ตอนที่ 131 ผู้กล้าแห่งทุกแนวหน้า
ตก
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวต่างเป็นที่สนใจของอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้น พวกเขาต่างได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสวรรค์ ข่าวที่ทั้งสองคนผ่านถ้ําเก้าปริศนาและกําลังจะลงจากเขาแพร่กระจายกันไปอย่างรวดเร็ว
ในวันที่ 21 ตุลาคม เมิ่งชวนและหลิวชีเยวชวนศิษย์ทั้งหลายมาร่วมงานเลี้ยง
“ข้าขอดื่มแสดงความยินดีด้วย” เหยียนจินที่นั่งอยู่คนเดียวในงานเลี้ยงชวนเพิ่งชวนและหลิวชีเยวมาดื่มด้วย
เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินไปกับเขา
“ตอนข้าอายุสิบห้า ข้าได้ไปที่เมืองตงหนิงและพบกับพวกเจ้าทั้งคู่ เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว” เหยียนจินดื่มสุราจอกใหญ่เข้าไปก่อนจะเติมมันอีกครั้ง เขามองไปที่เพิ่งชวนด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้าเหยียนจิน ในชีวิตนี้มีเพื่อนเพียงน้อยนิด! และพวกเจ้าทั้งสองเป็นเพื่อนของข้า”
เพิ่งชวนยิ้มในขณะที่หลิวชีเยว่ฟังเงียบๆ
เพิ่งชวนและเหยียนจินสนิทกันมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนิทกันขนาดนั้น แต่พวกเขาก็เคยผ่านการต่อสู้เสียงเป็นเสียงตายมาแล้วด้วยกัน พวกเขาคือเพื่อนเพียงสองคนบนเขาหยวนชูของเหยียนจิน
“หลังจากลงจากเขาแล้วก็จะเต็มไปด้วยการนองเลือด มีแต่การต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” ดวงตาของเหยียนจินดูขึ้นน้ําตานิดๆในขณะที่มองไปที่เพิ่งชวนและหลิวชีเยว่ “ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งคู่จะมีชีวิตรอด! ข้าหวังว่าซักวันหนึ่งพวกเราทั้งสามจะเข้าสู่สนามรบเดียวกัน”
“ได้สิ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราทั้งสามจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครั้ง”
“เรามาต่อสู้ไปด้วยกันเถอะ” หลิวชีเยว่กล่าวอย่างมีความหวัง
ในปีนั้นที่สวนหินร้างในเมืองตงหนิง พวกเขาได้ต่อสู้ไปด้วยกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เหยียนจินหัวเราะ “วันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน มาเถอะ หมดจอก”
อย่างน้อยในตอนนี้เหยียนจินก้มีความสุข เขาอาจจะไม่ได้มีเพื่อนมาก แต่มันก็ทําให้เขาให้คุณค่ากับเพื่อนที่มีอยู่
” หมดจอก” เมิงชวนและหลิวชีเยวร่วมด้วย
ในตอนบ่าย เหล่าศิษย์ได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เหล่าคนรับใช้ก็กําลังทําความสะอาดเครื่องครัว
เพิ่งชวนและหลิวซีเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าถ้ําพักอาศัย มองดูพื้นหิมะที่เต็มไปด้วยรอยเท้า
“พี่เฉียนหยุไม่มาอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนถาม
“ใช่” หลิวชีเยวพยักหน้า “เขาไม่มา ข้าไปชวนเขาด้วยตัวเองแต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้”
“ไปเยี่ยมเขากันเถอะ” เมิ่งชวนกล่าว “ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เจอกับเขาอีกครั้ง”
” ตกลง” หลิวชีเยวพยักหน้า
ทั้งคู่เดินผ่านพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและไปที่ถ้ําของเฉียนหยู มีพ่อบ้านคอยดูแลหน้าถ้ําของเฉียนหยูอยู่
“นายท่านเมิงชวน ท่านหญิงหลิวชีเยว่” พ่อบ้านทักทายอย่างสุภาพ
“บอกพี่เฉียนหยุที่ว่าข้ากับเมิ่งชวนมาเยี่ยม” หลิวชีเยว่กล่าว
“ขอรับ ข้าจะบอกให้ แต่ว่านายท่านอาจไม่ต้องการที่จะพบกับพวกท่าน” พ่อบ้านพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่เป็นไร แค่บอกเขาก็พอ” หลิวชีเยว่กล่าว
พ่อบ้านพยักหน้าและเข้าไปในถ้ํา
ครู่หนึ่งพ่อบ้านก็กลับมาที่ประตูด้วยท่าทางขมขื่น เขาส่ายหน้าเบาๆ “ในตอนนี้นายท่านเอาแต่ดื่มเขาไม่สนใจอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น”
เมิงชวนและหลิวชีเยวมองหน้ากัน หากไม่ได้รับอนุญาติพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ทําได้เพียงจากไปอย่างช่วยไม่ได้
“น้องเมิ่งชวนกับน้องหลิวซีเยวผ่านถ้ําเก้าปริศนาแล้ว พวกเขากําลังจะลงจากเขารึ?” เคราของเฉียนหยุรกรุงรัง ผมของเขากระเซอะกระเซิงดูไร้เรี่ยวแรงในการใช้ชีวิต ในตอนนี้เขากอดขวดสุรานั่งพิงกําแพง เขาพึมพํา “ข้ายังจําได้ เมื่อเก้าปีก่อนข้าลงจากเขาด้วยความมุ่งมั่น แต่ในตอนนี้ข้าเป็นแค่คนพิการ ตันเถียนหมดปราณ ใช้กระทั่งวิชาเกาทัณฑ์ไม่ได้ด้วยซ้ํา”
“ข้าต้องพึ่งแต่พลังของร่างเทพอสูรเพียงเท่านั้นอย่างนั้นรึ? พลังของข้าอ่อนแอกว่าพลังของเทพอสูรระดับแดนอมตะซะอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ลูกดอกที่ยิงออกไปด้วยกําลังเพียงอย่างเดียวมันไม่มีอะไรที่พลิกแพลง ราชาอสูรหลบมันได้ง่ายๆอยู่แล้ว! ข้าเทียบกับนักเกาทัณฑ์ระดับแดนอมตะไม่ได้ด้วยซ้ํา นี่ข้าจะต้องเป็นเพียงเทพอสูรเกาทัณฑ์ที่พึ่งกําเนิดอย่างนั้นรึ?”
“ฮ่าๆๆ เทพอสูรที่พึ่งกําเนิดไม่เป็นที่ต้องการในสนามรบด้วยซ้ํา ข้ามันพิการ ทําอะไรไม่ได้แล้ว พี่ชายพี่สาว พวกท่านทุกคนทิ้งข้าไป ทิ้งข้าไว้คนเดียวบนโลกใบนี้ ข้าแก้แค้นให้พวกท่านไม่ได้ด้วยซ้ําเพราะข้ามันพิการ แล้วข้าจะทําอะไรได้? แล้วข้าจะทําอะไรได้” เฉียนหยดื่มสุรารู้สึกสิ้นห
นักเกาทัณฑ์สามารถยิงลูกดอกได้ไกลกว่าหนึ่งลี้ ลูกดอกที่เร็วและคาดเดาไม่ได้ แม้ราชาอสูรจะเห็นมัน แต่ทิศทางของลูกดอกก็สามารถเปลี่ยนไปได้ ทําให้มันหลบได้ยาก!
หากยิงลูกดอกออกไปด้วยพละกําลังเพียงอย่างเดียว ทิศทางของลูกดอกก็จะถูกจํากัดเพราะไม่มีพลังปราณอยู่ในนั้น! ราชาอสูรสามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย มันไม่เป็นอันตรายเลยซักนิด!ด้วยพละกําลังที่มีของเขาตอนนี้ เขาก็ทําได้แค่เป็นเพียงภาระบนสนามรบ
“แล้วข้าจะทําอะไรได้อีก? ข้าจะไปทําอะไรได้?” เฉียนหยุดื่มสุราในน้ําเต้า
เย็นวันนั้น ผู้อาวุโส ไปเยี่ยมเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่
“พวกเจ้าทั้งสองน่าจะได้ไปที่เมืองด่านขนาดกลาง” ผู้อาวุโสอีกล่าว “พวกเจาทั้งคู่นั้น แข็งแกร่งมากในหมู่เทพอสูรระดับมหาสุริยัน การส่งพวกเจ้าไปที่เมืองด่านขนาดกลางจะทําให้พวกเจ้าใช้พลังที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้า
พวกเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว พวกเขาต่างรู้ดีในสถานการณ์ของเมืองด่านหลายๆเมี องรอบโลกมนุษย์เมืองด่านขนาดเล็กและใหญ่นั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่เมืองด่านขนาดกลางส่วนมากนั้นไม่มีเทพอสูรเฟิงโหวอยู่ ส่วนมากก็มีเทพอสูรระดับมหาสุริยันคอยคุ้มกัน! ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังขาดกําลังคน
อย่างศิษย์พี่เฉียนหยูที่ประจําการอยู่ที่ด่านหุยชานตอนที่ถูกบุก ในการบุกครั้งนั้นมีราชาอสูรระดับสามบุกเข้ามาและคนที่มีหน้าที่ป้องกันคือเทพอสูรระดับมหาสุริยัน พวกเขามีพลังที่ใกล้เคียงกันมาก! แรงกดดันในเมืองด่านขนาดกลางนั้นมากอย่างแน่นอน
เมืองด่านหลายเมืองต่างต้องการคนที่แข็งแกร่งอย่างเพิ่งชวนและหลิวซีเยว่
“พวกเจ้าอยากขออะไรไหม?” ผู้อาวุโสอีกล่าว “อย่างเมืองด่านไหนที่พวกเจ้าอยากไป”
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวมองหน้ากัน เมิ่งชวนกล่าว “พวกเราไม่มีคําขออะไรเป็นพิเศษ แค่จัดให้ศิษย์ได้อยู่เมืองด่านเดียวกันก็พอแล้วขอรับ”
“ถ้าเป็นไปได้” หลิวชีเยว่กล่าว ” ขอให้ได้อยู่ใกล้เมืองตงหนิงหน่อยเจ้าค่ะ”
“ได้สิ ข้าเข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ การจะจัดให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก”ผู้อาวุโสอีกล่าว “ส่วนการให้อยู่ใกล้เมืองตงหนิงน่ะหรือ? พวกเราต้องดูสถานการณ์ในเมืองด่านหลายๆเมืองก่อนที่จะตัดสินใจ”
“ขอรับ หากไม่ได้จริงๆ ถึงจะอยู่ห่างจากเมืองเกิดก็ไม่เป็นไรขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว หลิวชีเยวพยักหน้า
“คนหนึ่งมีร่างเทพอสูรตัดสายฟ้า อีกคนหนึ่งเป็นนักเกาทัณฑ์ที่มีร่างเทพวิหคเพลิง พวกเจ้าทั้งคู่จะทําประโยชน์ได้มากเป็นแน่” ผู้อาวุโสอีกล่าว “เขาหยวนชูยังต้องการคนไปป้องกันเมืองด่านหลายๆเมืองอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจในสถานการณ์ของเมืองด่านแต่ละเมืองนั้นสําคัญมากคงจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนถึงจะได้คําตอบ”
“มีเวลาอีกมากมาย ไม่จําเป็นต้องรีบไปขอรับ” เมิ่งชวนกล่าว
“เอาล่ะ เมื่อพวกเราตัดสินใจได้ว่าจะส่งพวกเจ้าไปที่ไหน พวกเราจะแจ้งให้เจ้าทั้งสองทราบ”ผู้อาวุโสี่ยื่นขึ้นและทั้งคู่ก็เดินไปส่งเขา
“เมื่อลงจากเขาไปก็ระวังตัวให้ดี สังหารศัตรูในตอนที่เจ้ามั่นใจว่าจะปลอดภัย!” ผู้อาวุโสอีกล่าว “ต้องมีชีวิตรอดเท่านั้นเจ้าถึงจะทําประโยชน์ได้มากกว่าเดิม”
เพิ่งชวนและหลิวชีเยวพยักหน้าก่อนส่งผู้อาวุโสอีกลับ
“ตอนนี้พวกเราได้แต่ต้องรอ” เมิ่งชวนกล่าว
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่เมืองไหน” หลิวชีเยวตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน
ใจของเมิ่งชวนพุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขาเริ่มฝึกกระบี่ตั้งแต่อายุหกขวบนี่ก็ผ่านมาแล้วถึงยี่สิบสามปี! ยี่สิบสามปีของการฝึกฝนที่สร้างเทพอสูรระดับมหาสุริยันที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าพร้อมกับวิชากระบี่ที่กล้าแข็ง
ยี่สิบสามปีในการตีกระบี่เล่มคม คราวนี้ กระบี่เล่มนี้จะลงจากเขาเพื่อดื่มเลือดศัตรู! ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ของเมิ่งชวนพลุ่งพล่าน หลังจากพบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อตอนหกขวบหลังจากที่เจออสูรบุกเมืองตงหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นภาพของเทพอสูรนับหมื่นบนผาแดงโลหิตรวมไปถึงความเจ็บปวดของเฉียนหยู เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยแต่ว่าแรงใจในการต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!
เพิ่งชวนไปที่ห้องหนังสือเขาอดใจที่จะไม่สะบัดพู่กันลงบนผืนผ้าใบไม่ได้แล้ว
เขาวาดเทือกเขายาวใหญ่ เขาหยวนชู มันเก่าแก่และดูงดงาม เทพอสูรต่างลงจากเขาและไปทั่วทุกที่บนโลก
เพิ่งชวนนึกถึงภาพของเหล่าเทพอสูรมากมายที่ผาแดงโลหิต เทพอสูรเหล่านั้นฝึกฝนสําเร็จและลงจากเขาไปด้วยความมุ่งมั่น เมิงชวนอยากวาดพวกเขาทุกคน เขาวาดทุกคนด้วยความตั้งใจเช่นเดียวกับเชวเฟิง เฉียนหยูและคนอื่นๆที่เขารู้จัก
เหล่าผู้กล้านับไม่ถ้วนที่แนวหน้า
มนุษย์ชาติจะคงอยู่ตลอดไป
ยิ่งเพิ่งชวนวาดไปมากเท่าไหร่ ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ก็มากขึ้นเท่านั้น