ยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย?” อวิ๋นชิงผิงมองบิดาของตนอย่างตื่นตระหนก
ไม่ใช่ว่าบิดาไม่เห็นด้วยหรอกเหรอ? แล้วทำไมจู่ๆถึงได้กลับคำขึ้นมาล่ะ?
“พ่อเพียงแค่มาบอกเจ้าเท่านั้น” อวิ๋นฟูอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าจะไปที่ตระกูลเมิ่ง และช่วยเจ้ายกเลิกสัญญาหมั้น”
“ตระกูลเมิ่งจะยอมมอบสัญญาหมั้นเหรอท่านพ่อ?” อวิ๋นชิงผิงอดถามออกมามิได้
“พวกเขาจะต้องมอบมันออกมา” อวิ๋นฟูอันกล่าวอย่างเชื่อมั่น หากบิดาของเขาทราบข่าวแล้ว ตระกูลเมิ่งก็น่าจะทราบข่าวบรรพชนของตนแล้วเช่นกัน พวกตระกูลใหญ่ล้วนเข้าใจกันดี ต่อต้านไปก็เหมือนจะเป็นการดูถูกตัวเอง
อวิ๋นชิงผิงกล่าวต่อไปว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากจะยกเลิกงานหมั้นก็จริง แต่ไม่อยากจะฉีกหน้าพวกเขา นี่จะเป็นการทำให้สองตระกูลมองหน้ากันไม่ติด ถ้าไม่อย่างนั้น เราเชิญลุงเมิ่งมาพูดคุยเรื่องนี้เงียบๆ…”
“ไม่จำเป็นต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนั้น” อวิ๋นฟูอันหัวเราะออกมา “เอาล่ะๆ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ส่วนเจ้านะรอฟังข่าวดีอยู่ที่เรือนะจะดีกว่า”