ตอนที่ 61 เมิ่งชวนและราชันอสูร
เมื่อมีตราอยู่ในมือ ราชันอสูรบึงพิษก็รู้สึกได้ถึงตำแหน่งของอีกทั้ง18ตราได้ในทันที เก้าอันนั้นไม่มีเจ้าของ แน่นอนว่าแม่ทัพอสูรทั้งเก้าได้ตกตายไปแล้ว
ฮืม? สำนักเต๋าเพลิงตะวัน? บึงพิษจับทิศทางได้ในทันที มีแม่ทัพสองตนอยู่ที่นั่น ตนหนึ่งตายไปแล้ว ส่วนแม่ทัพวัวยังมีชีวิตอยู่ เทพอสูรที่พึ่งจุติใหม่และอ่อนแอนั่นยังคงอยู่ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันและกำลังจะฆ่าแม่ทัพอสูรวัว ข้าต้องรีบแล้ว
บึงพิษรู้ว่าเทพอสูรลึกลับนั้นจะตามหาเหยื่อรายใหม่หลังจากมันสังหารแม่ทัพอสูรลงได้ ดังนั้น มีเพียงการตามหาแม่ทัพอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะมีโอกาสเจอเทพอสูรลึกลับนั่น
ฟู่วว
บึงพิษหายวูบไปเมื่อมันเคลื่อนที่ และในระยะ 10 จั้งรอบๆตัวมันจะมีหมอกสีดำรายล้อมอยู่ เมื่อใดก็ตามที่หมอกสีดำนั้นสัมผัสโดนสิ่งอื่น ซากศพกลายเป็นแอ่งเลือด จอมยุทธที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆก็ถูกหมอกฆ่าตาย พวกเขากลายเป็นเพียงแอ่งเลือด แม้ว่าบึงพิษจะไม่สนใจมนุษย์มากนัก แต่มันก็ไม่ได้คิดอะไรกับการฆ่ามดปลวกเล่นระหว่างทาง
มนุษย์ช่างน่าขัน บึงพิษเหลือบมองไปที่มนุษย์ที่เจอระหว่างทาง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าต้องตามหาเทพอสูรนั่นให้ได้ไวที่สุด ข้าคงจะสังหารมนุษย์ในเมืองนี้จนสิ้นหมดแล้ว
เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มันก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะให้มนุษย์ล้านคนสู้กับอสูรบึงพิษ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำความเสียหายให้แก่มันได้เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่มนุษย์ทั้งหมดจะถูกฆ่า แต่อันที่จริงแล้ว มนุษย์ก็คงจะหนีไปทั่วทิศทางเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี ไม่ว่าราชาอสูรจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่พวกมันก็ทำอะไรมากไม่ได้ นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมถึงต้องมีกองทัพอสูรขนาดยักษ์
ในเมืองด่านนั้น เหล่ามนุษย์ที่เป็นทหารต้องป้องกันเหล่าทัพอสูรที่เหมือนกับฝูงแมลง ส่วนราชาอสูรน่ะหรือ? นั่นเป็นหน้าที่ของเทพอสูร
ฟิ้ว
บึงพิษพุ่งไปทางสำนักเต๋าเพลิงตะวันด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง
…
ที่สำนักเต๋าเพลิงตะวัน
“ถอย”
“ถอยเร็ว”
อ่านบทล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เหล่าอสูรกำลังเสียกำลังใจ พวกมันกำลังเสียเปรียบ ทำให้เหล่าผู้นำอสูรสั่งให้ล่าถอย
ฟิ้วๆๆๆๆ! เหล่าปีศาจกระโดดออกหน้าต่างตามๆกันไป ส่วนผู้นำอสูรก็หนีด้วยความเร็วเต็มที่
“สังหารพวกมัน”
“สังหารพวกอสูรซะ!” แรงสู้ของมนุษย์เพิ่มขึ้นมหาศาล หอกสั้นแทงทะลุร่างของเหล่าอสูร หน้าไม้ยักษ์ยิงลูกดอกซึ่งเสียบพวกอสูรเหมือนลูกชิ้น มนุษย์ในป้อมเพลิงตะวันกลับมาได้เปรียบและโต้กลับเหล่าอสูร! พวกเขาไล่ตามสังหารอสูร
พวกอสูรนั้นฉลาด มันรับรู้ได้ว่าเมื่อแม่ทัพอสรพิษที่ตายไปแล้ว กับแม่ทัพวัวที่กำลังใกล้จะตาย มันไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย แม้แม่ทัพวัวจะหนีรอดออกมาได้ แต่จอมยุทธมนุษย์ก็จะหันมาสังหารพวกมันเสียเอง ความตายอยู่ไม่ไกล
เป็นสถานการณ์ที่กู้คืนไม่ได้แล้ว
ดังนั้นถ้าให้ดีก็ควรจะหนีไปให้ไวที่สุดในขณะที่จอมยุทธมนุษย์กำลังสู้กับแม่ทัพวัว ไม่ว่าจอมยุทธนั้นจะเก่งเพียงใด แต่มันก็มีเพียงหนึ่ง จอมยุทธปริศนานั่นจะฆ่าได้มากเพียงใดกันหากพวกมันหนีไปทุกทิศทาง?
พวกมันหนีได้ แต่ข้าหนีไม่ได้ แม่ทัพอสูรวัวใช้วิชาต้องห้ามที่สะเทือนดินฟ้าแล้ว ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกรอบๆตัวมัน
แม่ทัพวัวตวัดตรีศูลของมันพยายามป้องกันลำแสงกระบี่ของเมิ่งชวน
ฟุบ
เมิ่งชวนเร็วมาก แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าใกล้แม่ทัพวัว คลื่นกระแทกนั้นมันทำให้ความเร็วของเขาลดลงไปกว่า 3 ส่วน
ข้าแข็งแกร่งพอๆกับแม่ทัพอสูรนี่หากข้าไม่ใช้พลังแห่งวิญญาณ เมิ่งชวนส่ายหัวในใจ ช้าต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบไปจวนบรรพบุรุษให้ได้โดยไว
ย่าทวดของเขาขอให้ช่วยปกป้องคนในตระกูลให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าสำนักเต๋าทั้งแปดจะเป็นเป้าหมายหลักของอสูร แต่สำนักงานบริหาร คลังอาวุธ และตระกูลเทพอสูรทั้งห้าก็เป็นเป้าหมายรอง นี่จึงเป็นเรื่องของความปลอดภัยของสมาชิกในตระกูลเมิ่งทั้ง 3,000 คน ตราบใดที่ไม่มีเทพอสูรและราชาอสูร เขาก็พอจะเป็นคนช่วยยับยั้งได้ เขามั่นใจในการปกป้องตระกูลมาก แน่นอน หากเทพอสูรพ่ายในการต่อสู้กับราชาอสูรที่วังหยกสุริยัน เขาก็จะรีบหนีไปในทันทีตามคำแนะนำของท่านย่าทวด
เจ้าวังหยกสุริยัน ย่าทวด และคนอื่นๆจะต้องชนะแน่นอน สิ่งที่เมิ่งชวนทำได้คือหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเขา แต่การต่อสู้ของเขากับผู้บัญชาการวัวก็ไม่ได้หยุดลง หลังจากโจมตีพลาดไปสองครั้ง เมิ่งชวนก็หลอมรวมพลังแห่งวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกครั้ง
กระดูกและกล้ามเนื้อสอดประสานกันอย่างลงตัว กระแสปราณของเขาก็ราบลื่นยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เขาแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกระดับ
ความเร็วของมัน ดวงตาของผู้บัญชาการวัวเบิกกว้าง จอมยุทธมนุษย์นี่มีความเร็วที่น่าสะพรึงเหมือนตอนมันสังหารแม่ทัพอสรพิษเลย
ฟิ้ว
แม้ว่าคลื่นกระแทกนั้นจะขัดขวางร่างสายฟ้านั่น แต่เมิ่งชวนก็ยังเร็วอย่างไม่น่าเชื่ออยู่ดี แม่ทัพวัวแทบไม่มีเวลาตอบโต้ ตรีศูลในมือของมันแทบจะไม่ขยับไปไหนก่อนที่มันจะถูกแทงเข้าที่หน้าผาก ทะลุหัวของแม่ทัพวัวเข้าไป ก่อนที่สติของมันจะกลายเป็นดำมืด
แม่ทัพวัวตายแล้ว ร่างมหึมาของแม่ทัพวัวร่วงลงสู่พื้นฝุ่นตลบ
“แม่ทัพวัวก็ตายแล้วเหมือนกัน!”
“หนี!”
“หนีเร็ว!” เหล่าอสูรที่กำลังหนีอยู่ ต่างหวังว่าพวกมันจะก้าวได้ยาวกว่านี้ในขณะที่วิ่งกระจัดกระจายไปทั่ว
เมิ่งชวนมองกวาดผ่านพวกมัน หากมันกระจัดกระจายไปทั่วเช่นนี้ เขาคงสังหารได้เพียงสามถึงห้าตัว ไม่คุ้มค่าเวลาไล่ตาม
ฟุบ
เขารีบเข้าไปในป้อมเพลิงตะวันเพื่อไปหาชีเยว่
“งดงามมาก”
“ช่างน่าอัศจรรย์”
“ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านคือพี่ใหญ่ของสำนักเต๋าทั้งแปดเลย!” ศิษย์สำนักเต๋าเพลิงตะวันคนหนึ่งตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“นายน้อยเมิ่งเก่งเหลือเกิน เขาฆ่าแม่ทัพอสูรสองตนด้วยตัวคนเดียว” ทหารและทหารผ่านศึกก็รู้สึกประทับใจในเช่นเดียวกัน ทุกคนพูดคุยกันขณะเฝ้าดูเมิ่งชวนรีบไปที่ป้อมเพลิงตะวัน พวกเขาต่างรู้จักนายน้อยเมิ่งซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองตงหนิง
ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป และหันไปมองที่เดียวกัน
หลิวชีเยว่ ที่กำลังนอนพิงกำแพงอย่างอ่อนแรงก็ยิ่มอ่อนๆในขณะที่ดูเมิ่งชวนเข้ามาหา อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวเมื่อเห็นบางสิ่งหลังเมิ่งชวน
“พี่เมิ่งระวัง!”
“นายน้อยเมิ่งระวัง!”
“อาชวนระวัง!”ทุกคนต่างร้องตะโกน
เมิ่งชวนไม่ทันสังเกตเห็นมันในตอนแรก แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังหนึ่งลี้จากตัวเขา เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่น่ากลัวในทันที กระแสพลังนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าย่าทวดของเขาเสียอีก นอกจากนี้ก็ยังเป็นเพราะย่าทวดของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักด้วย
“กระแสพลังที่น่ากลัวเช่นนี้” เมิ่งชวนหันหน้ากลับทันที
ฟุบ
ท้องฟ้าด้านหลังเขาปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ เมื่อสิ่งที่น่าสะพรึงนั่นอยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ หมอกสีดำก็ปกคลุมออกไปกว่าเกือบร้อยจั้ง และมันอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงครึ่งลี้ด้วยซ้ำ
ฟู่ว
สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เร็วเสียยิ่งกว่าเมิ่งชวน
หมอกสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าไปเกือบครึ่งโผล่ขึ้นมาหน้าเมิ่งชวนในพริบตา ระยะสัมผัส 10 จั้งของเมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงงูสีดำขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งมีขนาดเท่าฝุ่นอยู่ในหมอกนั้น ซากศพจำนวนมากที่เรียงรายอยู่ตามทางมายังสำนักเต๋าได้กลายเป็นแอ่งเลือดอย่างรวดเร็วเมื่อหมอกเคลื่อนผ่าน และในต้อนนั้นเอง หมอกสีดำที่เกิดจากงูขนาดเล็กนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่เมิ่งชวน
“เจ้าคนที่ฆ่าแม่ทัพอสูรทั้งสองเป็นเพียงแค่มนุษย์งั้นรึ! ช่างน่าประหลาดใจ” เสียงแหบแห้งเย็นชาดังลึกจากในหมอกดำ