ตอนที่ 123 สามเดือน
แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่อุณหภูมิในลานฝึกของถ้ำก็ค่อนข้างต่ำ
เมิ่งชวนยืนอยู่เฉยๆ และจู่ๆเขาก็ชักกระบี่ออกมา ลําแสงกระบี่เปลี่ยนเป็นสายฟ้า
เมิ่งชวนส่ายหน้าเล็กน้อยกับการโจมตีครั้งนี้ “การโจมตีครั้งที่สองของศิษย์พี่เกาเค่อสามารถควบแน่นสายฟ้าได้ถึงขีดสุด สายฟ้าที่สามารถตัดผ่าอากาศก่อให้เกิดช่องว่างที่บิดเบี้ยว ขนาดระยะทางที่ไกลกว่าสิบยั้งยังลดลงมาเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งจั้งเลย ด้วยความที่สามารถเปลี่ยนระยะทางได้ขนาดนั้น การโจมตีมันจะไปถึงเป้าหมายได้ไวขึ้นหลายสิบเท่าเลย ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางของการโจมตีนั้นยากที่จะจับจุด การโจมตีของเขานั้นน่าสะพรึงมากกว่าของข้ามากนัก
“ข้ากลัวว่าข้าคงจะตายจากการโจมตีของศิษย์พี่เกาเค่อ”
ศิษย์พี่เกาเค่อได้ใช้ท่าดวงใจกระบี่ที่แตกต่างกันห้าแบบ แบบแรกนั้นเรียบง่ายมากที่สุด ในตอนนั้นเพียงแค่ได้มองเขาก็เข้าใจถึงเก้าส่วน หลังจากพิจารณาอยู่พักหนึ่งเขาก็เข้าใจจนหมดแบบที่สามนั้นเหนือกว่าระดับของเขาไปแล้ว เขาไม่เข้าใจมันเลยซักนิด! แบบที่สี่และห้านั้นก็เหนือกว่ามากเกินไป
มีเพียงท่าที่สองของดวงใจกระบี่ที่เขาสามารถจะทดลองศึกษาดูได้
“ต้องยั้งมือมากกว่านี้ตอนโจมตีรึ?” เมิ่งชวนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะแกว่งดาบออกไป ขอบเขตสิบจั้งของเขาทําให้เขาสามารถเห็นวิชากระบี่ของตนได้อย่างชัดเจน เขาส่ายหัวด้วยความไม่พอใจและฝึกฝนต่อไป
เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนจนลืมวันและเวลา เขาฝึกฝนต่อไปโดยไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ
ในอดีตเขาได้แต่ใช้เพียงตัวอักษรและภาพในการฝึกฝนดวงใจกระบี่ แต่ในตอนนี้มรดกทั้งหมดถูกฝังลงเข้าไปในใจของเขาแล้ว เขามีหลายสิ่งที่อยากลอง
บางคนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนก็สําเร็จหลังจากที่ได้ทําซ้ำๆหลายๆรอบ
ทุกๆครั้งที่เขาทําสําเร็จ วิชาดาบที่พัฒนาขึ้นของเขาก็ทําให้เขาเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าวิชากระบี่ของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นและมีความรู้มากขึ้น ความรู้สึกนี้ทําให้เขามีกําลังใจ
วันเวลาผ่านไป…
ตอนนี้ในใจของเมิ่งชวนมีแต่วิชากระบี่ เขาคิดถึงวิชากระบี่ตอนกินข้าว ตอนถูกหลิวชีเยว่บังคับให้อาบน้ำเขาก็ยังคงคิดถึงวิชากระบี่ เขาคิดถึงวิชากระบี่กระทั่งตอนก่อนนอน
กระทั่งการวาดรูปประจําวันเขายังลืมเลย! เขาลืมฝึกฝนปราณทุกวันอีกต่างหาก! ทุกอย่างนั้นถูกโยนทิ้งออกจากใจของเขาหมด…
หากไม่กินหรือนอนเขาก็จะฝึกกระบี่
“ปกติอาชวนจะพูดคุยกับข้าระหว่างกินข้าวเย็น แต่ช่วงนี้ระหว่างกินข้าวเขาพูดน้อยมาก” หลิวชีเยว่เห็นเมิ่งชวนรีบไปที่ลานฝึกเพียงคนเดียวหลังจากกินอาหารเสร็จ เธอได้แต่ยิ้มออกมา ช่วงนี้เธอไม่ได้เห็นเมิ่งชวนหมกมุ่นมากขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกมีความสุข เธอรู้ว่านี่เป็นเวลาสําหรับเยิ่งชวนที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เขาจะถูกขัดไม่ได้
” ท่านหญิงหลิวชีเยว่ มีคนอยากพบท่านขอรับ” พ่อบ้านหลิวกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“เอ๋?” หลิวชีเยวไปที่หน้าถ้ำและพบกับชายมนุษย์วัยกลางคน เขาพูดอย่างนอบน้อม “ท่านหญิงหลิวชีเยว่ ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญให้ท่านไปที่ผาแดงโลหิตในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ นามของเทพอสูรฉางหยงจะถูกจารึก”
” ศิษย์พี่ฉางหยงตายแล้วรึ?” หลิวชีเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
การจารึกชื่อลงบนผาแดงโลหิตนั้นหมายถึงความตายของเทพอสูร ชื่อจะถูกสลักไว้เพื่อเหล่าศิษย์จะได้ไว้อาลัย
ในวันที่ 28 ของทุกๆเดือน เทพอสูรของเขาหยวนชูที่ตายในการต่อสู้ในเดือนนั้นจะถูกสลักชื่อลงบนผาแดงโลหิต
” เดือนนี้ไม่มีชื่อของเทพอสูรคนอื่นถูกสลักบนผาแดงโลหิตใช่ไหม?” หลิวชีเยว่ถามอีกครั้ง
“ขอรับ มีเพียงเทพอสูรฉางหยง” เมื่อพูดจบ ชายวัยกลางคนก็จากไปอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่ฉางหยง… หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย” เธอรู้จักชื่อของศิษย์บนเขาหยวนชูทุกคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์พี่ฉางหยงเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน ปีนี้เขาอายุ 152 ปีแล้ว การที่เขาตายในการต่อสู้ตอนอายุเท่านี้ ก็เรียกได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาได้นานเมื่อเทียบกับเทพอสูรคนอื่นๆ
หลิวชีเยว่รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องดูการสลักชื่อของศิษย์ที่ต้องตายในสนามรบ แต่ว่าหลังจากผ่านมาหลายปีเธอก็เริ่มชิน
ทุกๆปีมีเทพอสูรที่ตกตายไปในสนามรบ มีตั้งแต่นิดหน่อยไปจนถึงสามสิบคน เธอเข้าร่วมวันสลักชื่อมาหลายวันแล้ว ดังนั้นเธอจึงสามารถรับได้อย่างใจเย็น
“อาชวนกําลังฝึกฝนวิชากระบี่อย่างบ้าคลั่ง และเขาก็บอกว่าเขาจะถูกรบกวนไม่ได้” หลิวชีเยว่มองไปที่ห้องฝึกที่อยู่ไกลๆ เมื่อมองเข้าไปเธอก็เห็นเมิ่งชวนกําลังนั่งอยู่ขึ้นๆ “ข้าจะบอกเขาไม่ได้”
ไม่ไปเข้าร่วมการสลักชื่อที่ผาแดงโลหิตสักครั้งสองครั้งก็ไม่ใช่ปัญหาสําหรับมนุษย์ชาติ แต่การหยุดการฝึกฝนที่บ้าคลั่งของเมิ่งชวนจะทําให้เขาฝึกได้ช้าลงอย่างมาก ดังนั้นปรมาจารย์จึงสั่งไว้ว่าไม่จําเป็นต้องไปเข้าร่วมสิ่งใดๆ
เมิ่งชวนนั่งนิ่งอยู่ในลานฝึก แต่ในใจของเขานั้นคิดอยู่ตลอดเวลา แม้จะดูราวกับว่าเขากําลังสับสนก็ตาม เมื่อผ่านไปสิบนาทีเขาก็ยืนขึ้น หลังจากใช้วิชากระบี่ไปครั้งสองครั้งเขาก็นั่งลงและครุ่นคิดต่อไป
เขาฝึกกระบี่จิตพิสุทธิ์มาเกือบสิบเอ็ดปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมรดกผ่านเจตจํานง มีอะไรหลายๆอย่างที่ยังต้องยืนยัน
วันเวลาผ่านไป และเขาก็เข้าใจมันได้มากขึ้น! วิชากระบี่ของเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
23 กรกฎาคม
เมิ่งชวนชักระบี่ออกมา ลําแสงกระบี่เปลี่ยนเป็นสายฟ้าที่สว่างจ้า ในตอนนั้นเอง ลําแสงกระบี่ที่ถูกรั้งเอาไว้ก็ทําให้สายฟ้านั้นสว่างยิ่งกว่าเดิม เมิ่งชวนสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากช่องว่างเล็กน้อยผ่านกระบีของเขา เขาตามความผันผวนที่อยู่ใกล้กับเป้าหมายของเขามากที่สุดไปและโจมตี ทําให้ลําแสงกระบี่นั้นเคลื่อนที่ไปหลายจั้งในพริบตา
แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง แต่ว่าระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายนั้นดูจะสั้นลงอย่างมากเพราะความผันผวนในช่องว่าง
“ช่างมหัศจรรย์” เมิ่งชวนมีความสุขอย่างท่วมท้นหลังจากฟันออกไป
มันเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ มันเป็นการมุ่งจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง หากเดินอ้อม การเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งก็อาจจะใช้ระยะทางถึงสิบลี้! แต่หากเดินทางเป็นเส้นตรง ก็อาจจะต้องเดินทางเพียงสองเท่านั้น! แม้ผลจะเหมือนกัน แต่ระยะเวลาที่จะไปถึงผลลัพท์นั้นต่างกัน
เช่นเดียวกันกับการฟันของเมิ่งชวน เมื่อมองด้วยตาเปล่า เป้าหมายนั้นดูจะอยู่ไกลสามสี่จั้ง แต่ว่าเมื่อเขาโจมตีผ่านความผันผวนแปลกๆของช่องว่างมิติ ระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายก็ลดลงเหลือเพียงหนึ่งจั้งเท่านั้น
ยิ่งพลังที่เขาใส่ลงไปมากเท่าไหร่ สายฟ้าก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถส่งผลต่อช่องว่างมิติได้เลยด้วยซ้ำ สําหรับเทพอสูรธรรมดาแล้ว มิตินั้นเป็นสิ่งที่เสถียร แต่เมื่อเขาควบแน่นพลังไปถึงจุดๆหนึ่ง ช่องว่างมิติก็จะบิดเบี้ยว ระยะทางระหว่างเขาและเป้าหมายก็จะเปลี่ยนแปลงไปและหากตามความผันผวนที่อยู่ใกล้ที่สุดไป เขาก็จะอยู่ใกล้กับเป้าหมายมากขึ้น
เกาเค่อสามารถย้ายการโจมตีของเขาที่อยู่ไกลหลายสิบปิ้งให้มาอยู่เพียงปลายนิ้วของเขาได้การควบคุมพลังในการโจมตี การควบคุมความแข็งแกร่ง และการควบคุมพลังปราณของเขานั้นดีกว่าเมิ่งชวนหลายสิบเท่า
ตอนนี้เมิ่งชวนพึ่งจะเรียนรู้กระบี่จิตพิสุทธิ์ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
“เพราะว่าข้าสามารถทําให้ช่องว่างมิติเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก็เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง จากตําราที่อ่านมา ข้าได้รับจิตวิญญาณกระบีขั้นสูงมาแล้ว” เมิงชวนพยักหน้าเล็กน้อย
เมิ่งชวนไม่ได้คิดมากในความสําเร็จของเขา กลับกัน เขาเริ่มฝึกฝนต่ออย่างต่อเนื่องเพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากลอง เขายังไม่อยากเสียสมาธิเพียงเพราะท่าดวงใจกระบี่ เขายังทดลองเข้ากับท่านางแอ่น ท่ามังกรคําราม ท่าสมิงคํารน ท่าบัวแดง และท่ามหาหยินอีกด้วย เขายังมีอีกหลายความคิดที่ต้องทดลอง
ในชั่วพริบตา ก็ผ่านพ้นไปถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เมิ่งชวนกลับเป็นเหมือนเดิมในวันที่ 19 กันยายน
เขาได้ทดสอบความคิดทุกอย่างที่มีในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาจนหมด บางความคิดก็ไปผิดทาง ในขณะที่บางอย่างก็มีประโยชน์มหาศาล เขาค่อนข้างจะพึงพอใจในการเข้าถึงจิตวิญญาณกระบี่ระดับสูง มันไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงจุดสูงสุดของจิตวิญญาณกระบี่ แน่นอนว่ามันยากยิ่งกว่าในการจะผ่านจากจุดสูงสุดของวิญญาณกระบี่ขึ้นไปเป็นระดับเด็กระบี่ เทพอสูรระดับมหาสุริยันมากมายทําไม่ได้ไปชั่วชีวิต
“วิเศษ” เมิ่งชวนยืดเส้นอยู่ที่ลานฝึก “ได้เวลาที่ข้าจะขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันแล้ว หลังจากข้าผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้ ข้าจะได้ลงจากเขา”