ตอนที่ 64 ข่าวจากจวนบรรพบุรุษ
“เป็นเพราะอะไรเจ้าถึงกล้าท้าทายข้า?” ราชาอสูรบึงพิษเกรี้ยวกราด มันเป็นถึงราชาอสูรระดับสอง! แต่ถึงอย่างนั้นเทพอสูรที่พึ่งกำเนิดใหม่สองคนนี้จะร่วมมือกันสังหารมันอย่างนั้นรึ? ตลกเสียจริง
หมอกสีดำของบึงพิษที่โกรธเกรี้ยวขยายตัวอย่างรวดเร็ว เร็วจนครอบคลุมระยะร้อยจั้งได้ในพริบตา
พิษ? หมอกสีดำที่ต่างจากของบึงพิษก็ล้อมร่างกายของหลิวเย่ป๋ายเช่นกัน มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทำให้หมอกพิษนั้นเริ่มจางลง
‘เขตแดนรึ?’ บึงพิษตื่นตระหนก เทพอสูรบางคนนั้นเชี่ยวชาญในการใช้เขตแดน และเมิ่งเซียนกูก็เป็นหนึ่งในคนที่ใช้ได้ดีที่สุด หมอกของมันถูกสกัดจนหมดสิ้น เพราะตอนนี้มันก็ต้องเจอกับจอมยุทธอีกคนที่เชี่ยวชาญในเขตแดน
เขตแดนของหลิวเย่ป๋ายราวกับจะจมบึงพิษลงไปในหนอง
“ตาย!”
“ตาย!”
เมิ่งต้าเจียงพุ่งเข้าใส่ตรงๆขณะที่หลิวเย่ป๋ายโจมตีจากจุดบอดด้วยกระบี่ของเขา
‘ข้าสามารถสังหารพวกมันทั้งคู่ได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว’ บึงพิษสะบัดหอกของมันและโจมตีอยางรุนแรง อย่างไรก็ตามเมิ่งต้าเจียงใช้วิชากระบี่ของเขาเพื่อรับมือ และการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้ของหลิวเย่ป๋ายทำให้เขาสามารถลอบโจมตีได้ ภายในหมอกสีดำมีหลิวเย่ป๋ายปรากฏขึ้นเจ็ดคน แต่คนโจมตีอย่างเงียบๆก่อนจะถอยหายกลับไปในหมอกสีดำ
“บัดซบ!”
บึงพิษเหวี่ยงหอกออกไปกว้างๆและโจมตีโดนหนึ่งในร่างของหลิวเย่ป๋าย ร่างนั้นสลายหายกลายเป็นหมอกดำดังเดิม แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ร่างจริง
ตูม! เมิ่งต้าเจียงเหวี่ยงกระบี่ของเขาใส่และบึงพิษรีบสกัดทันที
พิ้ว! หลิวเย่ป๋ายอีกร่างพุ่งออกมาจากหมอกสีดำและแทงเข้าที่ข้างหลังของบึงพิษด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
อย่างไรก็ตามหมอกหนึ่งจั้งรอบๆตัวบึงพิษนั้นแข็งมาก หลิวเย่ป๋ายเจาะหมอกสีดำเข้าไปได้เพียงนิดเดียว ก่อให้เกิดเพียงรอยแผลเล็กๆบนร่างของบึงพิษเท่านั้น หลิวเยว่ป๋ายกลอกตาก่อนจะถอยกลับทันที
…
ท่ามกลางซากปรักหักพังในตงหนิง สองเทพอสูรกำลังต่อสู้กับราชาอสูรบึงพิษ ความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้เมิ่งชวนอ้าปากค้างด้วยความตื่นใจ มันทำให้เขาตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขากับเทพอสูรทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว
จากมนุษย์สู่เทพอสูร…
ความแข็งแกร่งนั้นมันก้าวกระโดด ช่องว่างนั้นช่างน่าอัศจรรย์
‘จากที่ราชาอสูรบอก พ่อเป็นกายาเทพอสูรสินะ? เขาสามารถเผชิญหน้ากับราชาอสูรแบบต่อหน้าได้ ในขณะที่ลุงหลิวนั้นพลิกแพลงและคล่องตัวกว่า เขาไม่สู้ต่อหน้าแต่ลอบโจมตีอยู่ตลอด พวกเขานั้นเข้าคู่กันได้อย่างยอดเยี่ยม นี่อาจเป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ร่วมกันนับไม่ถ้วน’ เมิ่งชวนดูการร่วมมือกันที่ไร้ตำหนิ คนหนึ่งหลอกล่อโจมตีต่อหน้า ส่วนอีกคนซุ่มลอบโจมตีทีเผลอ
บึงพิษถูกเมิ่งต้าเจียงกันเอาไว้ทุกครั้งที่เขาพยายามตามหลิวเย่ป๋าย บึงพิษโดนโจมตีนับสิบครั้งอย่างรวดเร็ว เทพอสูรทั้งสองนั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้มันถึงกับบาดเจ็บสาหัส
‘แม่ทัพอสูรสิบสองตนจากทั้งสิบแปดเสียชีวิต นับตั้งแต่เทพอสูรสองคนเริ่มต่อสู้กับข้าก็ไม่มีแม่ทัพตนอื่นถูกสังหาร ดูเหมือนว่าเทพอสูรปริศนานั่นคือสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันพึ่งเข้าถึงระดับยาเมฆาเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้พวกมันเทียบได้กับราชาอสูรระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามพวกมันมีประสบการณ์สูงและการร่วมมือกันที่ยอดเยี่ยม หากพวกมันทั้งคู่ร่วมมือกันแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ได้เปรียบ แม้ว่าเจ้ากายาเทพอสูรดูจะได้รับบาดเจ็บ แต่อาการบาดเจ็บของข้าก็พอกัน ข้าใช้วิชาต้องห้ามมาซักพักแล้ว หากยอมแพ้ตอนนี้ ข้าจะต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ หากใช้วิชาต้องห้ามต่อไป รากฐานของข้าอาจเสียหายได้ด้วย’
บึงพิษไม่อยากเสี่ยงชีวิต มันใช้คาถาต้องห้ามของมันมานานเกินไปแล้วนับตั้งแต่ตอนไล่ล่าเมิ่งชวน…
มันไม่สามารถสังหารหรือทำให้กายาเทพอสูรอ่อนลงได้ อีกทั้งยังมีเทพอสูรที่ใช้เขตแดน ที่คอยซุ่มโจมตีใส่มันในเขตแดนนั้นอีก บึงพิษรู้สึกสังเวชใจ
‘อันที่จริงแผนตอนแรกก็มีแค่สังหารเทพอสูรที่แข็งแกร่งทั้งสามในวังหยกสุริยันนั่นก่อน หลังจากนั้น ข้าก็จะพาไป่เฉิน วานร กับทรราชคำรน และเหล่าอสูรมาทำลายล้างเมืองของมนุษย์’ บึงพิษไม่คิดอะไรมากหันหลังหนีไปทันที
ฟิ้ว
ด้วยการใช้คาถาต้องห้าม ทำให้บึงพิษเร็วกว่าตอนที่เมิ่งชวนเอาจริงด้วยซ้ำ เร็วกว่าทั้งเมิ่งต้าเจียงและหลิวเยว่ป๋าย
มันไม่ได้หนีไปทางเมิ่งชวน ดังนั้นหลิวเย่ป๋ายและเมิ่งต้าเจียงจึงไม่ได้ตามไป
“ราชาอสูรระดับสองทรงพลังจริงๆ” หลิวเย่ป๋ายก็หยุดใช้วิชาต้องห้ามเทพอสูรของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พวกเราทั้งคู่เอาจริงแต่ก็ยังทำได้แค่ทัดเทียมกัน มันคงไม่รู้เป็นแน่ว่าเจ้าจะสู้ต่อไม่ได้หลังจากที่ไขมันเจ้าหมด”
เมิ่งต้าเจียงน้ำหนักลดไปแล้วกว่า 5 กิโลกรัม นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวเพื่อช่วยเมิ่งชวน “ฮืม เจ้าราชาอสูรนี่ใช้วิชาต้องห้ามมานานเกินไป หากสู้ต่อไป ข้าก็เสียเพียงน้ำหนักตัว ในขณะที่รากฐานของมันจะเสียหาย”
ฟิ้ว
เมิ่งชวนรีบวิ่งเข้ามาจากไกลๆ
ร่างกายของหลิวเย่ป๋ายถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำและใบหน้าของเขาถูกบังมิด “เจ้าต้องเก็บตัวตนของพวกเราไว้เป็นความลับ” หลังจากพูดเสร็จเขาก็จากไปทันทีและทิ้งให้พ่อลูกอยู่ตามลำพัง
“หืม?” เมิ่งชวนเห็นหลิวเย่ป๋ายออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากเขามาถึงและตกตะลึง
ฟุบ เมิ่งต้าเจียงมาอยู่ข้างลูกชาย ร่างของเมิ่งต้าเจียงถูกปกคลุมไปด้วยกระแสพลัง ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ค่อยชัดนัก
“ท่านพ่อ”
“อย่างที่คิด” เมิ่งต้าเจียงพูดก่อนพยักหน้า “เจ้าสามารถสัมผัสกระแสพลังในระยะครึ่งลี้ได้ ลุงหลิวกับข้าก็คงจะหนีไม่รอดจากการตรวจจับนั่น”
พลังที่เมิ่งต้าเจียงและหลิวเย่ป๋ายใช้นั้นแตกต่างจากปกติ โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้แค่แรงกายและกระแสปราณ
แต่ตอนนี้เมิ่งต้าเจียงได้ใช้กระแสพลังพิเศษที่ดูสดใส หลิวเย่ป๋ายใช้วิชาเขตแดน แม้แต่คนรู้จักก็ไม่สามารถจดจำกระแสพลังที่สดใสและวิชาเขตแดนได้เนื่องจากการปกปิดตัวตน
อย่างไรก็ตาม “สัมผัส” ของเมิ่งชวนไม่เพียงตรวจจับปราณและพลังอสูรได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเฉพาะตัวของกระแสพลังด้วย ไม่ว่าจะพยายามปิดบังตัวตนแค่ไหน แต่ความเฉพาะตัวของกระแสพลังก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ลุงหลิวและข้าซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “เจ้าต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับเพื่อพวกเราด้วยนะ”
“ทราบแล้วขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
พวกเขาเป็นเทพอสูรแต่ซ่อนตัวตนที่แท้จริงและอาศัยอยู่ในเมืองตงหนิง แน่นอนว่าพวกเขามีความลับ และเนื่องจากพ่อของเขาและลุงหลิวไม่อยากจะอธิบาย การซักถามต่อไปก็ไร้ประโยชน์
“ไปกันเถอะ ตามข้าไปที่สำนักเต๋าจิงหู่” กล่าวเมิ่งต้าเจียง “จากนี้ไปเจ้าต้องอยู่กับข้าตลอด”
“ขอรับท่านพ่อ”ตอบเมิ่งชวน
“อย่าเรียกข้าว่าท่านพ่อตอนนี้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเจ้าเผยตัวข้าไป” เมิ่งต้าเจียงกล่าวยิ้มๆ
เมิ่งชวนพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
ได้อยู่กับพ่อของเขา เทพอสูร มันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
ฟิ้วๆๆ!
กระแสพลังสดใสล้อมรอบตัวเมิ่งต้าเจียงและเมิ่งชวน พวกเขามุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าด้วยความเร็วที่เท่ากันในทันที
“ลุงหลิวกับข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการ เมื่อตอนที่รู้ว่าอสูรบุกเราก็แยกกัน เขามุ่งหน้าไปที่สำนักเต๋าเพลิงตะวันและข้ามุ่งหน้าไปที่จวนบรรพบุรุษและจิงหูเมิ่ง ระหว่างทางพวกข้าก็สังหารแม่ทัพอสูรไปด้วย” เมิ่งต้าเจียงกล่าว “โชคดีที่ระหว่างเจ้าหนีมีเสียงเอะอะ ข้าจึงมาช่วยเจ้าทันพอดี”
“ถ้าท่านช้ากว่านี้ข้าอาจตายไปแล้วจริงๆก็ได้” เมิ่งชวนก็รู้สึกกลัว
“ใครจะไปคิดกันว่าพวกอสูรมันจะบุกเข้ามา?” เมิ่งต้าเจียงส่ายหน้า
“ท่านพ่อ จวนบรรพบุรุษเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งชวนถาม
เมิ่งต้าเจียงกล่าว “ตระกูลเมิ่งของเราเป็นหนึ่งในห้าตระกูลเทพอสูร จึงไม่ค่อยโชคดีเท่าไรนัก กองทัพอสูรบุกเข้าไปที่จวนบรรพบุรุษ เมื่อข้าไปถึงก็มีคนตายไปแล้ว…. ผู้อาวุโสสี่คนตายไป ผู้อาวุโสสามก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ผู้อาวุโสสาม?” เมิ่งชวนผงะ
ชายแก่หัวล้านตัวผอมที่ติดตรึงในใจเขา เป็นคนที่ดุกับเด็กๆ เย็นชาและหัวโบราณ หากใครไม่เชื่อฟังเขาก็จะเอาไม้เท้ามาตี มันติดเป็นแผลใจของเขาตั้งแต่ยังเด็กเลยล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เขาเข้าถึงวิชาลับ ผู้อาวุโสสามก็เป็นคนให้มรดกเทพอสูรแก่เขา และแนะนำให้เก็บเอาไว้
“ท่านผู้อาวุโสสามเป็นคนที่แข็งแกร่ง” เมิ่งชวนพึมพำ
“ถูก เขาเป็นหนึ่งในที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเรา หากเขาระวังตัว เขาคงจะรอด แต่ว่าเขาก็เป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่นำการบุกเพื่อปกป้องเด็กๆ สุดท้ายแล้ว รยางค์อสูรก็แทงทะลุอกจนถึงแก่ความตาย” เมิ่งต้าเจียงกล่าว เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาก็เป็นผู้อาวุโส
เมิ่งต้าเจียงเหลือบมองลูกชายแล้วพูดว่า”อย่าคิดมาก ผู้อาวุโสสามทำด้วยความเต็มใจ ข้าเข้าใจอารมณ์นั้น เขาต้องพึงพอใจเป็นแน่ที่ได้ช่วยชีวิตเด็กๆไว้ได้มากเช่นนี้ หากเจ้าได้เข้าไปในเขาหยวนชูและกลายเป็นเทพอสูร ผู้อาวุโสสามคงจะหัวเราะอย่างมีความสุขในหลุมของเขาเป็นแน่”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย