ตอนที่ 87 ที่เก้านับจากที่โหล่
ชายผมกระเซิงยิ้มและกล่าวออกมา “พี่หญิงจิงยู่ ท่านไม่ต้องคาดหวังอะไรมากก็ได้ อัจฉริยะพวกนั้นยังไม่เคยเข้ารับราชการทหาร พวกเขาคงจะทำได้ดีกว่านี้หากไปอยู่ในสนามรบซักห้าปี”
“เด็กพวกนี้เป็นอัจฉริยะ เวลาในการฝึกฝนของอัจฉริยะนั้นมีค่ามาก แล้วพวกเราจะปล่อยให้พวกเขาเติบโตอย่างช้าๆในสนามรบได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว
“เราค่อยมาพูดคุยตัดสินอันดับกันหลังจากการทดสอบรอบที่สองจบซะดีกว่า” ราชาตงเหอกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มการทดสอบรอบที่สองดีกว่า รอบนี้สำคัญที่สุด”
“รับทราบ” หญิงสาวชุดสีฟ้าและชายผมกระเซิงพยักหน้า
ยังเหลือการทดสอบรอบสุดท้ายอีกหนึ่งรอบ
หากการสังหารอสูรเป็นการตัดสินความสามารถในการต่อสู้และความแข็งแกร่งของเหล่าอัจฉริยะ การทดสอบรอบที่สองนี้ก็เป็นการตัดสินศักยภาพของพวกเขา
…
เหล่าอัจฉริยะถูกยกลอยขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขาลอยขึ้นไปพร้อมกับเหล่าเทพอสูรและจากนั้นก็กลับลงพื้นบนเชิงเขากว้างๆ
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าพักครึ่งชั่วยาม” ราชาตงเหอมองดูเหล่าอัจฉริยะที่กำลังหมดแรง หลายๆคนมีผ้าพันแผลที่เปือนเลือดพันอยู่ “ในอีกครึ่งชั่วยามจะเป็นการทดสอบส่วนที่สอง! นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของเขาหยวนชูแล้ว เมื่อจบลง พวกเราจะคัดเลือกยี่สิบคนที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู”
เมิ่งชวนและคนอื่นๆนั่งขัดสมาธิในทันที พลังปราณไหลเวียนผ่านร่างกายเพื่อฟื้นฟูพลังของพวกเขากลับมา
“ถึงการทดสอบรอบสุดท้ายแล้ว”
“เทพอสูรของเขาหยวนชูต้องอย่างน้อยไปถึงระดับมหาสุริยัน หากไปไม่ถึงระดับนั้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคอยชุบเลี้ยงพวกเขา” ขุนนางเมฆาใต้และเทพอสูรคนอื่นๆพูดคุยกัน แม้ว่าจะมีเทพอสูรจำนวนมากในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน
ในทางทฤษฎีแล้ว ระดับมหาสุริยันคือขีดจำกัดของกายาเทพอสูร
อย่างเช่นเมิ่งเซียนกู หวินว่านไห่ และคนอื่นๆนั้นต่างเป็นเพียงศิษย์ชั้นนอกของเขาหยวนชูเท่านั้น พวกเขาโชคดีพอที่จะได้กลายเป็นเทพอสูร และส่วนมากก็ไปถึงเพียงแค่ระดับแดนอมตะเท่านั้น ขนาดเจ้าวังหยกสุริยันเองก็ยังอยู่แค่ขั้นสอง ระดับแดนอมตะเท่านั้น เจ้าวังหยกสุริยันมาจากเขาหยวนชู เขาฝึกฝนกายาเทพอสูรและมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง เพราะเหตุนั้นจึงทำให้เขาสามารถทนรับการโจมตีของราชาอสูรระดับสองได้ถึงสามตนพร้อมๆกัน
นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับศิษย์ของเขาหยวนชู ด้วยรากฐานและพลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดได้อย่างง่ายดายแม้จะต่อสู้กับคนที่ระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นก็ตาม! ยิ่งไปกว่านั้น การถึงระดับมหาสุริยันนั้นเป็นเพียงแค่เป้าหมายแรก
เจ้าวังหยกสุริยันยังหนุ่มมาก แน่นอนว่าเขายังห่างไกลขีดจำกัดของเขา และตอนนี้เขาถูกส่งไปปกป้องเมืองธรรมดาๆเมืองหนึ่งเป็นการชั่วคราว
…
เมิ่งชวนฟื้นตัวและฟื้นพลังปราณจนสมบูรณ์เหมือนเดิม
“ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว” เสียงของราชาตงเหอดังขึ้น
เหล่าอัจฉริยะที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปิดตาและยืนขึ้นมองราชาตงเหอ เหล่าญาติๆและเพื่อนๆของพวกเขาพร้อมกับเหล่าเทพอสูรมากมายต่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“การทดสอบสุดท้ายเป็นการทดสอบจิตใจของเจ้า” ราชาตงเหอชี้ไปที่แท่นบูชาขนาดใหญ่ แท่นบูชานั้นเป็นพีระมิดฐานสีเหลี่ยม แต่ละด้านมีบันไดสูงขึ้นไปกว่าร้อยก้าวและไปหยุดอยู่ตรงด้านบนสุด แท่นบูชาทำมาจากหินปูนที่มีรอยด่างกระจายอยู่ทั่ว เห็นได้ชัดว่ามันอยู่มานานแล้ว
“นี่คือแท่นบูชาแห่งความมืด เมื่อเจ้าเดินขึ้นไปบนแท่นบูชา เจ้าจะตกอยู่ในความมืดมิด และพวกเจ้าต้องตั้งสติเอาไว้ให้ได้ ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี แต่เมื่อใดที่ถูกความมืดกลืนกิน เจ้าจะสอบตก”
“เอาล่ะ เริ่มกันได้เลย” ราชาตงเหอกล่าว
เมิ่งชวนและคนอื่นๆลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะแยกกันเดินขึ้นไปบนแท่นบูชาแห่งความมืด แต่ละด้านขึ้นไปกันยี่สิบคน ไม่ช้าก็มีคนเดินขึ้นไปเป็นคนแรก หมอกสีดำจางๆลอยขึ้นมาจากบันไดหินปูนนั้นและซึมเข้าไปในร่างของคนๆนั้น เด็กคนนั้นตัวสั่นไปหน่อยหนึ่งก่อนที่เขาจะก้าวต่อไป คนอื่นๆเองก็เดินขึ้นบันไดแท่นบูชาไปทีละก้าวๆ ระหว่างนั้นเองหมอกสีดำก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้าของพวกเขาและซึมเข้าไปในร่าง
ตึง!
เมิ่งชวนก้าวไปข้างหน้า หมอกสีดำจางๆลอยขึ้นมาจากขั้นบันไดหินปูนและซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาและไหลเข้าไปที่หัวของเขาอย่างรวดเร็ว
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
เมิ่งชวนรู้สึกราวกับโลกกำลังหมุน เหมือนกับติดอยู่ในฝันร้าย ราชาอสูรและเหล่าอสูรฟ้ากระหายเลือดพุ่งเข้าใส่ พวกมันมีกระแสพลังที่น่าสะพรึงมากยิ่งกว่าราชาอสูรบึงพิษเสียอีก เมิ่งชวนรู้สึกร่างกายติดขัดยากที่จะขยับตัว
‘เดิน เดินต่อไป ทั้งหมดมันเป็นภาพลวงตา แค่ภาพลวงตา’ เมิ่งชวนโน้มน้าวใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง เขาบังคับให้ร่างขยับ แต่ว่าร่างกายกลับติดขัดเสียยิ่งกว่าคนแก่อายุ 80 ทำให้เดินต่อไปได้ยาก
ยิ่งเขาก้าวเดินต่อไป หมอกสีดำที่ลอยออกมาจากหินปูนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเข้าสู่ร่างของเขาอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกๆอย่าง
ภาพลวงตาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบต่อร่างกายก็ยิ่งมากขึ้น เมิ่งชวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะบังคับให้ร่างกายของเขาก้าวเดินต่อไป
…
เหล่าอัจฉริยะต่างก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ยิ่งไปสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งช้าลงเท่านั้น
ตรงบันไดขั้นที่แปด มีอัจฉริยะคนหนึ่งหยุดฝึเท้าลง เขาไม่ขยับตัวหรือเคลื่อนไหวใดๆเป็นเวลาสิบห้าวินาทีก่อนที่หมอกสีดำจะปกคลุมหัวของเขาจนหมด ดวงตาของเขาเปลี่ยนกลายเป็นมืดมิด และตาขาวในดวงตาก็หายไป
หญิงสาวในชุดสีฟ้าขมวดคิ้ว “จิตของเขาอ่อนแอเกินไป คนที่มีจิตใจอ่อนแอแค่นี้จะไปถึงระดับขั้น “จิตวิญญาณ” ได้อย่างไร? จะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันได้อย่างไร?”
ในทุกๆวิชาต่อสู้เช่นวิชากระบี่และท่วงท่ากระบี่ มันมีระดับขั้นอย่าง “หนึ่งเดียว” “พลัง” และ “เจตจำนง” ในตอนนี้เมิ่งชวนกำลังพยายามเข้าถึง “เจตจำนงกระบี่” อยู่ ส่วนระดับขั้นที่สี่นั้นคือระดับขั้น “จิตวิญญาณ”
ฟิ้ว ราชาตงเหอโบกมือและพลังที่มองไม่เห็นก็ดึงอัจฉริยะคนนั้นลงมาจากแท่นบูชา
เมิ่งเขาลงมาจากแท่นบูชา หมอกสีดำก็กลับเข้าไปที่แท่นบูชาอย่างรวดเร็ว
พอไม่มีหมอกสีดำที่ส่งผลต่อเขา เขาก็ฟื้นคืนสติ จากนั้นเขาก็รู้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่บนแท่นบูชา เขายืนนิ่งๆอย่างงุนงง ‘นี่ข้าทำได้แย่ที่สุดในการทดสอบสุดท้ายเลยรึ?’
ในไม่ช้าก็มีอีกสองคนที่หยุดอยู่ตรงก้าวที่สิบ หมอกสีดำเข้าปกคลุมหัวพวกเขา ก่อนที่ตาขาวจะหายไปเหลือแต่ตาดำ พวกเขาถูกดึงลงมาจากแท่นบูชา
“เทพอสูรของเขาหยวนชูทุกคนจะต้องไปถึงระดับมหาสุริยันยกเว้นว่าจะตายในการต่อสู้เสียก่อน” ขุนนางทะเลชีไห่กล่าวขณะเฝ้าดู “ในตอนที่เข้ารับการทดสอบนี้ เด็กๆพวกนี้ส่วนมากก็อายุเกือบจะยี่สิบกันแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะมีจิตที่กล้าแข็งประมาณสามส่วนของระดับมหาสุริยันสิ? การที่ไม่มีจิตที่กล้าแข็งระดับนั้นนั่นก็หมายความว่าโอกาสที่จะได้เป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นน้อยมาก”
“ศักยภาพของพวกเขาต่ำเกินไป” เทพอสูรคนอื่นๆเห็นด้วย
ไม่ว่ารากฐานเทพอสูรจะแข็งแกร่งเพียงไหน หรือไม่ว่าจะต่อสู้ได้เก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็มักจะถูกคัดออกหากผลการคัดเลือกรอบสุดท้ายแย่
จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษ บางครั้งมนุษย์เราก็มีจิตใจที่กล้าแข็ง แต่บางครั้งเทพอสูรเองก็ไม่ได้มีจิตใจที่กล้าแข็งมากเช่นกัน
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆหยุดฝีเท้าลงเรื่อยๆ
“อย่างน้อยพวกเขาต้องไปให้ถึงขั้นที่ 30 หากไปไม่ถึงนั่น จิตใจพวกเขาก็คงอ่อนแอเกินไป” เหล่าเทพอสูรเฝ้าดู
“ฮะ?”
สีหน้าของเทพอสูรทุกคนเปลี่ยนไป ญาติๆและเพื่อนๆที่กำลังเฝ้าดูเองก็เปลี่ยนสีหน้าไปดูประหลาดใจเช่นกัน
ชี่หยวนถงร่างบางพร้อมกับค้อนยักษ์สองอันบนหลังของเขาในตอนนี้หยุดลงที่ขั้นที่ 17 เขายืนอยู่นิ่งๆพร้อมกับหมอกสีดำที่กำลังปกคลุมรอบหัวของเขา
“ไม่มีทาง!?”
“ชี่หยวนถง นี่เขา ไม่จริงน่า…”
เหล่าเทพอสูรประหลาดใจ
เขาเป็นหนึ่งในสองอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในการสอบเข้าปีนี้ ความสามารถทางกายภาพของเขาดีที่สุดอย่างแน่นอน จิตรับรู้ของเขาเองก็ค่อนข้างดีเช่นกัน เขารองเพียงจากเมิ่งชวนเท่านั้น! เรียกได้ว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะที่หาได้เพียงหนึ่งในสิบปีเท่านั้น
แต่เขากลับมาหยุดอยู่ที่ขั้นที่17จริงๆน่ะเหรอ?
“ขึ้นไปสิ” ชายผมกระเซิงขมวดคิ้ว นัยย์ตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
ชี่หยวนถงตัวสั่นเหมือนกำลังดิ้นรน อย่างไรก็ตาม หมอกสีดำก็เข้ามาปกคลุมหัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ จนสุดท้ายตาขาวก็หายไปจนหมด…
เขานิ่งเหมือนกับรูปปั้น ไร้การเคลื่อนไหว
“ชี่หยวนถงหยุดอยู่ที่ชั้น17เท่านั้นเองเหรอ?” เหล่าเทพอสูรใจสลาย พวกเขาดีใจมากๆทุกครั้งที่ได้พบกับอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าพวกอาจจะได้มีสหายที่ทรงพลังในอนาคต ชี่หยวนถงไปถึงแค่ขั้นที่17ในการทดสอบสุดท้าย มันทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังมากและได้แต่เป็นกังวล
“เฮ้อ” ราชาตงเหอส่ายหน้าเบาๆ เพียงพริบตา ชี่หยวนถงก็ลอยลงมาจากแท่นบูชา อันดับของเขาในการทดสอบนี้คือที่เก้านับจากที่โหล่