ตอนที่ 17 สิ้นสุดงานเลี้ยงตัดอสูร
“วังหยกสุริยันนี้ปฏิบัติต่อเหมยหยวนจึ่อเป็นอย่างดี พวกเขายังหาหัวหน้าอสูรที่สร้างแก่นอสูรมาให้เขาต่อสู้ด้วยเป็นการเฉพาะ” หวินฟู่เฉิงหัวเราะเบาๆ “พวกเขาหวังว่าเหมยหยวนจื่อคนนี้จะใช้การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่มโอกาสของตนเองที่จะเข้าสู่เขาหยวนชูในอนาคต”
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าเหมยหยวนจื่อจะสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้หรือไม่” หวินฟู่อันถาม “ถ้าหากว่าเขาสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูกลายเป็นเทพอสูรได้ ข้าเกรงว่าเขาจะบดบังพวกเราตระกูลหวิน”
จากทั้งเมืองตงหนิงนั้น มีเพียงผู้นำตระกูลของตระกูลจางเท่านั้นที่เป็นเทพอสูรจากเขาหยวนชู
จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอีกคน
“เข้าสู่เขาหยวนชูรึ เจ้าคิดว่ามันง่ายนักรึที่จะเข้าเขาหยวนชู” หวินฟู่เฉิงถามเบาๆ “ราชวงค์ต้าโจวมียี่สิบสามรัฐ แต่มีเพียงยี่สิบตำแหน่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ทายาทของเทพอสูรจากเมืองหลวงและสถานที่อื่นๆก็ต้องการที่จะเข้าไปเช่นเดียวกัน อัจฉริยะที่เกิดจากตระกูลสามัญจะเข้าเขาหยวนชูนั้น…จะยากยิ่งกว่าทายาทของเหล่าเทพอสูรที่ทรงอำนาจพวกนั้น”
“แล้วเมิ่งชวนล่ะ” หวินฟู่อันอดถามไม่ได้ “เมิ่งเซียนกูต้องช่วยเมิ่งชวนอย่างถึงที่สุดอย่างแน่นอน”
“เมิ่งเซียนกูคือใครกัน” หวินฟู่เฉิงส่ายหน้าช้าๆ เขาใช้พลังของตนเองปกป้องพื้นที่ไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไป “เธอมิได้เข้าไปในเขาหยวนชู แม้กระทั่งท่านพ่อเองเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการเข้าสู่เขาหยวนชู”
หวินฟู่อันพยักหน้า
การสามารถเข้าสู่เขาหยวนชูได้กลายเป็นเส้นแบ่งความแข็งแกร่งของเทพอสูร
ตราบใดก็ตามที่พวกเขาแข็งแกร่งพอ เขาหยวนชูก็จะรับพวกเขาเข้าไป
สำหรับเหมยหยวนจื่อนั้น เขาตระหนักถึงวิชา “พลังน้ำแข็ง” สายเกินไป มีโอกาสเพียงสองหรือสามส่วนเท่านั้น หวินฟู่เฉิงกล่าว “และข้าก็เข้าใจถึงสภาพจิตใจของเขา เขานั้นค่อนข้างหยิ่ง ต่อให้เขาได้เป็นเทพอสูรของเขาหยวนชูเองก็ตาม เขาก็ไม่ยินดีที่จะอยู่ที่ตงหนิง”
ในโลกนี้ นอกจากผู้ที่ผูกมัดอยู่กับตระกูลใหญ่แล้ว อัจฉริยะจากตระกูลทั่วไปที่ไม่มีความผูกพันนั้นมักจะไปตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งย้ายครอบครัวของตัวเองนั้นไปอยู่ในพื้นที่เขาหยวนชู
……
หลายฝ่ายต่างพากันพูดถึงเหมยหยวนจื่อ
หลายคนรู้สึกว่าเหมยหยวนจื่อนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าสู่เขาหยวนชู แต่พวกเขาก็รู้ว่าอย่างน้อยเหมยหยวนจื่อนั้นก็ยังมีโอกาสอยู่ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าประทับใจแล้ว
“ระวังตัวให้ดี” เจ้าวังหยกสุริยันเตือน
“ขอรับ” เหมยหยวนจื่อที่ผอมบางยืนขึ้นและเดินไปยังเวทีประลอง
ที่เวทีประลองฝั่งตรงกันข้ามเขาเป็นร่างของสัตว์ประหลาดมีเปลือกหุ้มสีดำที่มีหน้าตาเป็นผู้หญิงที่มีแขนหกข้างมีเปลือกหุ้มสีดำล้อมรอบ มันยังมีหางแหลมสีดำที่เด่นชัดเป็นพิเศษ มันมองมาที่เหมยหยวนจื่อด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงของมันอ่อนโยน “เด็กน้อย ข้ารับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เติบโตอยู่ในตัวของเจ้า”
เหมยหยวนจื่อดึงกระบี่ออกจากฝัก ความหนาวสะท้านก็กลั่นตัวขึ้น ในเวลานี้เหมยหยวนจื่อนั้นก็เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งล้านปีที่ก่อตัวขึ้น อากาศก็เริ่มเยือกเย็นลง และพื้นเวทีประลองก็เริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
“พลังน้ำแข็งงั้นรึ” อสุรีตะขาบยิ้ม “แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งตระหนักรู้ได้ไม่นานนัก”
“ฆ่า”
ดวงตาของเหมยหยวนจื่อนั้นเปล่งประกายเย็นเยียบ
ร่างของเขาพลันแยกออกเป็นเจ็ดร่าง ร่างทั้งเจ็ดนั้นปรากฏตัวขึ้นในตำแหน่งที่แตกต่างกันไป ต่างพากันฟาดฟันกระบี่เข้าใส่อสุรีตะขาบนั้น
รังสีกระบี่เจ็ดเล่มพุ่งเข้าใส่อสุรีตะขาบที่อยู่ตรงกลางทันที
“พลังน้อยนิดแค่นี้ เจ้ายังแบ่งออกมาโจมตีอยู่รึ” อสุรีตะขาบที่ยืนอยู่ไม่ได้ขยับ แต่แขนทั้งหกของมันยื่นออกไปยังแต่ละทิศทางเพื่อรับมือ ตูม ตูมๆๆๆ ฝ่ามือของอสุรีตะขาบนั้นเป็นสีขาว แต่แข็งแกร่งมาก มันสามารถทำลายรังสีกระบี่ทุกสายที่เข้าปะทะได้
“วูบ”
ทันใดนั้นเหมยหยวนจื่อก็มาปรากฏตัวใกล้ๆกับอสุรีตะขาบ กระบี่ในมือพุ่งไปยังหัวของอสุรีตะขาบ มันเป็นวิชากระบี่ที่แปลกประหลาด แต่ก็เร็วกว่าและน่ากลัวกว่ากระบี่ก่อนหน้านี้ทั้งเจ็ดเล่ม
“หือ” อสุรีตะขาบนั้นประหลาดใจ สองมือของมันรวบคว้าจับตัวกระบี่
ม้นจ้องมองไปยังเหมยหยวนจื่อพร้อมกับแสยะยิ้ม “รังสีกระบี่ทั้งเจ็ดนั้นตั้งใจให้ข้าสับสน ส่วนนี่จึงเป็นท่าสังหารอย่างงั้นสินะ”
“ระเบิด” ดวงตาของเหมยหยวนจื่อเปล่งแสงประกาย
กระบี่ที่อยู่ในมือของอสุรีตะขาบพลันระเบิดออกมา ชิ้นส่วนของกระบี่แหลมคมนั้นก็พุ่งออกไป ชิ้นส่วนเหล่านั้นห่อหุ้มไปด้วยปราณ ด้วยระยะทางที่ใกล้กันเกินไปเศษอาวุธเหล่านั้นจึงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของอสุรีตะขาบจนมันต้องกรีดร้องโหยหวน
เหมยหยวนจื่อสร้างน้ำแข็งบนฝ่ามือสองข้าง แล้วแยกย้ายกันกระแทกเข้าตรงหน้าอกของอสุรีตะขาบ
“ตูม” อสุรีตะขาบถูกกระแทกปลิวออกไป
“นี่จึงเป็นท่าไม้ตายอย่างแท้จริง” เหมยหยวนจื่อมีสายตาเย็นชา เขารู้ดีว่าตนเองนั้นด้อยกว่าอสุรีตะขาบที่สามารถสร้างแก่นอสูรได้แล้ว ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือให้คนอื่นเข้าใจว่าเขานั้นเก่งในเรื่องกระบี่ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เขาหยั่งรู้ในเรื่องของพลังน้ำแข็ง การจะใช้กระบี่หรือหมัดฝ่ามือในการใช้พลังน้ำแข็งนั้นไม่มีความแตกต่าง กระบี่นั้นไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขา มีไว้เพียงเพือที่จะทำให้คนไขว้เขวเท่านั้น
อสุรีตะขาบนั้นที่หน้ามีบาดแผลเต็มไปด้วยเลือด ที่อกของมันยุบลงไป มันส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนกราดเกรี้ยวขณะที่ปลิวถอยไปข้างหลัง “ร้ายกาจนัก เผ่ามนุษย์จงตายเสียเถอะ”
พลังปราณของอสุรีตะขาบที่โกรธแค้นนั้นพุ่งสูงขึ้นในทันที และแก่นอสูรของมันก็ระเบิดออกเมื่อพลังพุ่งขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
“ตาย”
อสุรีตะขาบฟาดหกฝ่ามือของมันออกไปในคราวเดียวกัน แต่ทิศทางของฝ่ามือนั้นกลับแปลกประหลาดเมื่อมันฟาดออกไปยังสองสำนักเต๋าที่อยู่ใกล้ที่สุด สำนักเต๋าลี่หยาง และสำนักเต๋าเฟิงหยาง
ชุ ชุ ชุ ชุ
ชั่วขณะจิตนั้นฝ่ามือทั้งหกข้างก็ปลดปล่อยแสงสีดำหลายร้อยจุด มุ่งไปยังตำแหน่งที่สำนักเต๋าทั้งสองนั่งอยู่ หางของอสูรตะขาบนั้นก็ยกสูงขึ้นพร้อมกับเหล็กไนที่แหลมคมก็แทงเข้าไปยังเหมยหยวนจื่อที่ยังคงตกตะลึง
“แย่แล้ว”
“ระวัง”
เกิดความตกใจและสับสนอลหม่านในทุกทิศทาง
เจ้าสำนักทั้งสองคนของสำนักเต๋าลี่หยางกับสำนักเต๋าเฟิงหยางต่างตระหนกและโกรธเคืองขึ้นมาในทันที ศิษย์ทั้งสิบสองคนนั้นก็ยิ่งหวาดกลัว
“ข้าหยุดมันไว้ไม่ได้” เจ้าสำนักเต๋าทั้งสองเผชิญกับแสงสีดำนับร้อย ถือว่าเป็นโชคดีหากว่าพวกเขาสามารถปกป้องศิษย์ไว้ได้สักหนึ่งหรือสองคนขณะที่กำลังปกป้องตัวเองอยู่นั้น แต่ไม่มีทางที่เขาจะปกป้องศิษย์ทุกคนได้
“ชีเยว่” เมิ่งชวนก็ตื่นตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขากำลังเฝ้าดูการต่อสู้ แต่ก็เกิดวิกฤตขึ้นมาอย่างกระทันหัน อสุรีตะขาบได้โจมตีศิษย์สำนักเต๋าที่กำลังดูการต่อสู้อยู่อย่างงั้นเหรอ
“หยุด” เจ้าวังหยกสุริยันที่นั่งอยู่ตรงนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและสั่งออกมาเบาๆ
ความว่างเปล่ารอบตัวพวกเขานั้นพลันสั่นสะท้าน
แสงสีดำหลายร้อยจุดที่รวดเร็วกว่าลูกศรนั้นพลันแตกสลายไปจนหมดสิ้น
อสุรีตะขาบสูญเสียการควบคุม มันถูกลากลอยขึ้นไปบนอากาศและไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิ้วเดียว มันจ้องมองไปยังเจ้าวังหยกสุริย้นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่ควรจะสามารถหยุดข้าได้เมื่อข้าได้ทำลายแก่นอสูรจากระยะไกลเช่นนั้น…”
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
เจ้าวังหยกสุริยันลุกขึ้นและเดินเพียงสองก้าวเขาก็ไปถึงยังเวทีประลอง เขามองไปยังอสุรีตะขาบที่ถูกตรึงไว้อย่างสมบูรณ์ไม่มีทางต่อต้านได้ เขากล่าวว่า “ข้ามิคิดว่าเจ้าจะมีความกล้าที่จะทำลายแก่นอสูรและพยายามฆ่าผู้คนของเรา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” อสุรีตะขาบหัวเราะแหบโหย “เจ้าไม่ใช่ว่าต้องการใช้ข้าเพื่อฝึกฝนคนรุ่นเยาว์ของเจ้าอย่างงั้นรึ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการไปทำไมกัน และไม่เพียงแค่นั้น ข้าก็ยังต้องการฆ่าคนรุ่นเยาว์ของเจ้าด้วย ยิ่งข้าฆ่าได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น น่าเสียดายที่สุดท้ายมันล้มเหลวไม่มีใครที่ถูกฆ่าเลย แค่ก แค่ก-”
เลือดสีเขียวไหลออกมาที่มุมปาก
แก่นอสูรถูกทำลาย มันไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยูได้นาน
“อีกไม่นาน โลกทั้งหมดก็จะตกเป็นของอสูร และตอนนั้นพวกเจ้าทุกคนก็จะต้องตายกันหมด พวกเจ้า—” อสุรีตะขาบตะโกนออกมา
“ฉั่วะ”
ทั้งตัวของอสุรีตะขาบถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น ชั่วพริบตาก็กลายเป็นแอ่งน้ำสีเขียวคล้ำ
“ไร้สาระ” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มหยันแล้วหันไปหาเหมยหยวนจื่อ เหมยหยวนจื่อเองยังคงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่ามันจะฉวยโอกาสจากท่าไม้ตายของเขา มันจงใจยอมรับการโจมตีของเขาและกระเด็นถอยไปด้านหลังเพื่อที่จะเข้าไปใกล้กับเหล่าศิษย์ของสำนักเต๋าเพื่อถือโอกาสที่จะฆ่าศิษย์สำนักเต๋าเหล่านั้น ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบอสุรีตะขาบไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับเขาเลย
“มันเป็นเพียงแค่หัวหน้าอสูรที่สร้างแก่นอสูรได้ แต่ในเมื่อหัวหน้าอสูรตัวนี้ไม่เชื่อฟัง… เอาล่ะ เจ้าลงไปได้แล้ว” เจ้าวังหยกสุริยันสั่ง
“ขอรับ” เหมยหยวนจื่อพยักหน้ารับ
เจ้าวังหยกสุริยันยืนอยู่คนเดียวบนเวทีประลองและมองไปรอบๆ
ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่ในใจ การทำลายแก่นอสูรเพื่อต่อสู้แลกชีวิตของอสุรีตะขาบนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ
“เมื่อข้ากล้าที่จะจัดหัวหน้าอสูรที่สามารถสร้างแก่นอสูรมาใช้ในเวทีประลอง แน่นอนว่าข้าจะต้องรับรองว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ” เจ้าวังหยกสุริยันกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “งานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้จบลงแล้ว”
จากนั้นเจ้าวังหยกสุริยันก็หันหลังจากไป เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หายไปจากสายตาของทุกผู้คน
“ทุกท่าน”
ตอนนี้ข้าหลวงก็ได้ยืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกท่านคงจะตกใจ แต่เมื่อมีเจ้าวังอยู่ที่นี่แล้ว หัวหน้าอสูรที่สามารถสร้างแก่นอสูรขึ้นมาได้นั้นเป็นได้แค่ตัวตลก ในงานเลี้ยงตัดอสูรในวันนี้ ศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดคงจะเห็นถึงพลังของอสูรเหล่านี้แล้ว อสูรเหล่านี้ต้องทนทรมานอยู่ในคุกทั้งยังล่ามโซ่ไม่สามารถที่จะแสดงความสามารถได้ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าไปถึงสนามรบ ศัตรูของพวกเจ้าจะยิ่งแกร่งกว่านี้ต่อให้พวกเจ้าร่วมมือกันพวกพ้องก็ตาม ดังนั้นศิษย์ของสำนักเต๋าทุกคนจะต้องฝึกฝนฝีมืออย่างขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น ในอนาคตพวกเจ้าจึงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองและฆ่าอสูรได้มากขึ้น”
……
งานเลี้ยงตัดอสูรจบลงแล้ว
สิ่งที่อสุรีตะขาบทำนั้นทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักเต๋าตื่นตกใจ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งที่เหนือจินตนาการของเจ้าวังหยกสุริยันนั้นทำให้พวกเขาไฝ่ฝัน ต่อหน้าเจ้าวังหยกสุริยัน อสุรีตะขาบนั้นอ่อนแอเหมือนกับมดตัวหนึ่ง
“มันน่ามหัศจรรย์ เจ้าเห็นไหม แสงสีดำนับร้อยนั้นแตกสลายไปจนหมดสิ้น และอสูรตะขาบนั่นก็หยุดนิ่งไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย” หลิวชีเยว่ยังคงตื่นเต้นเป็นอย่างมากขณะที่เดินทางกลับบ้าน “ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้ายังมิเห็นท่านเจ้าวังหยกสุริยันขยับเลยแม้แต่น้อย พล้ังเพียงเล็กน้อยของท่านก็น่าหวาดหวั่นยิ่งแล้ว”
“ชีเยว่ เจ้าเกือบถูกอสูรตะขาบนั่นฆ่า แต่เจ้ากลับตื่นเต้นมาก” เมิ่งชวนกล่าวอย่างจนใจ
“เจ้าไม่คิดว่าท่านเจ้าวังนั้นแข็งแกร่งรึ” หลิวชีเยว่ถาม
“เขาเป็นเทพอสูรจากเขาหยวนชู จะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรกัน” ความปรารถนาฉายชัดอยู่ในดวงตาของเมิ่งชวน เขาไฝ่ฝันที่จะได้เป็นเทพอสูรมาโดยตลอด