ตอนที่ 16 เหยียนจินกับเหมยหยวนจือ
ภายใต้ความสนใจของห้าตระกูลและแปดสำนักเต๋าแห่งเมืองตงหนิง เด็กหนุ่มในชุดขาวก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างใจเย็นโดยมีกระบี่ซ่อนอยู่ด้านหลัง มือของเขาไพล่ไปทางด้านหลังพร้อมกระบี่สองเล่มที่ยังอยู่ในฝัก
เขาถือกระบี่ไว้ในแต่ละมือ ปล่อยให้ปลายของมันชี้ไปยังพื้นขณะที่เขาจ้องมองไปยังอสูรพยัคฆ์อย่างเย็นชา
“เด็กหนุ่มอีกคนงั้นรึ” อสูรพยัคฆ์ใบหน้าบิดเบี้ยว มีรอยแผลอยู่บนใบหน้าของมัน ทั้งยังมีรอยแผลอีกนับสิบทั่วตัว และแผลที่ท้องน้อยของมันนั้นถือว่าใหญ่เป็นพิเศษ
“ฆ่า” มันไม่ต้องการที่จะชักช้าอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงพุ่งตัวเข้าไปหา
เด็กหนุ่มชุดขาวก็พุ่งเข้าไปปะทะซึ่งหน้าเช่นเดียวกันพร้อมกับกระบี่ในมือทั้งสองข้าง
ตูม ตูม ตูม
อสูรพยัคฆ์และเด็กหนุ่มชุดขาว เหยียนจิน ปะทะเข้าไปอย่างตรงๆ แม้ว่าอสูรพยัคฆ์จะดูเหมือนมีพลังยิ่งกว่าด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วที่มากมายมหาศาล ความได้เปรียบของมันนั้นกลับถูกจำกัด กระบี่สองเล่มของเด็กหนุ่มซุดขาว หนึ่งหยินหนึ่งหยาง เมื่อกระบี่เล่มหนึ่งถูกสะกด พลังก็จะถูกสะสมไปยังกระบี่อีกเล่ม ยิ่งมีแรงกดดันมากเท่าไหร่แรงสะท้อนกลับก็จะมีมากเท่านั้น
พวกเขาเดินหน้าชนกันอย่างสมบูรณ์
วิชากระบี่ของเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นเห็นได้ชัดว่าบรรลุถึงขั้นหนึ่งเดียวแล้ว วิชาของเขานั้นกลมกลืน กระบี่ของเขานั้นเพิ่มบาดแผลให้กับอสูรพยัคฆ์เป็นบางครั้งคราว
“เพลงกระบี่ของเจ้าหนุ่มชุดขาวนี่ก็บรรลุขั้นหนึ่งเดียวแล้วเช่นเดียวกัน เขาไม่มีทางที่จะด้อยกว่าเมิ่งชวนแน่”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขาดูเหมือนว่าจะเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาล อย่างไรก็ตามเขาก็มิอาจที่จะเทียบกับอสูรพยัคฆ์ได้”
“ดูแล้วยังเยาว์วัยและแบบบาง แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างงั้นรึ”
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ แม้เมิ่งชวนก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
เพราะว่ามีประชากรจำนวนมาก จึงมีคนพิเศษที่เกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งมหาศาลหรือความเร็วที่สุดยอดปรากฏตัวขึ้นเป็นบางครั้ง ตัวอย่างเช่นเพื่อนศิษย์ของเขา “ว่านหม่าง” ที่เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาล พลังของเขาที่ระดับชำระแก่นแท้นั้นเทียบเท่ากับคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดได้ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลนั้นจะมีกล้ามเนื้อมาก หาได้ยากที่จะเห็นใครสักคนแบบเด็กหนุ่มลึกลับ เหยียนจิน ที่จะเกิดมาพร้อมกับพลังมหาศาลในขณะที่มีร่างกายแบบนั้น
เมื่อบรรลุในขั้นหนึ่งเดียวแล้ว ร่างกาย จิตใจ และวิชาของเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง ความแข็งแกร่งของเขาที่ปลดปล่อยออกมานั้นเทียบเท่ากับ 80% ของอสูรพยัคฆ์ ความเร็วของเขานั้นก็อยู่ที่ระดับ 70-80% ของอสูรพยัคฆ์เช่นเดียวกัน รวมเข้ากับวิชากระบี่คู่ของเขา เขาจึงไม่มีทางที่จะด้อยกว่ามันแม้แต่น้อย การเข้าปะทะโดยตรงนั้นยิ่งทำให้บาดแผลของอสูรพยัคฆ์เลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิม
โฮก
อสูรพยัคฆ์คำรามอีกครั้งพร้อมกับขนสีเหลืองดำของมันก็เปล่งแสงขึ้น ความแข็งแกร่งของกรงเล็บของมันก็เพิ่มขึ้นยามเมื่อมันปลดปล่อยสายเลือดราชันอสูรเช่นเดียวกัน
บูม
เกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มชุดขาวใช้กระบี่ทั้งสองมือของเขาป้องกันขณะที่เขาถูกกระแทกกระดอนกลับหลังหลายก้าวจากการปะทะ เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก เขากล้ำกลืนฝืนทรงตัวและจ้องมองไปยังอสูรพยัคฆ์อย่างเย็นชา
เขากล้าที่จะป้องกันมันตรงๆเลยงั้นรึ เมิ่งชวนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ใช่แล้ว สายเลือดราชันอสูรของอสูรพยัคฆ์สามารถที่จะบดขยี้เขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับไม่มีประโยชน์เมื่อเจอกับเหยียนจิน นอกจากนี้เพลงกระบี่ของเขาก็เห็นได้ชัดว่ายอดเยี่ยมในการสะท้อนพลังกลับ
“หือ” อสูรพยัคฆ์ไม่อยากเชื่อสายตา มันรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะโจมตีให้ได้ต่อเนื่อง
ฉูดดดด…
แผลขนาดใหญ่ที่ช่องท้องของมันไม่อาจจะต้านทานการใช้พลังเต็มที่ของมันได้ รอยแผลเปิดออกมาอีกครั้ง และเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ และแม้กระทั่งรอยแผลอื่นๆบนร่างกายของมันก็เริ่มจะมีเลือดไหล
เมื่อเห็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวก็พุ่งตัวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล โจมตีต่อเนื่องด้วยกระบี่ทั้งสองมือ
“เชี่ย เชี่ย ถ้าไม่ใช่เป้นเพราะว่าเจ้าเด็กคนก่อนหน้านี้สร้างบาดแผลมากมายพวกนี้ให้กันข้า…” อสูรพยัคฆ์นั้นโกรธเกรี้ยว บาดแผลอื่นๆนั้นเป็นแผลตื้นๆ แต่บาดแผลที่ท้องน้อยนั้นกว้างและลึกเกินไป เลือดที่ไหลออกมามากมายนั้นทำให้มันไม่สามารถที่จะสะกดบาดแผลไว้ได้อีกต่อไป
ถ้ามันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มันยินดียิ่งที่จะต่อสู้กับเด็กชุดขาวนี้
แม้ว่าเด็กชุดขาวนี้จะแข็งแกร่งและดุร้ายในการต่อสู้ประชิดตัว แต่มันไม่ได้กลัวความดุร้ายนั้น
กลับกันเป็นเด็กที่ใช้กระบี่นั้น เขาใช้วิธีการต่อสู้แบบสู้แล้วถอยหนี เขาลื่นไหลมาก กระบี่ของเขานั้นก็พลิกแพลงไม่สามารถคาดเดาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มันได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้
ควับ ควับ ควับ
อาการบาดเจ็บมากหลายทำให้มันไม่สามารถที่จะใชัพลังจากสายเลือดราชันอสูรได้อีกต่อไป อสูรพยัคฆ์ได้แต่พยายามต่อต้านอย่างแสนยากลำบาก แต่ความเร็วและความแข็งแกร่งของมันเห็นได้ชัดว่าลดน้อยถอยลงไป มันถูกเด็กหนุ่มชุดขาวกดไว้อย่างสมบูรณ์ และบาดแผลของมันก็ปรากฏขึ้นบนตัวของมันมากขึ้นเรื่อยๆ
“ชะตาของข้าถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่ข้าถูกจับโดยเทพอสูรของเผ่ามนุษย์” อสูรพยัคฆ์รู้ว่าชีวิตของมันนั้นมาถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มชุดขาวแทงมันด้วยท่าไม้ตาย มันจึงไม่ขัดขืน
ฉึก
กระบี่แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของอสูรพยัคฆ์ทะลุหัว
อสูรพยัคฆ์ดับดิ้น
มันไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ถึงสิบรอบในคราวเดียว แต่ตายเพียงแค่รอบที่สอง มันถึงกับตายในเงื้อมมือของเด็กหนุ่มระดับชำระแก่นแท้
“เขาฆ่ามันได้จริงๆ…” ในเวลานั้นก็มีแต่ความเงียบไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มชุดขาวดึงกระบี่ออกแล้วเดินลงจากเวที
“วังหยกสุริยัน เหยียนจิน เจ้าจะไม่สู้ต่อรึ” ข้าหลวงจากราชวังถาม พูดตามหลักแล้วตราบเท่าที่พวกเขาได้รับชัยชนะและอยู่บนเวที วังหยกสุริยันก็จะส่งอสูรที่แกร่งกว่าขึ้นมาให้
เด็กหนุ่มชุดขาวไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวขณะที่เขาเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
ข้าหลวงทำอะไรไม่ถูก
ในเมื่อเขาได้ออกไปจากเวทีประลองแล้ว ปกติแล้วนั่นหมายความว่าเขาได้ยอมละทิ้ง ดังนั้นข้าหลวงจึงรอให้ทหารของวังหยกสุริยันนำเอาศพของอสูรพยัคฆ์ออกไปแล้วจึงส่งอสูรตัวใหม่ขึ้นมา
“โอ”
เมิ่งชวนสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นมายังบริเวณที่นั่งของสำนักเต๋าจิงหู หยุดและหันมาทางเมิ่งชวนและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ามิได้ทำร้ายมันบาดเจ็บ ความเร็วของมันก็จะเร็วกว่านี้อีก 30% มันจะสามารถปลดปล่อยพลังของสายเลือดราชันอสูรได้เป็นระยะเวลานาน ข้าคงมิมีทางเลือกนอกจากจะหนี” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็เดินต่อไปยังที่นั่งของตนเอง
เสียงของเขานั้นค่อนข้างจะเย็นชา ขณะที่เขาพูดนั้น เจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหกของสำนักเต๋าจิงหูนั่งนิ่งเฉย
เหยียนจินกลับไปยังข้างกายเจ้าวังหยกสุริยันแล้วนั่งลง
“คนที่ชื่อเหยียนจินนี่พูดเพียงแค่ครั้งเดียวจากเวลาที่ผ่านมานี้และก็กับศิษย์พี่เมิ่งโดยตรงด้วย” ว่านหม่างกล่าวอย่างประหลาดใจ
“จริงด้วย จากเวทีประลองไปจนถึงเก้าอี้ของเขา เขาพูดเพียงแค่ประโยคเดียว เขาช่างเย็นชาจริงๆ” ป๋ายกวนพยักหน้า
เมิ่งชวนมองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาสามารถรับรู้ถึงความภาคภูมิใจที่ฝังลึกลงไปในกระดูกของเด็กหนุ่มชุดขาวได้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะเย็นชาจนกระทั่งไม่สามารถที่จะเข้ากับคนอื่นได้ ไม่แม้จะตอบสนองกับคำถามของข้าหลวง แต่กลับมาพูดถ้อยคำแบบนั้นกับเมิ่งชวน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องการที่จะถือโอกาสจากสถานการณ์
“เหยียนจินคนนี้ดูเด็กมาก ดูเหมือนว่าจะเด็กกว่าเมิ่งชวนเสียอีก” ผู้นำตระกูลเมิ่ง เมิ่งเหยียนผิงกล่าวด้วยเสียงเบา
“เขาดูอายุไม่มากเท่าไหร่” เมิ่งต้าเจียงพูด “พรสวรรค์ของเขานั้นสูง แต่ว่าเขายังคงอยู่ในระดับชำระแก่นแท้ เขาอาจจะมีอายุได้แค่สิบห้าปีเป็นอย่างมาก”
ด้วยพรสวรรค์ระดับสูง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง เขาก็ยังสามารถได้รับการเลี้ยงดูจากสำนักเต๋า พลังการฝึกปรือของเขานั้นย่อมไม่ช้าลงไปแต่อย่างใด
“เริ่มแล้ว” ผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิงพูด อสูรตัวใหม่ถูกนำขึ้นเวทีประลอง
“นี่ก็เป็นหัวหน้าอสูรเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงแค่อสูรวัว ดูเหมือนว่าทางวังหยกสุริยันจะเตรียมอสูรพยัคฆ์ให้ชวนเอ๋อร์เป็นพิเศษ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม อสูรพยัคฆ์นั้นหายากกว่าและเก่งรอบด้าน ราวกับว่าไม่มีจุดอ่อน ถ้าไม่ใช่เพราะอดอาหารมาเป็นเวลานานที่ทำให้พละกำลังของมันลดลง ทั้งเมิ่งชวนกับเหยียนจินก็คงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับอสูรพยัคฆ์ที่เป็นถึงหัวหน้าอสูร
…
ศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดขึ้นไปบนเวทีประลองทีละคนต่อเนื่องกันไป
ศิษย์ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดนั้นปกติแล้วจะมีอายุมากกว่า ศิษย์คนที่มีอายุน้อยที่สุดมีอายุ 16 ปี และคนที่มีอายุมากที่สุดมีอายุ 20 ปี พวกเขาจะไม่สามารถอยู่ที่สำนักเต๋าได้อีกต่อไปถ้าพวกเขามีอายุมากกว่านี้ พวกเขาจะต้องไปรับราชการทหาร
ตามกฎของสำนักเต๋า ผู้ที่อยู่ในระดับชำระแก่นแท้จะสามารถฝึกฝนได้จนถึงอายุ 18 ปี และ 20 ปีสำหรับระดับก่อกำเนิด ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับไร้ตำหนินั้น ทันทีที่คนผู้นั้นบรรลุถึงระดับไร้ตำหนิ พวกเขาก็จะต้องจากสำนักเต๋าไปเพราะว่าสำนักไม่มีอะไรที่จะสอนพวกเขาได้อีกแล้ว
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ชั่วพริบตาก็เป็นเวลาเที่ยง
ศิษย์ในระดับก่อกำเนิดก็ได้เสร็จสิ้นการต่อสู้ของพวกเขาแล้วเช่นเดียวกัน
ศิษย์ 24 คนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดโดยปกติแล้วจะยิ่งแข็งแกร่งกว่ามาก สามคนในหมู่พวกเขานั้นได้เรียนรู้วิชาลับ และทั้งสามคนนี้ก็ได้สร้างรากฐานของระดับก่อกำเนิดแล้ว พวกเขายิ่งทรงพลังยิ่งกว่าเมิ่งชวนกับเหยียนจินเสียอีก ดังนั้นการต่อสู้จึงยิ่งตื่นเต้น อย่างไรก็ตามศิษย์สามคนที่ได้เรียนรู้วิชาลับนั้นกลับด้อยกว่าพวกเขาสองคนในด้านของศักยภาพ มีสองคนที่ได้เรียนรู้วิชาลับเมื่ออายุได้สิบแปดปี ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นได้เรียนรู้เมื่ออายุได้สิบเก้าปี โอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพอสูรนั้นยิ่งต่ำกว่าพวกเขาสองคนมากนัก
พ่อของเมิ่งชวน เมิ่งต้าเจียง และสมาชิกอีกคนของตระกูลเมิ่ง เมิ่งจู ได้เรียนรู้วิชาลับเมื่อพวกเขามีอายุได้สิบเก้าปี โอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นเทพอสูรนั้นก็ค่อนข้างน้อยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน คนที่มีพรสวรรค์สูงสุดในหมู่รุ่นเยาว์ของเมืองตงหนิงก็คือเหมยหยวนจื่อ ผู้ที่เข้าถึงขั้น “พลัง”
อันดับสองก็คือเมิ่งชวน
อันดับที่ตามมาก็คือสามคนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดที่เรียนรู้ถึงวิชาลับ
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มชุดขาว เหยียนจินนั้น ก็เทียบเท่าได้เท่ากับเมิ่งชวนเช่นเดียวกัน ตามจริงแล้วเขาน่าจะโดดเด่นยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเขาเหมือนจะเป็นชาวต่างชาติ มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเทพอสูรทั้งห้านั้นจะไม่เคยได้ยินชื่อเขา
“ศิษย์ทุกคนของสำนักเต๋าทั้งแปดได้ต่อสู้กันไปหมดแล้ว” ข้าหลวงจากราชวังกล่าวด้วยเสียงอันดัง เสียงของเขานั้นสะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่ “ต่อไปจะเป็นการต่อสู้สุดท้ายของงานเลี้ยงตัดอสูร”
“การต่อสู้สุดท้ายเหรอ” ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ กระทั่งเมิ่งชวนที่ฟังอย่างตั้งใจ ก็ยังคิดว่ามันจบไปเรียบร้อยแล้วเสียอีก
ข้าหลวงจากราชวังพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ศึกสุดท้ายจะเป็นการต่อสู้ของเหมยหยวนจื่อกับหัวหน้าอสูร อสูรตะขาบที่ได้สร้างแก่นอสูรแล้ว”
“เหมยหยวนจื่ออย่างงั้นเหรอ ข้ามิคิดว่าเขาจะลงต่อสู้ในวันนี้ด้วย” เมิ่งชวนคิด ดวงตาของเขาเป็นประกาย