ตอนที่ 125 ความดื้อรั้นของเหยียนจิน
ฝนยังคงโปรยปรายในขณะที่เมิ่งชวนและเทพอสูรคนอื่นๆ เดินลงจากเขาด้วยความเงียบงัน
หลังจากที่ได้เห็นสภาพศิษย์พี่เฉียนหยูและที่เจ้าเขาสลักชื่อแต่ละชื่อด้วยตัวเอง นั่นทําให้ในใจของทุกคนนั้นหนักอึ้ง
“เฮ้อ” ศิษย์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาและทุบลงไปที่โขดหินข้างๆเขา หินที่กว้างกว่าหนึ่งยั้งได้สลายหายกลายเป็นฝุ่นในทันที เขากัดฟันกรอดและพูด “น่าโมโหยิ่งนัก ถ้าข้าอยู่ที่นั่น พวกเราคงจะได้สังหารราชาอสูรพวกนั้นไปพร้อมกันแล้ว!”
“ถ้าเจ้ายังแข็งแกร่งไม่พอ ที่เจ้าทําก็มีเพียงส่งตัวเองไปตาย” เทพอสูรหญิงที่อยู่ข้างๆเขาพูดเรียบๆ
“ถ้าข้าคนเดียวไม่พอ แต่สิบยี่สิบก็คงจะเพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้เ” เทพอสูรคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “พลังของข้าในตอนนี้อาจจะยังเทียบไม่ได้ แต่ในอนาคตมันจะเพียงพอ หากในตอนนี้ข้าไม่มีความกล้าพอ ข้าจะฝึกฝนเพื่อเป็นเทพอสูรไปทําไมกัน?”
เทพอสูรหญิงคนนั้นกล่าวเรียบๆ “ข้าแค่อยากให้เจ้าใจเย็นลงและเข้าใจความแตกต่างของพลัง”
” หยุดเถียงกันเถอะ” เมิ่งชวนกล่าว “ฝึกฝนกันให้ดีตอนที่อยู่บนเขา เมื่อเราแข็งแกร่งพอแล้วพวกเราก็จะสามารถสังหารราชาอสูรที่มากกว่านี้ได้หลังจากที่ลงจากเขาไปแล้ว”
ศิษย์เทพอสูรทั้งสองคนไม่ได้เถียงกันต่อหลังจากที่เมิ่งชวนพูดออกมา ในหมู่ศิษย์ที่ยังอยู่บนเขา เมิ่งชวนนั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดและใครๆก็ต่างรู้จักว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ เขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียงมากทีเดียว
หลังจากลงเขาไปแล้ว เหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
“พี่เหยียน” หลิวชีเยว่ที่เดินอยู่ข้างๆเมิ่งชวนตะโกน
เหยียนจินหยุดฝีเท้าด้วยความงุนงง
” พี่เหยียน อาชวนกับข้ามีอะไรจะบอกกับเจ้า” หลิวชีเยว่กล่าว
“หืม? มีอะไรอย่างนั้นรึ?” เหยียนจินถาม ช่วงนี้เขาฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งและไม่ค่อยได้ออกมาสู่สังคมซักเท่าไหร่นัก คนที่สนิทกับเขามากที่สุดก็มีแค่เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่ เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาต่างก็มาจากเมืองตงหนิง
“อาชวนกับข้าจะลงจากเขาในปีนี้” หลิวชีเยว่กล่าว
“เร็วขนาดนั้นเลยรึ?” เหยียนจินประหลาดใจ
เมิ่งชวนเองก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เร็วๆนี้พวกเราจะผ่านขึ้นไปสู่ระดับมหาสุริยันแล้ว! เมื่อถึงเวลา พวกเราจะผ่านถ้ำเก้าปริศนาและลงจากเขากัน”
“งั้นก็ยินดีด้วย” เหยียนจินยิ้ม” ข้าคงจะต้องใช้เวลามากกว่าพวกเจ้า ข้าว่าข้าคงต้องใช้เวลาอีกสองสามปี”
” พอเราผ่านถ้ำเก้าปริศนาได้แล้ว พวกเราจะจัดงานเลี้ยงและชวนเพื่อนมาร่วมด้วยหลายคน” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ เขามีหลายอย่างที่อยากจะบอกกับเหยียนจิน แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไป
พวกเขาต่างเป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน มีเพียงเมิ่งชวน ชีหยวนถง และเหยียนจินเท่านั้นที่ฝึกร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษได้สําเร็จ
ชีหยวนถงหายไปเป็นสามปีก่อนที่เขากลับมาที่เขาหยวนชู เขาไม่หยิ่งยโสอีกต่อไปแล้วกลับกัน เขาดูถ่อมตนและไม่ค่อยแสดงตนมากเท่าไหร่นัก บางครั้งเขาก็ยิ้มให้กับเพื่อนๆศิษย์ด้วยเหมือนกัน หลังจากผ่านไปห้าปีบนเขา ชีหยวนถงได้รับร่างอสูรทรงพลังระดับสูงมาและเข้าสู่ขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูร!
เหยียนจินนั้นเริ่มดื้อรั้นและบ้าคลั่งมากขึ้น เขาใช้เวลาสิบปีกับร่างเทพบัวฟ้าและถูกบังคับให้เข้าสู่ขอบเขตความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูร ในตอนนั้นเขาพึ่งจะได้เพียงแค่ระดับสูงเท่านั้น เขาไม่สามารถทําให้มันสมบูรณ์แบบได้
มันไม่เป็นไร แต่ที่ทําให้เมิ่งชวนหวั่นใจมากที่สุดคือเหยียนจินนั้นตั้งใจจะฝึกแต่โลหะทมิฬเพียงอย่างเดียว
ตั้งแต่ตอนที่เขาขึ้นเขามา เหยียนจินเลือกวิชาของโลหะทมิฬ เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์ การจะฝึกโลหะทมิฬโดยไม่มีการชี้นําของเจตจํานงนั้นเป็นเรื่องยากมาก ศิษย์ที่ยังอยู่บนเขาที่มีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษและเรียนรู้โลหะทมิฬได้ก็มีเพียงเมิ่งชวนกับเหยียนชื่อลง
เหยียนชื่อดังได้เข้าร่วมเขาหยวนชูเป็นกรณีพิเศษ เขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เข้าถึง “พลัง” ได้ตั้งแต่อายุสิบสาม ในแง่ของความสามารถแล้วนั้น เขาเองก็ไม่ด้อยไปกว่าลูกชายคนที่ห้าของราชาทะเลตงไห่เลย การฝึกฝนของเขานั้นค่อนข้างจะช้ากว่าชายห้า เชวเฟิง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุสิบหก เขาได้รับร่างเทพสองโลกที่สมบูรณ์และขึ้นเป็นเทพอสูร! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเรียนรู้วิชาหอกเพลิงบัวชาดได้สําเร็จอีกด้วย เขานั้นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เทียบได้กับเมิ่งชวนและเชวเฟิงเลยด้วยซ้ำ
กลับกันแล้ว เหยียนจินกลับล้มเหลว เขาไม่สามารถสร้างร่างเทพบัวฟ้าที่สมบูรณ์แบบได้แม้จะผ่านไปแล้วสิบปี
การจะเรียนรู้เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์นั้นผู้เรียนจะต้องเข้าถึงเจตจํานงกระบี่ถึงสองอย่างเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งและเจตจํานงกระบี่เพลิง จากนั้นเขาจะต้องรวมเจตจํานงกระบี่ทั้งสองให้รวมเป็นหนึ่ง หลังจากผ่านไปสิบเอ็ดปีบนเขา เหยียนจินพึ่งจะเข้าถึงเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งเท่านั้น! ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้เข้าถึงเจตจํานงกระบี่ขั้นพื้นฐาน เขาขึ้นเป็นเทพอสูรระดับแดนอมตะได้เพียงเพราะเจตจํานงกระบี่น้ำแข็งเท่านั้น
ด้วยความสามารถของเหยียนจินนั้น วิชากระบี่ของเขาคงจะสูงกว่านี้มากหากเขาเลือกที่จะฝึกมรดกระดับสวรรค์แทน บางทีเขาอาจจะไปถึงจิตวิญญาณกระบี่เลยก็ได้ เมิ่งชวนถอนหายใจ เขาไม่สามารถเรียนรู้วิชาขั้นพื้นฐานของโลหะทมิฬได้ แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะเดินทางนี้ต่อไป ในตอนนี้ การเปลี่ยนเส้นทางที่ก้าวเดินอาจจะนําไปสู่ความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
เหยียนจินนั้นดื้อรั้นเกินไป
หากไม่ใช่เพราะเขาหยวนชูมีกฏที่จะขับไล่ศิษย์จากนิกายในหากพวกเขาไม่ขึ้นเป็นเทพอสูรในสิบปี เหยียนจินคงจะเป็นมนุษย์จนกว่าเขาจะได้ร่างเทพบัวฟ้าที่สมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
ไม่มีใครบังคับให้เขาฝึกฝนโลหะทมิฬ แต่ว่าเขาก็ยังฝึกฝนต่อไป เขาไม่ยอมแพ้แม้จะผ่านมาแล้วสิบเอ็ดปี! เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นศิษย์ที่มุ่งมั่นและบ้าคลั่งเช่นนี้
เขาเคยแนะนําไปแล้ว และหากไปยุ่มย่ามมากกว่านี้อาจจะทําให้เกิดการบาดหมางกันได้
“เข้าใจล่ะ อย่าลืมชวนข้าไปด้วยล่ะตอนที่เจ้าจัดงานเลี้ยง เหยียนจินกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะกลับไปฝึกต่อ หากเจ้ามีอะไรก็ไปหาข้าได้ที่เขาเพียวเซี่ย”
พูดจบเขาก็เดินกลับไป เขากลับไปที่เขาเพียวเซี่ยคนเดียว จวบจนถึงตอนนี้เขาก็เป็นเพียงศิษย์คนเดียวที่อยู่ที่นั่น มันอยู่ห่างไกลเกินไป
“เมิ่งชวนกับหลิวชีเยว่กําลังจะลงจากเขางั้นรึ?” เหยียนจินคิด ที่บนเขานี้เขามีเพื่อนเพียงสองคนเท่านั้น
ก็ดีเหมือนกัน การได้อยู่คนเดียวจะทําให้อารมณ์ของข้าไม่ผันแปรมากนัก จากนั้นข้าคงจะมีโอกาสที่จะเรียนรู้เจ็ดเพลิงน้ำแข็งสัมบูรณ์ได้สําเร็จ เหยียนจินมุ่งหน้ากลับไปที่เพียวเซี่ย
“อาชวน ข้ารู้สึกกังวลกับสภาพของพี่เหยียนจินอยู่นิดหน่อย” หลิวชีเยวที่กําลังเดินอยู่ข้างๆ เมิ่งชวนไปที่จิ้งหมิงเฟิงกล่าว “พี่เหยียนปลีกวิเวกมากเกินไปแล้วก็ไม่พูดคุยกับคนอื่นเลย ศิษย์ของเขาหยวนซูต้องช่วยเหลือกันและกัน แต่ว่าพี่เหยียนปลีกตัวออกจากคนอื่นๆ ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้เลยซักนิด”
เมิ่งชวนพยักหน้า “ชีเยว่ เหยียนจินกับข้าอายุเท่ากัน เขาเองก็อายุ 29 แล้ว มนุษย์หลายคนต้องเข้าไปเป็นทหารตอนอายุยี่สิบ บางคนต้องตายในสนามรบ ตอนนี้เขาเองก็ 29 เราไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร”
หลิวชีเยว่พยักหน้าครุ่นคิด
“พวกเราสองคนควรตั้งใจกับการฝึกวิชาของเรา ในตอนนี้เป็นช่วงสุดท้ายของการฝึกวิชาอย่างสงบสุขแล้ว หลังจากที่พวกเราลงจากเขาไป พวกเราก็จะไปอยู่ในสนามรบ” เมิ่งชวนกล่าวด้วยความเคร่งขรึม มันเป็นเรื่องที่สําคัญ
“ใช่ พวกเราจะต้องเข้าสู่สนามรบ” หลิวชีเยว่ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเช่นกัน หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าสิบปี เธอก็อยากจะลงจากเขาและสังหารราชาอสูร!
เพียงครึ่งเดือนถัดมา ในวันที่ 17 ตุลาคม ตอนบ่าย
แสงแดดส่องเข้ามาในห้องหนังสือ เมิ่งชวนกําลังวาดภาพอยู่
ทันใดนั้นเองก็มีกระแสพลังที่ทรงพลังปะทุออกมาจากห้องใกล้ๆ
” หืม?” เมิ่งชวนวางแปรงลงทันที เขาผลักประตูเปิดออก แล้วรีบวิ่งออกไป
พอไปถึงที่ห้องฝึกวิชาของชีเยว่ เขาก็เห็นหลิวชีเยวที่กําลังยืนอยู่ในทันที มีปีกเพลิงคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากหลังของหลิวชีเยว! ปีกสีแดงนั้นสะบัดไปมาเบาๆ ทําให้เธอดูคล่องแคล่วว่องไวมากกว่าเดิมมาก
“เจ้าผ่านไปแล้วรึ?” เห็นได้ว่าเมิ่งชวนกําลังดีใจ
หลิวชีเยวพยักหน้าและพูดยิ้มๆ “ใช่แล้ว หลังจากที่เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณระดับสูง การควบคุมเพลิงของข้าก็ละเอียดอ่อนมากขึ้น ตอนนี้ข้าสามารถสร้างมันให้เป็นปีกวิหคเพลิงได้แล้ว ถ้าใช้เจ้านี้ข้าก็บินได้”
“บิน?” เมิงชวนประหลาดใจ น่าอิจฉาจริงนะ”
เขาไม่สามารถบินได้แม้จะอยู่ระดับมหาสุริยันแล้วก็ตาม
แต่ก็แน่นอนว่าพอเขาไปถึงระดับมหาสุริยัน เขาสามารถเดินทางได้ไกลหลายลีเพียงก้าวเดียว หากเขาใช้ท่านางแอ่น เขาสามารถพุ่งไปได้ไกลกว่าห้าจั้งโดยที่ไม่ลงพื้นเลยด้วยซ้ำ! แต่ว่ามันก็ยังแตกต่างกับการบินได้จริงๆอยู่มาก
“เทพอสูรมากมายก็ต่างอิจฉาความเร็วของเจ้าเหมือนกันนั่นแหละ” หลิวชีเยว่ปิดปากหัวเราะคิกคัก “จะว่าไปแล้ว อาชวน ข้าก้าวผ่านไปได้แล้ว ข้าคงจะต้องใช้เวลาซักพักในการจัดการทุกอย่างก่อนจะขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันในวันพรุ่งนี้ตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าจะผ่านไปในคืนนี้” เมิ่งชวนกล่าว “ข้าเฝ้ารอมานานเกินไปแล้ว”