ภาค 6 ผู้กล้ามุ่งสู่แนวหน้า ตอนที่ 117 เต๋าเจี่ยวหลิง
“เป็นภาพวาดที่ดีจริงๆ” หลิวชีเยว่พูดขึ้นหลังจากเมิ่งชวนวาดภาพเสร็จ เธอมองภาพวาดด้วยความประหลาดใจ “อาชวน ตั้งแต่อยู่บนเขาข้าก็เคยเป็นเจ้าวาดภาพหลายครั้ง แต่ถึงภาพนี้มันจะธรรมดา แต่ข้าคิดว่ามันคือภาพที่ดีที่สุดที่เจ้าวาดมาเลยล่ะ”
ภาพวาดสามารถสะท้อนความรู้สึกของคนได้
ภาพเหล่านี้ที่ต่อกันมันทําให้ดูเหมือนมันมีชีวิตขึ้นมา
หลิวชีเยว่เคยเห็นเมิ่งชวนวาดภาพอยู่หลายครั้ง เธอรู้ว่าภาพของเขานั้นงดงามมาก แต่ว่าก็ไม่มีอันไหนเลยที่เหมือนกับภาพนี้
“ใช่” เมิ่งชวนพยักหน้า เขาเองก็ยอมรับว่านี่คือภาพที่ดีที่สุดที่เขาวาดออกมานับตั้งแต่อยู่บนเขาหยวนชูนี้ แก่นสารแห่งจิตของเขาเปล่งแสงออกมาอย่างงดงาม แก่นสารแห่งจิตของเขากําลังเปลี่ยนแปลง มันเริ่มชัดเจนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ชีเยว่ ข้าจะส่งภาพนี้ไปวันนี้ เจ้าอยากจะส่งอะไรไปด้วยไหม?” เมิ่งชวนถาม
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงพ่อ” หลิวชีเยว่กล่าว “รอข้าหน่อย ไม่นานหรอก” พูดจบหลิวชีเยว่ก็ไปนั่งที่โต๊ะและเขียนจดหมายของเธอในทันที
เมิ่งชวนยิ้มและนั่งลงเขียนจดหมายเช่นกัน ภาพวาดนั้นเป็นของขวัญสําหรับพ่อของเขา เขายังมีอีกหลายอย่างที่อยากจะบอกกับพ่อ และเขาเองก็อยากรู้เรื่องราวของที่บ้านด้วยเช่นกัน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็ได้ให้คนรับใช้เตรียมผ้าไหมเพื่อห่อรูปภาพและจดหมาย เขาวางมันลงไปในกระบอกไม้ที่ทําขึ้นมาเอง ข้างในของกระบอกไม้ถูกคว้านออกด้วยลําแสงกระบี่ ทําให้มันเรียบเนียนมาก และตรงปลายก็ปิดด้วยจุก
หลังจากนั้นเขาก็ไปที่คลังสมบัติเพื่อให้เขาหยวนชูส่งกระบอกนี้ไปให้พ่อของเขา เมิ่งต้าเจียงที่อยู่ที่เมืองตงหนิง
“นายท่านเมิ่งชวนไม่ต้องเป็นกังวล มันจะถูกส่งออกไปในคืนนี้ มันน่าจะถึงเมืองตงหนึ่งในบ่ายวันพรุ่งนี้” พ่อบ้านที่คลังสมบัติกล่าวด้วยความอ่อนโยน
จากนั้นเมิ่งชวนก็เดินออกไป
ตอนที่เขาออกไปเขาก็ตรวจสอบแก่นสารแห่งจิตของตน ในทะเลแห่งสติที่กว้างใหญ่ของเขา แก่นสารแห่งจิตก็หยุดเปลี่ยนแปลงแล้ว มันดูเห็นได้ชัดมากกว่าแต่ก่อน เมิ่งชวนคิดว่าแม้ภาพวาดจะไม่ได้ใช้เวลาในการวาดนาน แต่แก่นสารแห่งจิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยกว่าตอนที่เขาวาดภาพ “แสงแดดยามเช้า” เลย!
“เห็นได้ชัดว่าแก่นสารแห่งจิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการวาด มันเปลี่ยนแปลงไปตอนที่ข้าตามหาคําตอบจากตัวตนภายในของข้า” นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์เคยบอกเขาเอาไว้แล้ว ทุกๆครั้งที่เขาตามหาคําตอบจากตัวตนภายใน จิตใจและแก่นสารแห่งจิตก็จะเปลี่ยนแปลง
ยิ่งคําตอบที่เขาตามหานั้นลึกซึ้งมากเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดถึงพ่ออย่างมหาศาลกับยี่สิบปีในชีวิตของเขา การเปลี่ยนแปลงนี้มันเทียบได้กับตอนที่วาด “แสงแดดยามเช้า” เสร็จ ส่วนของ “สรรพชีวิต” นั้นเขาไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เพราะในตอนนั้นเขายังไม่ได้ควบแน่นแก่นสารแห่งจิตเลย แก่นสารแห่งจิตของเขาเกิดขึ้นมาหลังจากที่เขาวาด “สรรพชีวิต” เสร็จเท่านั้น เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้ว่าจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาเท่าไหร่
แม้ว่าแก่นสารแห่งจิตของข้าจะพัฒนาขึ้นแต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมิ่งชวนเข้าใจว่าการที่จะให้แก่นสารแห่งจิตเปลี่ยนไปมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นยากมาก ขอบเขตการรับรู้ของเขาก็ยังกว้างสิบจิ้งเหมือนเดิม ส่วนระยะสัมผัสของเขาก็ยังกว่าหนึ่งตามเดิม และการควบคุมร่างกายและพลังปราณก็เหมือนก่อนหน้า
แต่ก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าอยู่ดี มีเพียงหลังจากที่เขาฝึกฝนแก่นสารแห่งจิตไปจนถึงขีดสุดเท่านั้น มันถึงจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงได้ และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรรีบร้อน
บนยอดเขาเต๋าเจี่ยวหลิง ในเวลากลางคืน
วันที่เมิ่งชวนเป็นเทพอสูรคือวันที่ยี่สิบสิงหาคม และเป็นวันเดียวกันกับวันเต๋าเจี่ยวหลิง
“นายท่านเมิ่งชวนโปรดตามมาทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านของเต๋าเจี่ยวหลิงนําทางไป
ยอดเขาเต๋าเจี่ยวหลิงนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือสําหรับศิษย์ที่ยังไม่ได้เป็นเทพอสูร อีกส่วนสําหรับศิษย์ที่เป็นเทพอสูร
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งชวนไปที่พื้นที่สําหรับเทพอสูร
“นายท่านเมิ่งชวนโปรดรอสักครู่” พ่อบ้านกล่าวยิ้มๆ “ทุกๆครั้งที่มีเทพอสูรกําเนิดใหม่เข้ามาร่วมการชุมนุมจะมีงานฉลองเล็กๆให้ขอรับ ตอนนี้พวกเรากําลังเตรียมตัวกันอยู่ อีกครู่หนึ่งท่านก็ไปได้แล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนรออยู่เฉยๆในห้องโถง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนรับใช้พยักหน้ามาจากไกลๆ พ่อบ้านบอกกับเมิ่งชวน “พวกเราสามารถไปกันได้แล้วขอรับนายท่านเมิ่งชวน”
เมิ่งชวนเดินตามเขาไปที่สวน มีเทพอสูรเกือบสองร้อยคนอยู่ตรงนี้ พวกเขานั่งจัดกลุ่มคุยกันอยู่ และเมื่อเห็นเมิ่งชวนเดินเข้ามาทุกๆคนก็ยืนขึ้นและชูจอกขึ้น
เทพอสูรกับมนุษย์ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก
เทพอสูรมีพลังแปลกๆหลายอย่าง เมิ่งชวนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขามีอัสนีสวรรค์และกระแสพลังวินาศ เหล่าเทพอสูรที่อยู่ตรงนี้แทบทั้งหมดก็ได้เข้าถึงระดับของเจตจํานงกันหมดแล้ว กระแสพลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน
เมื่อทุกคนยืนขึ้นและมองมาทางเขา เมิ่งชวนก็รู้สึกถึงความกดดัน
“นายท่านเมิ่งชวนขอรับ” คนรับใช้คนหนึ่งถือถาดไม้ที่มีจอกเหล้าอยู่ในนั้น มันเติมจนปริ่มจอก
เมิ่งชวนหยิบจอกมา
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน ขอแสดงความยินดีที่ผ่านขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูรได้สําเร็จ” เหล่าเทพอสูรชูจอกขึ้นและแสดงความยินดีกับเขา
“ขอขอบคุณศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิง” เมิ่งชวนยกจอกขึ้นเช่นกัน
จากนั้นพวกเขาก็กระดกดื่มจนหมด
การเป็นเทพอสูรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย! พวกเขาฉลองทุกครั้งที่มีเทพอสูรคนใหม่ นี่เป็นธรรมเนียมของเขาหยวนชูมาหลายรุ่นแล้ว
ศิษย์เทพอสูรหลายคนยิ้มให้เมิ่งชวน ส่วนมากก็นั่งลงและจับกลุ่มคุยกันต่อไป
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน” มีชายสี่คนพร้อมกับผู้หญิงอีกหนึ่งเดินเข้ามาหา
“คารวะศิษย์พี่เฉียวหยง” เมิ่งชวนทักทาย “ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงก็เช่นกัน”
จากห้าคนนั้นเขารู้จักกับเฉียวหยงเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะเฉียวหยงเป็นมิตรกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงไปที่ทางฝั่งศิษย์มนุษย์และไปพูดคุยบ้างบางที
“ข้าชื่อเซิงจาน คารวะศิษย์น้องเมิ่งชวน ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้มีโอกาสคุยกับเจ้า”
“ข้าชื่อเซิงหรูหยู คารวะ…”
เฉียวหยงและศิษย์พี่คนอื่นๆนั้นเป็นมิตรมาก พวกเขาแนะนําเมิ่งชวนให้เทพอสูรบนเต๋าเจี่ยวหลิงทุกคน นี่เองก็เป็นธรรมเนียมของนิกายเช่นกัน
เมื่อเทียบกับศิษย์มนุษย์แล้ว ศิษย์เทพอสูรนั้นเป็นกลุ่มก้อนและสนิทกันมากกว่า นี่ก็เป็นเพราะพวกเขาหลายคนต้องลงจากเขาหลังจากไปถึงระดับแดนอมตะ พวกเขาต้องปกป้องมนุษย์ทั่วทั้งโลก! บางคนอาจไม่มีโอกาสได้กลับมาเลยด้วยซ้ำ
“หลังจากที่เป็นเทพอสูรแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักหรอก” เฉียวหยงกล่าว “แต่ว่าก็มีสิ่งที่เจ้าต้องจําเอาไว้ อย่างแรก เทพอสูรทุกคนต้องเข้าร่วมเต๋าเจี่ยวหลิงทุกครั้งที่มีเทพอสูรใหม่ อย่างที่สอง ในวันที่ศิษย์เทพอสูรจะลงจากเขาหลังจากผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้แล้ว ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆจะต้องไปส่งพวกเขา สาม เมื่อศิษย์เทพอสูรตายในการต่อสู้ ชื่อของพวกเขาจะถูกจารึกลงที่เขาแดงโลหิต เจ้าจะต้องไปอยู่ที่นั่นด้วย นี่เป็นข้อกําหนด ยกเว้นว่าจะมีเหตุจําเป็น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
สามเรื่องนี้สําคัญสําหรับศิษย์เทพอสูณมาก การได้เป็นเทพอสูร ลงจากเขา และตายในการต่อสู้
“ศิษย์น้องเมิ่ง ไปกันเถอะ ได้เวลาไปแนะนําตัวให้ศิษย์คนอื่นๆแล้ว” เซิงหรูหยู หญิงสาวเพียงคนเดียวกล่าวขึ้น ศิษย์พี่ทั้งห้าคนพาเมิ่งชวนไปรอบๆ พวกเขานั่งดื่มและพูดคุยทําความรู้จักกัน
“ศิษย์พี่หวางดูแลข้าดีมาก เขามักจะช่วยเหลือข้าในด้านวิชากระบี่ พวกเราฝึกวิชากระบี่บนยอดนานากระบี่มาสามปี” ศิษย์เทพอสูรที่ดูหมดกําลังใจคนหนึ่งพูดพร้อมกับดื่ม “หลังจากที่เขาลงจากเขาไป เขาก็ไปประจําการที่เมืองด่านอยู่สามปีอย่างสงบ แต่ในตอนที่เขากลับไปที่เมืองของตนก็ถูกราชาอสูรลอบสังหารจนตายไป”
“เมืองด่านเป็นสนามรบที่อันตราย แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมืองที่ดูจะปลอดภัยอาจจะมีราชาอสูรแทรกซึมอยู่ก็ได้”
“มีราชาอสูรบางตัวที่ลอบแฝงตัวอยู่ในเมืองมนุษย์ ปกติแล้วขุนนางเทพอสูรกับราชันเทพอสูรจะลาดตระเวนเพื่อสังหารราชาอสูรพวกนั้น และพวกราชาอสูรพวกนั้นจะมีแรงจูงใจบางอย่างก่อนจะทําอะไร”
“ศิษย์น้องลู่อย่าเศร้าใจไป ทุกคนรู้ว่าพวกเราอาจจะตายหลังจากที่ลงจากเขา ข้าคิดว่าศิษย์พี่หวางคงจะเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว” ศิษย์เทพอสูรคนอื่นๆกล่าว
ศิษย์เทพอสูรที่กําลังท้อแท้ส่ายหน้าและกล่าว “ข้าแค่รู้สึกแค้นใจแทนศิษย์พี่หวางเท่านั้น หลังจากที่ออกมาจากสนามรบเขาก็พึ่งจะได้แต่งงานยังไม่มีลูกด้วยซ้ำ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ เขาก็พึ่งส่งจดหมายมาหาข้าบอกว่าเขาจะไปถึงขอบเขตมหาสุริยันในอีกสองปี! หากเขาไปถึงขอบเขตมหาสุริยันแล้วราชาอสูรนั่นคงทําอะไรเขาไม่ได้ อีกเพียงสองปีเท่านั้น! แต่เพราะสองปีนั้นจึงทําให้เขาต้องเสียชีวิต! ศิษย์พี่หวางมาจากตระกูลธรรมดา การที่เขาฝึกฝนได้ถึงระดับนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันช่างปวดใจเสียจริงๆ”
ศิษย์คนอื่นๆพยายามปลอบโยนเขา แต่ว่าเขาหยวนชูก็มีคนเสียชีวิตทุกปี แต่ว่าศิษย์คนนี้สนิทกับศิษย์พี่หวางมาก เขาจึงเศร้ายิ่งกว่าใคร
“ทุกคน” เฉียวหยงและคนอื่นๆพาเมิ่งชวนไปหา “นี่คือศิษย์น้องเมิ่งชวน”
เทพอสูรที่นั่งจับกลุ่มยืนขึ้นในทันใด
“ศิษย์น้องเมิ่งชวน พวกเราได้ยินเรื่องราวของเจ้าที่ผ่านการขัดเกลาจุดที่เก้ามานานแล้ว”
“ศิษย์น้องเมิ่ง ข้าชื่อหลิวเหอโจว”
พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน
“ศิษย์น้องลู่ฟาง” เฉียวหยงถาม เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” สู่ฟางยืนขึ้นและมองไปที่เมิ่งชวน เขาชูจอกขึ้นและกล่าว “ศิษย์น้องเมิ่งชวน เจ้าบรรลุร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และยังเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ เจ้าคือคนที่แกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา ในอนาคต เจ้าต้องสังหารราชาอสูรให้ได้มากๆและแก้แค้นให้ศิษย์ของเราด้วย”
“ข้าฝึกฝนมาก็เพื่อสังหารอสูร” เมิ่งชวนกล่าว
“ดี” ใจของลู่ฟางสั่นไหวขณะชูจอกขึ้น “ใช่แล้ว พวกเราฝึกฝนก็เพื่อสังหารอสูร คําพูดนี้เป็นคําพูดที่น่าชื่นชม ชน”
” ชน” คนอื่นๆทําตามลู่ฟาง