ตอนที่ 89 การตัดสิน 1
หมอกสีดำซึมเข้าไปในร่างกายของเมิ่งชวนทุกย่างก้าวที่เขาเดินขึ้นแท่นบูชา ภาพลวงตายังคงเพิ่มความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ภาพลวงตานับไม่ถ้วนถาโถมใส่จิตใจของเขา ลากสติของเมิ่งชวนลงไปในเหวลึกไม่มีสิ้นสุด
‘ไม่มีใครหยุดข้าได้ ถ้าข้าทำลายภาพลวงตาพวกนี้ยังไม่ได้ ข้าจะฆ่าอสูรให้สิ้นได้อย่างไร?’ ความมุ่งมั่นของเมิ่งชวนแก่งกล้าราวกับกระบี่ กระบี่ที่มีไว้สังหารอสูรและมีไว้สำหรับตัดผ่าอุปสรรค์ในหนทางการฝึกวิชาของเขา
เขายังคงก้าวต่อไปด้วยความยากลำบาก แต่ยิ่งก้าวเดินไป หมอกสีดำก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบที่เกิดจากหมอกต่อร่างกายและจิตใจก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าความมุ่งมั่นของเขาจะเหมือนกระบี่ แต่สติของเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยภาพลวงตาจนหมด
พอความทรงจำยุ่งเหยิง ภาพลวงตาก็ดูสมจริงมากขึ้น เขาไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกแล้ว
ตู้ม!
มีพลังที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา
‘โอ๊ะ? “พลังแห่งวิญญาณ” อย่างนั้นรึ?’ เมิ่งชวนได้สติในทันที ความทรงจำฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ภาพลวงตาไม่ส่งผลกับเขาอีก แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังแห่งวิญญาณโดยตรง แต่มันก็ช่วยขับไล่หมอกสีดำออกไปจากร่างของเขาก่อนที่จะโดนภาพลวงตาเข้าครอบงำได้
‘”พลังแห่งวิญญาณ”นั้นยอดเยี่ยม มันสามารถสกัดกั้นภาพลวงตาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าอย่างนั้นข้าจะฝึกฝนจิตใจของข้าได้อย่างไร?’ เขารั้ง”พลังแห่งวิญญาณ”เอาไว้ กันไม่ให้มันมาช่วยเขา ภาพลวงตาถาโถมเข้าใส่จิตใจของเขาอีกครั้ง ทำให้สติกลับไปจมลึกในหุบเหวไร้ที่สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้น “พลังแห่งวิญญาณ”ก็ยังคอยช่วยให้เขามีสติเหลืออยู่นิดหน่อยได้
สติที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้สามารถทำให้เขาวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งใดคือภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้ นอกจากนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกด้วย สติของเขาเหมือนติดอยู่ในกรงแห่งความมืด
แม้จะสามารถทำลายกรงแห่งความมืดได้ด้วยพลังแห่งวิญญาณ แต่เมิ่งชวนไม่ทำเช่นนั้น
‘ข้าไม่รู้สึกถึงร่างกายของข้าสักนิด ข้าขยับตัวต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าคงจะล้มเหลวเป็นแน่’
…
ที่ข้างนอก
ราชาตงเหอและคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูจากไกลๆ หลังจากที่ชี่หยวนถงหยุด พวกเขาก็ให้ความสนใจกับเมิ่งชวนมากกว่าเดิม
ถ้าชี่หยวนถงเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากที่หลายสิบปีกว่าจะเจอ จิตรับรู้ของเมิ่งชวนเองก็เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อ ความสามารถขนาดนั้นในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้เคยมีแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้น เทพอสูรทุกคนจึงให้ความสนใจกับเมิ่งชวนมาก หากเมิ่งชวนขาดพลังใจ มันคงจะแย่กว่าที่ชี่หยวนถงทำได้แค่17ขั้นเป็นหลายสิบเท่า
30 ขั้น 40 ขั้น 50 ขั้น 60 ขั้น
เมื่อเห็นเมิ่งชวนยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆ เหล่าเทพอสูรก็เริ่มคลายกังวล การที่สามารถผ่านขั้นที่60ไปได้นั้นนั่นก็หมายความว่าเขามีพลังใจที่แข็งแกร่งมาก
หยานเฟิงหยุดลงที่ขั้ที่ 66 ส่วนเมิ่งชวนหยุดลงที่ขั้นที่ 68
“โอ๋? เมิ่งชวนกำลังจะหยุดรึ?”
“68 ขั้น ไม่เลว เขาได้อันดับสิบของการทดสอบนี้”
“การจะเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นจะต้องไปให้ได้ถึง 103 ขั้น! ตอนนี้เขาไปถึงขั้นที่ 68 ตั้งแต่อายุ 18 เดี๋ยวเขาเองก็จะเติบโต ในอีกสิบปี เขาจะไปถึงจุดสูงสุดของแท่นบูชาได้อย่างง่ายดาย”
เหล่าเทพอสูรค่อนข้างพึงพอใจกับผลลัพธ์ของเมิ่งชวน
เมิ่งชวนหยุดอยู่ที่ขั้นที่ 68 ไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำจนหมด แต่ไม่นานดวงตาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ และเมิ่งชวนก็ก้าวเดินต่อไป เมิ่งชวนโกรธในความไร้พลังของเขา ดังนั้นความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเขาจึงเพิ่มขึ้น พลังใจของเขานั้นเป็นเหมือนกระบี่ที่ตัดผ่านภาพลวงตา ด้วยเหตุนั้นมันจึงยังทำให้เขามุ่งหน้าต่อไปได้
“โอ๋? เขากำลังจะหยุดฝีเท้า แต่ก็หลุดออกมาจากภาพลวงตาได้อย่างนั้นรึ? การที่สามารถก้าวผ่านขีดจำกัดได้ในเวลาแบบนี้หายากจริงๆ” ผู้อาวุโสอี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ราชาตงเหอพยักหน้า”พลังใจของเขานั้นกล้าแข็งมาก หลังจากที่พบเจอกับปัญหา ใจของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พลังใจของเขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้มากกว่านี้อีกด้วยซ้ำ”
เหล่าเทพอสูรคอยเฝ้าดูอัจฉริยะที่ค่อยๆหยุดลงไปกันทีละคน
ซงชาหยุดอยู่ที 71 ขั้น เขาได้ที่ 8 จากอัจฉริยะทั้งหมด! เรียกได้ว่าสุดยอดมาก
และที่ขั้นที่ 75 เมิ่งชวนก็หยุดฝีเท้าลงอีก หมอกสีดำคลุมหัวของเขาอีกรอบ ดวงตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แม้ว่าเขาจะพยายามดิ้นรน แต่ในที่สุดดวงตาก็กลายเป็นสีดำจนหมด ร่างของเขาไม่ไหวติงนิ่งเหมือนรูปปั้น
“75 ขั้น ดีมาก” ราชาตงเหอยิ้มและพยักหน้า มีพลังที่มองไม่เห็นยกเมิ่งชวนขึ้นและวางเขาลงในพื้นที่โล่งๆ หมอกสีดำแยกออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะกลับไปที่แท่นบูชาแห่งความมืด
พอไม่มีหมอกสีดำในร่าง เมิ่งชวนก็กลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว
ข้าถูกพาลงมาอย่างนั้นรึ? เมิ่งชวนมองขึ้นไป เขาพบอีกสี่คนที่ยังคงก้าวเดินต่อไป
คนที่มีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือเหยียนจิน ส่วนอีกสามคนไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก
“เมิ่งชวน เจ้าไปได้ถึงขั้นที่ 75” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งยิ้มขณะที่เดินผ่านมา ดวงตาเธอเป็นประกายดูน่ารัก “เจ้าได้อันดับที่ห้าจากหนึ่งร้อยคน แต่ว่าการจัดอันดับก็ไม่สำคัญมาก สิ่งที่จำเป็นสำหรับการขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันนั้นคือพลังใจ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีแค่ไปให้ถึงยอดของแท่นบูชาแห่งความมืด เนื่องจากว่าเจ้าไปได้ถึงขั้นที่ 75 ข้าว่าในอีกสามสี่ปีเจ้าคงจะไปถึงยอดแล้วล่ะ”
เมิ่งชวนถอนหายใจ สมกับเป็นเจ้าหญิง เธอรู้อะไรหลายๆอย่างจริงๆ เขาไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเทพอสูรระดับมหาสุริยัน พ่อของเขานั้นเป็นสายกายาเทพอสูร และสายกายาเทพอสูรนั้นก็หยุดอยู่ที่ขอบเขตมหาสุริยัน
“แต่ว่าข้าทำได้แย่มากเลย ข้าไปได้แค่ 39 ขั้น ต่อจากนี้ไปข้าคงจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้” เจ้าหญิงหลี่อิ๋งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่ปกติแล้วการไปถึงระดับมหาสุริยันใช้เวลา 20-30 ปี ข้ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมากเพื่อจะเพิ่มพลังใจขึ้่นมา จะว่าไปแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าชี่หยวนถงนั่นไปได้แค่ 17 ขั้นน่ะ”
“17 ขั้น?” เมิ่งชวนตกใจ
อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com
“ใช่แล้ว ข้าว่าเทพอสูรของเขาหยวนชูคงจะปวดหัวกันไม่น้อย” หลี่อิ๋งกล่าว
เมิ่งชวนและหลี่อิ๋งพูดคุยกันจนเหยียนจินหยุดฝีเท้าลงที่ขั้นที่ 81 หลังจากที่เขาถูกเอาลงมาจากแท่นบูชาแล้ว ก็เหลืออัจฉริยะเพียงสองคน
จัวเซี่ยวไปได้ 85 ขั้น
จางหลี่ไปได้ 93 ขั้น
ผลการประเมินครั้งก่อนๆของจางหลี่นั้นอยู่ในระดับธรรมดามาก เขาได้ที่ 99 ในรอบคัดเลือก แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับได้ที่หนึ่งในการทดสอบรอบสุดท้าย เขาไปได้ถึง 93 ขั้น เรียกได้ว่าไม่ไกลจากยอดเลย
จางหลี่และจัวเซี่ยวไม่เคยได้กินสมุนไพรมีค่าใดๆมาก่อน พวกเขาต่างมาจากตระกูลคนธรรมดาเท่านั้น และพวกเขาต้องอดทนบากบั่นมามาก
พวกเขาขาดแค่เพียงโอกาส ไม่มีความช่วยเหลือจากตระกูล เมิ่งชวนมองไปที่จัวเซี่ยวและจากหลี่ก่อนจะถอนหายใจ
นี่คือชะตากรรมของมนุษย์
หากเขาเติบโตในตระกูลใหญ่ ได้ใช้ชีวิตหรูหราตั้งแต่ยังเด็ก และได้กลายเป็นจอมยุทธด้วยการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาคงจะไม่ต้องทนบากบั่นมามากขนาดนั้น และนั่นก็คงจะทำให้พวกเขาไปไม่ถึงขั้นที่93
“การทดสอบทุกอย่างจบลงแล้ว” ราชาตงเหอกล่าวด้วยเสียดังก้อง “พวกเจ้าไปพักได้ครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พูดคุยตัดสินใจกันแล้ว จะเป็นการประกาศชื่อยี่สิบคนที่ถูกคัดเลือก”
ผลการคัดเลือกใกล้จะถูกตัดสินแล้ว
‘ข้าจะอยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า?’
‘ในรอบคัดเลือกข้าไม่ได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ว่าข้าก็ทำได้ไม่เลว อย่างน้อยข้าก็พอทำได้อยู่กลางๆ ข้าคงจะได้ซักที่ 20’
หลายคนต่างเป็นกังวลในการตัดสินของเขาหยวนชู
สำหรับพวกเขาหลายๆคนแล้ว การที่ได้เข้าไปนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มสถานะของตนอย่างมาก! หากไม่ได้เข้าไป ก็จะต้องสะสมแต้มจากการรบไปทีละนิด ยิ่งไปกว่านั้นก็จะยังไม่มีอาจารย์ดีๆมาคอยชี้นำอีกด้วย ในเขาหยวนชู เทพอสูรที่ทรงพลังทั้งหลายก็จะคอยชี้แนะเหล่าศิษย์ของตน และพวกเขาก็จะได้รับอนุญาติให้เรียนรู้มรดกเทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดได้อีกด้วย อีกทั้งก็ยังได้สมุนไพรหายากมาคอยบำรุงชุบเลี้ยงอีกต่างหาก เทพอสูรระดับมหาสุริยันส่วนมากของราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ต่างมาจากเขาหยวนชู
เมิ่งชวนเดินไปหาเมิ่งต้าเจียง เหยียนจินเองก็ตามมาเช่นกัน
“พวกเจ้าทั้งคู่ทำได้ดีมาก” เมิ่งต้าเจียงกล่าวอย่างมีความสุข “จากที่ข้าดู พวกเจ้าทั้งคู่คงจะได้ติดอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน”
“เหยียนจิน เจ้าได้อันดับที่เก้าในรอบคัดเลือก แถมยังเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในห้าของรอบสุดท้าย”เมิ่งชวนพยักหน้า “เจ้าสอบติดอย่างแน่นอนเลย”
“เจ้าเองก็คงจะเป็นที่หนึ่ง” เหยียนจินกล่าวยิ้มๆ หลังจากฝึกฝนมาอย่างหนักหลายปี เป้าหมายแรกของเขาคือการเข้าสู่เขาหยวนชู และดูๆแล้ว คงจะไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นหรอก
…
เหล่าเทพอสูรต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับผลของเหล่าอัจฉริยะ
ส่วนราชาตงเหอ ชายผมกระเซิง หญิงสาวชุดสีฟ้าและผู้อาวุโสอี่นั้น พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการตัดสินยี่สิบอันดับแรก
“พลังใจของชี่หยวนถงยังขาดอยู่ แต่จิตรับรู้ของเขานั้นสูงมาก ตราบใดที่เขาสามารถเติมเต็มพลังใจที่หายไปได้ในอนาคต เขาคงจะกลายเป็นเทพอสูรที่ทรงพลังเป็นแน่ พวกเราควรจะต้องรับเขาเข้ามา” ชายผมกระเซิงกล่าว “ศิษย์คนอื่นๆอาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อยเพื่อฝึกฝนจิตใจในแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ แต่สำหรับชี่หยวนถง เราควรให้เขาใช้เวลากับตรงนี้มากกว่านี้”
“พวกเราควรคิดแผนสำหรับการฝึกฝนจิตใจของเขา” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เราสามารถวางแผนให้เขาตามชีวิตในวัยเด็กได้ อย่างเช่น จุดเปลี่ยนชีวิต หนีจากความสิ้นหวังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำงานเก็บเงิน ได้แต่งงานและมีลูก… ข้าคงจะต้องให้เขาอยู่ตรงนี้อีกสิบกว่าปีเพื่อทดแทนพลังใจที่ขาดไปนั่นได้”
“นั่นสินะ” ราชาตงเหอพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยที่จะรับเขาเข้ามา แต่ว่าเรื่องของพลังใจนั้น… เราจะต้องวางแผนให้ละเอียด”
“ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนั้นหรอก” ผู้อาวุโสอี่กล่าวยิ้มๆ “มีพวกคนเฒ่าคนแก่มากมายบนภูเขาที่คิดแผนดีๆให้เด็กคนนั้นได้ ที่ผ่านมาเขาหยวนชูเองก็เคยมีอัจฉริยะที่เก่งกล้าแต่ขาดพลังใจด้วยเหมือนกัน”
คนที่มีความสามารถบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อจะถูกพาเข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง
อย่างหลิวชีเยว่ที่มีสายเลือดร่างเทพวิหคเพลิง ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องทดสอบใดๆและได้เข้าสู่เขาหยวนชูโดยตรง แม้ว่าระดับการฝึกฝนของเธอจะยังขาดหรือด้อยอยู่ก็ตาม แต่เขาหยวนชูก็จะหาทางแก้ไขทดแทนมันให้ได้
สำหรับอัจฉริยะธรรมดาๆนั้น การเสียเวลากับเรื่องนี้หมายความว่าการฝึกฝนในด้านอื่นๆก็จะต้องช้าไปด้วย และมันไม่คุ้มค่าสำหรับเขาหยวนชูที่จะคอยชุบเลี้ยงพวกเขา
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับอัจฉริยะบางคน
“ตัดสินเรื่องของชี่หยวนถงได้แล้ว แล้วของจางหลี่ล่ะ? จางหลี่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบแท่นบูชาแห่งความมืดนี้ แต่ว่าเขาดูกลางๆมากในการทดสอบอื่นๆ” หญิงสาวชุดสีฟ้ากล่าว “เขามีเพียงพลังใจที่แข็งแกร่ง แต่หากไม่มีความแข็งแกร่งที่มากพอ ในอนาคตจะต่อสู้กับเหล่าอสูรได้อย่างไรกัน?”
“เรียกได้ว่าธรรมดามากจริงๆ” ชายผมกระเซิงพยักหน้า “เราสามารถให้เขาลองฝึกฝนสายอสูรมายาได้”
“เขาคงจะไม่เหมาะกับสายอสูรมายาเท่าไรนัก ข้าว่ามีเพียงสายเทพสว่างโชติที่เหมาะสมกับเขา” ราชาตงเหอกล่าว
“รับเขาเข้ามาดีกว่า พวกเราสามารถให้เขาลองฝึกฝนทั้งสายเทพสว่างโชติและสายอสูรมายาได้ แต่หากเขาไม่สามารถขึ้นเป็นเทพอสูรระดับสูงได้ภายในสิบปี ก็ให้ขับไล่เขาออกจากนิกายในเสีย” ผู้อาวุโสอี่กล่าว เขาหยวนชูเองก็มีกฎ หากศิษย์ในอยากจะเป็นเทพอสูร อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพอสูรระดับสูงให้ได้! นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเทพอสูรของเขาหยวนชูจึงแข็งแกร่ง เพราะหากพวกเขาไม่สามารถกลายเป็นเทพอสูรระดับสูงได้ในสิบปี พวกเขาก็จะต้องถูกขับไล่ออกจากนิกายในและไปเป็นศิษย์นอกแทน
ราชาตงเหอและคนอื่นๆปรึกษากันเกี่ยวอัจฉริยะไปทีละคน ทุกๆการรับเข้านั้นมีค่ามาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจริงจัง