ตอนที่ 112 เสร็จสิ้นการขัดเกลาจุดที่เก้า
“ท่านเมิ่งชวน โปรดตามมาขอรับ” พ่อบ้านชราที่ตําหนักแม่นาสวรรค์ดูเป็นมิตรมากขึ้น ท่านปรมาจารย์ได้ให้คําแนะนําแก่อัจฉริยะมากมาย อัจฉริยะที่มีความสามารถสูงจะได้รับคําชี้แนะเป็นการส่วนตัว ปกติแล้วพ่อบ้านชราไม่ค่อยสนใจเมิ่งขวนมากซักเท่าไหร่ แต่ว่าในตอนนี้เขารู้ เช่นเดียวกันกับคนในเขาหยวนทั้งหมดว่าเมิ่งชวนนั้นกําลังจะได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบที่หาปรากฏขึ้นมาเพียงครั้งเดียวในทุกๆหลายร้อยปี
ร่างเทพอสูรระดับพิเศษทุกร่างนั้นยอดเยี่ยม แต่พวกมันก็ต่างเก่งกาจกันคนละด้าน
ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นมีความเร็วที่เหนือชั้น มันมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในยามคับขันมาก
ต่อจากขุนนางทะเลหวน ในที่สุดก็มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นมา
“เชิญทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านชราพูดดังขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยก่อนจะเดินไป
” ท่านอาจารย์” เมิ่งชวนไปที่สวนและพบกับปรมาจารย์ที่กําลังตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสบายๆ ใบและกิ่งร่วงอยู่ในสวน
พ่อบ้านชราโค้งตัวก่อนจะเดินกลับไป
นายเหนือยังคงตัดแต่งกิ่งไม้ของเขาต่อไป และถามนิ่งๆ “มีอะไร?”
“ศิษย์ดูดซับหกประสงค์วินาศไปเก้าสิบขวดแล้ว แต่ศิษย์ยังไม่สามารถรวมหกประสงค์วินาศทั้งหมดให้รวมเป็นหนึ่งได้เลย! ศิษย์รู้สึกว่าร่างกายได้ไปถึงขีดสุดแล้ว แต่แก่นสารแห่งจิต แต่ยังเหลือที่ว่างอีกมากขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว “ศิษย์เกรงว่าศิษย์จะต้องใช้อีกมากกว่าหลายสิบขวดศิษย์ควรจะไปที่คลังสมบัติเพื่อเอาหกประสงค์วินาศมาเพิ่มอีกไหมขอรับ?”
ตามกฏแล้ว หกประสงค์วินาศนั้นจะได้รับหลังจากที่ขวดก่อนหน้าขัดเกลาจนสมบูรณ์แล้วเท่านั้น และจะเป็นเช่นนั้นจนกว่าคนๆนั้นจะขัดเกลาจุดที่เก้าได้สําเร็จ อย่างไรก็ตามมีคนมากมายที่คลังสมบัติการจะเก็บความลับจึงเป็นไปไม่ได้
“กระแสพลังวินาศที่จิตของมนุษย์ธรรมดานั้นไม่มากเท่ากับที่แก่นสารแห่งจิตดูดซับได้อยู่แล้ว” ปรมาจารย์ยิ้มขณะที่หันไปมองเมิ่งชวน หลังจากที่ตั้งใจมอง เขาก็พูด ” แก่นสารแห่งจิตของเจ้ายังห่างไกลจากขีดจํากัดนักเอ้านี่คือหกประสงค์วินาศทั้งหมด 122 ขวด”
นายเหนือโบกมือเบาๆ
อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนที่ผ้าสีเทาจะโผล่ออกมาบนพื้นบนผ้าสีเทานั้นมีขวดกระเบื้องสีแดงวางไว้อยู่มากมาย มีทั้งหมด 122 ขวด
เมิ่งชวนได้แต่ตะลึงอยู่ในใจที่ได้เห็นสมบัติจํานวนมากมายขนาดนี้โผล่ออกมาจากที่โล่งๆ แม้เขาจะรู้ว่าอาจารย์ของเขาได้เข้าถึงระดับสรรค์สร้างที่สูงกว่าราขาเทพอสูรไปแล้ว ขนาดที่ว่าเจ้าเขาหยวนยังเรียกเขาว่าเป็นนายเหนือแต่การที่อาจารย์ทํามันได้แบบสบายๆนั้นก็ทําให้ได้แต่อึ้ง
ท่านอาจารย์ไม่ได้พกขวดหกประสงค์วินาศติดตัวไปตลอดเวลาอย่างแน่นอน แต่การที่สามารถเสกมันออกมาได้เพียงโบกมือนี้มันวิชาอะไรกัน? เมิ่งชวนตกใจลึกๆ แต่ว่าความรู้ของเขานั้นมีไม่มากพอ เขาจะไม่ได้คัมภีร์ของร่างเทพอสูรที่เกี่ยวข้องด้วยซ้ําหากยังฝึกไม่ถึงระดับมหาสุริยัน! และเขาเองก็จะไม่ได้วิธีการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตอีกด้วย เพียงเทพอสูรระดับขุนนางและราชาเขาก็รู้น้อยมากแล้ว ไม่จําเป็นต้องพูดถึงระดับสรรค์สร้างเลย
เขาไม่เห็นแม้แต่คําว่า “ระดับสรรค์สร้าง” ในหนังสือที่เขาสามารถอ่านได้ เขารู้เรื่องนี้ก็แค่ตอนที่อาจารย์ได้กล่าวออกมาเท่านั้น
” ท่านอาจารย์ ศิษย์ต้องใช้หกประสงค์วินาศ 122 ขวดก่อนที่จะรวมมันเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้เลยหรือขอรับ?” เมิ่งชวนรู้สึกว่ามันดูมากเกินไปหลังจากที่ได้เห็นขวดกระเบื้องสีแดงเหล่านี้
“กระแสพลังวินาศที่แก่นสารแห่งจิตของเจ้าสามารถดูดซับได้นั้นมากมายกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ” ปรมาจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าศิตถูกต้อง ข้าว่าคงจะเหลือเพียงไม่กี่ขวดหลังจากที่แก่นสารแห่งจิตของเจ้าดูดซับหกประสงค์วินาศไม่ได้อีกต่อไป”
เมิ่งชวนเชื่อในการตัดสินของปรมาจารย์อยู่แล้ว
” รากฐานเทพอสูรของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาถึงสามเท่าไม่เลวเลย แต่แก่นสารแห่งจิตของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าจิตของคนธรรมดาหลายเท่า” ปรมาจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ” จํานวนหกประสงค์วินาศที่เจ้าสามารถดูดซับได้นั้นมากกว่าผู้ฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้าคนอื่นๆมาก ข้าเองก็กําลังรอดูอยู่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงไหนหลังจากที่ได้ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ถ้าหากไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็ไปได้”
เมื่อพูดจบปรมาจารย์ก็กลับไปตัดแต่งกิ่งไม้ดังเดิม
” ขอรับ ศิษย์ขอลา” เมิ่งชวนมัดห่อผ้าสีเทาก่อนจะก้มหัวเคารพและเดินจากไป
เมิ่งชวนเป็นคนเดียวที่มีแก่นสารแห่งจิตขณะฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้า ดังนั้นหกประสงค์วินาศที่เขาดูดขับได้นั้นจึงมากกว่าของคนปกติเป็นเรื่องธรรมดา
เมิ่งชวนนขวดหกประสงค์วินาศทั้งหมดนั้นกลับไปที่ห้องลับสําหรับฝึกวิชาของเขาและฝึกฝนวิชากระบี่ที่ถ้ําหมื่นกระปีต่อไปเขาฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง
จากประสบการณ์ของวิชาชักกระบี่ เขาได้เข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่ในครึ่งปี แต่ว่าแม้จะฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเกือบปี แต่เขาก็ยังอยู่ห่างจากเจตจํานงกระบีขั้นสูงนัก เขาคงจะใช้เวลาอีกซักหนึ่งหรือสองปี
ปรมาจารย์มีสายตาที่เฉียบคม เขาเคยบอกเมื่อนานมาแล้วว่าเมิ่งชวนนั้นเป็นอัจฉริยะที่ไม่มี ใครเทียบได้ในเรื่องของภาพวาด แต่ว่าเขานั้นยังธรรมดาๆในวิชากระบี่ที่เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นก็เพราะเขาสามารถเห็นข้อบกพร่องของตัวเองจากขอบเขตสิบปิ้งได้ และนั่นทําให้เขาเด่นขึ้นมาในหมู่อัจฉริยะ
หากไม่มีขอบเขตสิบปิ้ง การฝึกฝนของเมิ่งชวนคงจะช้ากว่านี้ และหากไม่มีแก่นสารแห่งจิต เมิ่งชวนก็คงจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆของเขาหยวนซู
แน่นอนว่าแก่นสารแห่งจิตก็เป็นหนึ่งในความแข็งแกร่งของเมิ่งชวน และนั่นก็เป็นเหตุว่าทําไมนายเหนือถึงให้ความสําคัญกับเขา เมิ่งชวนไม่รู้ว่าคนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นสารแห่งจิตนั้นจะพัฒนาแก่นสารแห่งจิตได้อย่างยากลําบาก นั่นก็เพราะพ่อแม่ของพวกเขานั้นไม่สามารถช่วยเหลือ ในการฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตได้ ส่วนสําหรับอัจฉริยะแบบเมิ่งชวนที่สามารถควบแน่นแก่นสารแห่งจิตขึ้นมาได้ด้วยการวาด ในอนาคตเขาจะสามารถใช้ภาพวาดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่นสารแห่งจิตของเขาได้
มรดกจากพ่อแม่ก็ถือเป็นอย่างหนึ่ง แต่การฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตในเติบโตนั้นจําเป็นที่จะต้องฝึกฝนอย่างหนักในอนาคต เมื่อใช้ความสามารถและวิชาของตนเองแล้วนั้นก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากได้รับหกประสงค์วินาศ 122 ขวดมา เมิ่งชวนก็ฝึกวิชากระบี่ในตอนเช้า วาดภาพในตอนบ่าย และประลองกับชีเยว่ในตอนเย็นอย่างมีความสุขเหมือนเคย
ในตอนกลางคืน เขาดูดขับหกประสงค์วินาศ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาไม่สามารถ ดูดซับหกประสงค์วินาศได้อีกแล้ว แต่แก่นสารแห่งจิตนั้นหิวโหยมาก เขาปล่อยให้มันดูดซับกระแสพลังวินาศไปครึ่งชั่วยาม เขาสามารถดูดซับหกประสงค์วินาศไปได้ถึงสามขวดก่อนจะรู้สึกอิ่ม
คืนถัดมา เขาก็ขัดเกลาอีกสามขวดเหมือนเดิม
เมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศต่อไปด้วยความเร็วสามขวดต่อวัน เขาต้องหยุดตัวเองไม่ให้ถูกความต้องการยั่วยวนไปทุกๆคน และนั่นทําให้จิตใจของเขากล้าแข็งขึ้น
ระหว่างดําเชี่ยวหลิง ศิษย์คนอื่นๆที่ยังไม่ได้ลงจากเขาก็มาจับกลุ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาในการฝึกวิชาของตน
“แปลก ศิษย์พี่เพิ่งควรจะขัดเกลาจุดที่เก้าเสร็จเมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่ใช่รึ? ทําไมเขายังไม่ท้าทายขอบเขตความเป็นตายแล้วเป็นเทพอสูรอีกกัน?” ศิษย์ที่กําลังดื่มด้วยกันนั้นต่างรู้สึกผ่อนคลายต่างจากการฝึกฝนวิชาของพวกเขา
” คลังสมบัติก็ได้ยืนยันแล้วว่าศิษย์พี่เฟิงไต้หกประสงค์วินาศไปครบเก้าสิบขวดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาขัดเกลาพวกมันได้จนสมบูรณ์แล้ว เขาเองก็เข้าถึงเจตจํานงแห่งกระบี่และเรียนรู้วิชาของโลหะทมนได้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วเขาก็ตรงตามเงื่อนไขทุกอย่างที่จะได้เป็นเทพอสูรแล้ว แต่ว่ามันก็แปลกอยู่หน่อยที่เขายังไม่ผ่านไป”
“อาจจะมีเหตุผลอื่น”
“ถ้าหากว่าเป็นข้า พอทุกอย่างพร้อม ข้าก็คงจะเป็นเทพอสูรให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้”
“เพราะนี้ไงเลยทําให้เขาคือศิษย์พี่เพิ่งและเจ้าก็เป็นศิษย์น้องหยูรูยังไงเล่า”
ศิษย์คนอื่นๆหัวเราะ
บนเขาหยวนนี้นั้น ศิษย์ที่ระดับต่ำกว่าเดือนมืดมิดนั้นจะถือว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน คนที่อ่อนแอกว่าจะเรียกศิษย์ที่แข็งแกร่งกว่าว่า “ศิษย์พี่” หรือ “ศิษย์พี่หญิง” แต่หากทั้งคู่แข็งแกร่งพอๆกัน พวกเขาก็จะเรียกกันอย่างสุภาพว่า “ศิษย์พี่” ทั้งคู่
หากเรียกอีกคนว่า “ศิษย์น้อง” ทั้งๆที่ยังแข็งแกร่งไม่มากพอก็อาจจะทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้
เหล่าศิษย์ที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรทั้งหลายต่างเรียกเมิงชวนว่าศิษย์พี่เฟิง
“เมิ่งชวนไม่ได้ไปที่คลังสมบัติเพื่อขอเข้าสู่บ่อโลหิตเทพอสูรอีกรึ?” เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโส เดินไปด้วยกัน การท้าทายขอบเขตความเป็นตายนั้นต้องใช้สมบัติที่มีคุณค่ามากที่สุด บ่อโลหิตเทพอสูร ต้องได้รับการอนุญาติจากคลังสมบัติก่อนเท่านั้นถึงจะเข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูรได้ หลังจากที่คลังสมบัติมั่นใจแล้วเท่านั้นว่าศิษย์มีโอกาส 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะสําเร็จ ศิษย์ถึงจะได้รับอนุญาติให้เข้าไปในบ่อโลหิตเทพอสูร
“ไม่” ผู้อาวุโสอส่ายหน้า “ข้ารับผิดชอบคลังสมบัติอยู่ ทําไมข้าจะไม่รู้เรื่อง เขาเสร็จสิ้นการขัดเกลาจุดที่เก้าเมื่อเดือนก่อน ข้าสงสัยว่าทําไมเขายังไม่ผ่านไปซักที? หรือจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทําให้ล่าช้า?”
“มันจะเป็นเหตุผลอะไรกันเล่า? ไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่ออยู่บนภูเขา ที่ต้องทําก็แค่ตั้งใจแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวเรียบๆ “เพราะว่าเขาผ่านการความต้องการทั้งหมดแล้ว เขาควรจะได้เป็นเทพอสูรโดยไว ทุกๆวินาทีในการฝึกฝนนั้นมีค่า เอาอย่างนี้เป็นไร? รออีกหนึ่งเดือน หากเขายังไม่มาขอท้าทายขอบเขตความเป็นตายแล้วให้ไปหาเขาและถามหาเหตุผล หากมีปัญหาอะไรที่รั้งเขาไว้อยู่พวกเราก็จะช่วยได้”
“เข้าใจแล้ว” ผู้อาวุโสพยักหน้า
จํานวนของเทพอสูรนั้นสําคัญมากเพราะมีหลายที่ที่พวกเขาต้องการเทพอสูรไปปกป้อง แต่ว่าประสิทธิภาพนั้นสําคัญยิ่งกว่า
อย่างเช่นปรมาจารย์เคยประจําการอยู่ในด่านล่อง ด่านลู่ถงนั้นคือเมืองด่านที่ใหญ่ที่สุด และความอันตรายของมันนั้นเป็นอันดับหนึ่งของต่านขนาดใหญ่ในราชวงศ์โจวทั้งเซ็ตต่านเลย แต่ว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มันปลอดภัยมากเสียด้วยซ้ํา! มันเปลี่ยนกลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองอย่างมาก รุ่งเรืองพอๆกับเมืองหลวงหรือเมืองหยวนชูเลย
ราชาเทพอสูรนั้นสามารถจัดการเมืองด่านขนาดใหญ่ได้
เทพอสูรที่แข็งแกร่งนั้นจะสามารถทําให้ราชาอสูรที่ซ่อนอยู่หวั่นเกรงได้ ราชาอสูรที่ซ่อนอยู่จะไม่มีวันเปิดเผยตัวออกมา แต่แม้จะระวังตัวมากขนาดนั้น เมื่อมันถูกราขันเทพสอูรพบเข้ามันก็จะ ถูกสังหารอยู่ดี
เมืองด่านขนาดกลางนั้นต้องมีขุนนางเทพอสูรคอยคุม แต่ว่าก็มีขุนนางเทพอสูรเพียงไม่กี่คนจากเมืองหยวนซู ส่วนมากเมืองด่านขนาดกลางจะมีเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยคุมเป็นหลักเสียมากกว่า เมืองด่านขนาดกลางนั้นคืออันที่แย่ที่สุด หากเมืองด่านขนาดกลางทุกเมืองมีเทพอสูรระดับขุนนางคอยคุม มันก็จะปลอดภัยเป็นแน่
แต่โชคร้ายที่ไม่มีขุนนางเทพอสูรมากขนาดนั้น
ทุกๆครั้งที่มีขุนนางเทพอสูรเกิดขึ้นมาก็ยิ่งทําให้เขาหยวนชูมีความสุข ทุกๆครั้งที่มีราชาเทพอสูรเกิดขึ้นก็ทําให้เขาหยวนซูฉลองเลยด้วยซ้ำ! เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งนิกายก็มีราขันเทพอสูรแทบจะไม่ถึงสิบคนเท่านั้น กําลังคนนั้นน้อยมาก
ดังนั้นแล้วจึงต้องให้ความสําคัญกับเหล่าอัจฉริยะอย่างเมิ่งชวนและเขวเฟิงให้ดี
วันที่ 16 สิงหาคม ช่วงเย็น
เมิ่งชวนขัดเกลาหกประสงค์วินาศอีกสามขวด
ดู!
เมิ่งชวนรู้สึกได้ว่าเขาดูดซับหกประสงค์วินาศจนถึงขีดสุดแล้ว แก่นสารแห่งจิตและร่า งของเขาก็หลอมรวมกระแสพลังวินาศเข้ากับหกประสงค์วินาศ
จํานวนที่มากขึ้นก็จะทําให้ประสิทธิภาพดีขึ้น เขาหลอมรวมกระแสพลังวินาศทั้งเก้าเข้าเป็นหนึ่งเดียว และทําให้กลายเป็นกระแสพลังวินาศที่ผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้า
ในที่สุดก็สําเร็จ กระแสพลังวินาศหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาโดยสมบูรณ์ เขาชูนิ้วขึ้น และมีกระแสพลังวินาศสีดําปรากฏขึ้นมาบนปลายนิ้ว นี่คือพลังวินาศหลังจากหลอมรวมเข้ากับหกประสงค์วินาศเข้าไป
“เหลืออีกสองขวดเท่านั้นรึ?” เมิ่งชวนมองดูขวตกระเบื้องทั้งสองขวดข้างๆเขา ปรมาจารย์แม่นยํามาก
ปรมาจารย์ได้ให้เขามา 122 ขวดโดยเผื่อเอาไว้ เขาเชื่อว่ามันจะพอและอาจจะมีส่วนเกินด้วยซ้ำ และมันก็เหลืออีกเพียงสองขวด
“ข้าเมิ่งชวนได้ผ่านจุดขัดเกลาที่เก้าแล้ว ได้เวลาขึ้นเป็นเทพอสูรแล้ว!” ใจของเมิ่งชวนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น