ตอนที่ 42 กระบี่ตัดอสนี
เมื่อสติของเขากลับมา เขาก็เห็นชายร่างกำยำผมกระเซิงยืนอยู่บนยอดเขา ภูเขารอบๆที่ทอดยาวออกไปพร้อมกับลำน้ำที่ไหลผ่าน อีกดวงอาทิตย์ที่ทอประกายแสงอยู่บนท้องฟ้า
แต่ถึงเช่นนั้น ภูเขา แม่น้ำและดวงอาทิตย์มันก็ดูเลือนลางเมื่ออยู่หน้าชายคนนั้น
ชายร่างกำยำนั่นมองมาทางเมิ่งชวนก่อนจะหยิบกระบี่ดำขึ้น มันช่างเป็นกระบี่ที่ยาวยิ่งนัก
ตูม!
เขามองมาทางเมิ่งชวนอย่างเย็นชาก่อนจะเหวี่ยงกระบี่ของเขา
คลื่นกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งมาใส่เขาอย่างรวดเร็วต่อ “ตา” ของเขา เมื่อเผชิญกับท่ากระบี่ที่น่าสะพรึงราวกับทำให้โลกแตกสลายได้ ไม่มีทางที่เมิ่งชวนจะหยุดตัวเองจากความรู้สึกกลัวได้ มันคือความกลัวแบบเดียวกับที่มนุษย์กลัวการถูกฟ้าผ่า นี่เป็นการโจมตีที่น่ากลัวยิ่งเสียกว่าฑัณท์สวรรค์… แต่ไม่มีทางที่เมิ่งชวนจะหลบได้ เขาทำได้แค่ทนรับมัน
ครืน…คลื่นกระบี่ประทะเข้าใส่จิตของเขา
“อ่า”
เมิ่งชวนดึงตัวเองออกจากชิ้นส่วนโลหะสีดำโดยพลัน เขากุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดและมีเลือดไหลออกมาจากจมูก เขาส่งเสียงโอดโอยออกมาเนื่องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะหมดสติไป
เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด
ผู้คนในจิงหูเมิ่งไม่รู้ว่านายน้อยเมิ่งชวนที่พวกเขาภาคภูมิใจมากได้หมดสติไปแล้ว
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป
หลายชั่วโมงต่อมา เมิ่งชวนก็สะดุ้งตัวงอ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น
มันเจ็บ เมิ่งชวนรู้สึกปวดศรีษะราวกับมันจะแยกเป็นเสี่ยงๆ ความทรงจำของเขายุ่งเหยิง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเป็นใครอยู่ที่ไหน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมิ่งชวนถึงมีสติกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
‘เมื่อคืนข้าตรวจสอบเจ้าชิ้นส่วนโลหะสีดำนั้น สติสัมปชัญญะของข้าถูกดึงเข้าไปและมันทำให้ปวดศรีษะ’
อาการของเมิ่งชวนนั้นหนักหนามาก เขานอนบนเตียงสักพักก่อนจะค่อยๆลุกขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเขาลุกขึ้นนั่งเขาก็รู้สึกเวียนหัว มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเริ่มสาง แต่ก็ยังคงเห็นดวงจันทร์อยู่ได้
มันเจ็บมาก เมิ่งชวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนขึ้น แต่ร่างกายของเขาปฏิเสธ ก่อนที่จะล้มกลับไปบนเตียง เขาไม่สามารถรักษาสมดุลได้ และมีอาการปวดตุบๆที่ศีรษะ เขาพยายามที่จะตั้งสมาธิอย่างเต็มที่ และด้วยเหตุนั้น จึงทำให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้ในที่สุด
ชิ้นส่วนโลหะสีดำนี้ทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมานจริงๆ ในตอนนี้เมิ่งชวนไม่อยากได้มรดกที่อยู่ในชิ้นส่วนโลหะสีดำนี่ด้วยซ้ำ แค่คิดก็ทำให้หัวของเขารู้สึกปวดเสียดแทงมากพอแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะศึกษามรดกชิ้นนี้
อึกอึกอึก
หลังจากดื่มน้ำเย็นสองชามใหญ่ที่เขาเก็บไว้ตลอดทั้งคืนเขาก็ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ตัวเองตื่น
เขาผลักเปิดประตูและยืนตรงทางเดินก่อนจะตะโกนเรียก “คนรับใช้”
สาวใช้รีบวิ่งไปที่ทางเข้าสนาม หลังจากเข้าไปแล้วเธอก็กราบเรียน “นายน้อย” ของเธอ
“เตรียมน้ำร้อนข้าอยากอาบน้ำ”
อาบน้ำตอนเช้าอย่างนั้นหรือ สาวใช้งุนงงเล็กน้อย แต่เธอไม่กล้าถามต่อ เธอกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ นายน้อย”
หลังจากนั้น—
ถังน้ำร้อนหลายถังถูกเทจนเต็มอ่างอาบน้ำ หลังจากที่เมิ่งชวนบอกให้คนรับใช้ออกไป เขาก็ถอดเสื้อผ้าและแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ มันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
การนอนลงไปนั้นสบายที่สุดเนื่องจากอาการปวดหัวนั่น และด้วยความงุนงง เขาก็หลับไปชั่วครู่ และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งมันก็รู้สึกดีขึ้นมาก
‘ข้ารู้สึกดีขึ้นมากเลย’ จากนั้นเขาก็มองไปที่พื้นที่หว่างคิ้วของเขา เขาเห็นว่าคนโปร่งแสงตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูหรี่ลงกว่าเดิมมาก ดูเหมือนว่าความเสียหายจะค่อนหนัก
เขาตัวสั่นเล็กน้อย น้ำในอ่างเริ่มเย็นลงแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเช็ดตัวก่อนจะใส่เสื้อผ้า
เมื่อเขาออกมาก็สั่งคนรับใช้ของไปว่า “สามวันนับจากนี้ ข้าจะหยุดฝึกวิชา ข้าต้องทำสมาธิ”
…
“นายน้อยไม่ได้ฝึกวิชารึ?”
“นายน้อยผ่าลูกดอกหน้าไม้แปดพันดอกทุกวัน นี่เขาหยุดฝึกสามวันจริงหรือ?”
“ช่วงนี้เขาฝึกฝนอยู่ตลอด บางคราการทำสมาธิอาจก่อให้เกิดผลดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาได้ฆ่ากลุ่มโจรเมฆาโลหิตไปสองคน”
“ถูกตัอง หนึ่งในพวกมันคือหัตถ์โลหิตอสูร จ้าวชาน ข้าเชื่อว่าการต่อสู้นั่นจะต้องทำให้นายน้อยบรรลุสิ่งใดเป็นแน่ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขาทำสมาธิ”
คนรับใช้และเหล่ายามพูดคุยกัน
…
การสังหารสมาชิกโจรเมฆาโลหิตสองคนนั้นง่ายมาก กลับกัน เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากชิ้นส่วนโลหะทมิฬนั่นเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนไม่ได้รีบร้อน เขาตระหนักว่าอาการปวดหัวของเขาค่อยๆบรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป และการควบคุมร่างกายของเขาก็ค่อยๆฟื้นตัว
ตลอดสามวันนี้ เขาใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย อ่านชีวประวัติของเทพอสูรในขณะที่นอนอยู่บนเก้าอี้นอน และเรียนรู้อย่างสบายๆ
การพักผ่อนเช่นนี้ช่วยเร่งการฟื้นตัวของเขาขึ้นมา เขาสามารถเห็นได้ชัดว่าร่างโปร่งแสงตรงหว่างคิ้วของเขานั้นค่อยๆกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม
ในวันที่สาม เมิ่งชวนเริ่มศึกษาข้อมูลที่เขาได้รับจากชิ้นส่วนโลหะทมิฬที่เสียหาย
‘มรดกที่ข้าได้รับมาคือกระบวนท่าที่สิบเจ็ดของกระบี่ตัดอัสนี เบญจมหาอัสนี นี่มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์จริงๆรึ? ข้าไม่พบหนทางที่จะรอดไปได้โดยไม่หมดสติเสียก่อนเลย’
เมิ่งชวนหัวเราะดูถูกตนเอง เขาจำได้ว่าเมื่อสติของเขาถูกนำเข้าไปในชิ้นส่วนโลหะทมิฬ มีข้อมูลจำนวนมากได้เข้าสู่จิตสำนึกของเขาเมื่อเขาถูกกระบี่นั้นฟาด
อย่างไรก็ตาม สติของเขาสามารถต้านทานได้เพียงบางส่วนก่อนที่จะหมดสติไป นี่เป็นรูปแบบการป้องกันโดยสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตามเมิ่งชวนยังคงศึกษาข้อมูลของมรดกอย่างรอบคอบ ข้อมูลดังกล่าวมีความลับบางอย่างที่จะนำไปสู่กระบวนท่าที่สิบเจ็ดของกระบี่ตัดอัสนี
ทุกคำพูด ทุกกระเบียดนิ้ว และคำอธิบายที่มีข้อมูลอันไร้ขอบเขต ทำให้เมิ่งชวนรู้สึกถึงความบีบคั้น
การโจมตีของเบญจมหาอัสนีนั้นเป็นชุดของการโจมตีห้าครั้ง การโจมตีครั้งแรกนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ในขณะที่การโจมตีครั้งที่สองนั้นทรงพลังยิ่งกว่า การโจมตีติดกันห้าครั้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันคือความแรงที่ไม่อาจจะจินตนาการได้
‘มรดกที่ข้าได้รับมานั้นเป็นเพียงการโจมตีสองครั้งแรกของเบญจมหาอัสนี แต่นั่นก็ถือเป็นวิชากระบี่ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา’
เมิ่งชวนส่ายหน้า พลังกายภาพและพลังปราณที่ต้องใช้นั้นมันสูงเกินไป
…
อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายสนิท แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อการชักกระบี่หรือการเคลื่อนไหวของเขาอีกต่อไป
เมิ่งชวนฟื้นตัวได้เต็มที่ในเวลาสองเดือนหลังจากที่ได้รับมรดกของชิ้นส่วนโลหะทมิฬ จากนั้นเขาก็สามารถใช้งานพลังแห่งวิญญาณได้อีกครั้ง
และเขาก็ได้ตัดสินใจ
‘เว้นแต่ตัวตนจิตตรงหว่างคิ้วของข้าจะพัฒนา ข้าจะไม่ตรวจสอบชิ้นส่วนโลหะทมิฬนี่อีก’ และหลังจากที่เขาฟื้นตัวจนสมบูรณ์นั้น เขาก็เริ่มฝึกสองท่าแรกของเบญจมหาอัสนี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ลอง ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถใช้มันได้ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้จะเข้าใจในพลังกระบี่ และการควบคุมร่างรวมไปถึงพลังปราณของเขานับได้ว่าสูงในหมู่มนุษย์ ถึงกระนั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับการฟาดฟันครั้งที่สอง มีเพียงการใช้พลังวิญญาณหลอมเข้าสู่ร่างเพื่อเสริมร่างกายและลมปราณเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถฟาดฟันเป็นครั้งที่สองได้
เพียงฟาดฟันแค่ครั้งเดียว สายฟ้าในร่างของเขาก็ตอบรับ วิชานี้ช่างเข้ากันได้ดีกับร่างเทพอัสนี
เมื่อเขาใช้ทั้งสองท่า สายฟ้าในร่างก็พุ่งพล่านไปพร้อมกับลมปราณของเขา
น่าเสียดายที่เขาไม่มีหนทางสู่การย้ายกระบี่ครั้งที่สาม สิ่งที่เขาทำได้คือปล่อยสายฟ้าที่สะสมไว้พร้อมกับพลังปราณที่เพิ่มขึ้นในร่างกายของเขาเป็นการเคลื่อนไหวครั้งที่สาม
…
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ฤดูหนาวผ่านพ้นไปและฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง เวลาได้ผ่านไปอีกหนึ่งปี
ในห้องโถงสาขานิกายอสูรฟ้า
แอ๊ด ประตูค่อยๆถูกผลักเปิดออก ชายคิ้วขาวเดินออกมาโดยเอามือไพล่หลัง
“ศิษย์พี่” ชายหลังค่อมและชายกล้ามโตเผยรอยยิ้ม
“ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาที่ข้าเข้าฌาณ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเมืองตงหนิงหรือไม่” ชายคิ้วขาวถาม
“ศิษย์พี่ เมืองตงหนิงยังคงเหมือนเดิม ถ้ามีอะไรสำคัญเกิดขึ้นเราคงจะปลุกท่านไปนานแล้ว”ชายกล้ามโตหัวเราะ
“เข้าใจล่ะ” คนคิ้วขาวพยักหน้า
ชายร่างกำยำดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบม้วนหนังสือออกมาทันทีและส่งให้ชายคิ้วขาว
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ เจ้าพวกกลุ่มโจรเมฆาโลหิตมันขายชิ้นส่วนโลหะทมิฬที่ชำรุดให้เราเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ศิษย์พี่เกาไม่ได้สนใจมัน แต่ข้าสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของเทพอสูรที่ทรงพลังจากมัน มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดโลหะทมิฬในตำนานนั่นก็เป็นได้”
“เคล็ดโลหะทมิฬคือโลหะจากอุกกาบาต เจ้าได้ตรวจสอบว่ามันเป็นโลหะอุกกาบาตหรือยัง?” ชายคิ้วขาวถาม
“เมื่อข้าออกมาจากการเข้าฌาณ กลุ่มโจรเมฆาโลหิตสองคนนั้นตายไปนานแล้ว ข้าไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับชิ้นส่วนโลหะสีดำนั่นเสียด้วยซ้ำ” ชายกล้ามโตกล่าว
ชายคิ้วขาวพยักหน้า เขาหยิบภาพวาดและคลี่ออกดู ภาพวาดแสดงให้เห็นชิ้นส่วนโลหะสีดำที่เสียหายและรูปลักษณ์ที่ชัดเจนมาก
“ข้าจะไปตรวจสอบ” แม้ว่าชายคิ้วขาวจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของเขาโดยพลัน
…
ที่ห้องอ่านหนังสือใต้ดิน
มีหนังสือมากมายวางอยู่ที่นี่ ชายคิ้วขาวหยิบภาพวาดออกมาและพลิกดูหลายๆภาพก่อนที่จะดึงออกมาหนึ่งภาพ
ในภาพวาด มันมีเศษโลหะสีดำทั้งหมดยี่สิบหกชิ้น ชายคิ้วขาวเปรียบเทียบชิ้นส่วนโลหะสีดำยี่สิบหกชิ้นนั้นเข้ากับชิ้นส่วนโลหะสีดำในภาพวาดอย่างระมัดระวัง
รอยหักที่ขอบเหมือนกัน นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบี่ตัดอัสนีของเคล็ดโลหะทมิฬ ชายคิ้วขาวพยักหน้าเล็กน้อย หากเป็นเคล็ดโลหะทมิฬที่สมบูรณ์ล่ะก็ เหล่าปีศาจชั้นสูงคงจะมาต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมานานแล้ว แต่ชิ้นส่วนเล็กๆนั้นไม่ค่อยให้ความสนใจกับปีศาจชั้นสูงเสียเท่าไหร่ เนื่องจากเหล่าปีศาจเองก็มีมรดกของมัน ที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าของมนุษย์เสียอีก