ตอนที่ 132 แก่นสารแห่งจิตระดับสอง
เมิ่งชวนวาดภาพชายหนุ่มชุดเกราะสีดําถือหอก ดวงตาของเขาเฉียบคม ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะหยุดเขาได้ ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นถึงวัยหนุ่มของเขา เขาเป็นมนุษย์ที่โดดเด่นมาก ในช่วงแปดร้อยปีที่ผ่านมา และในตอนที่เขาลงจากเขาไปนั้นก็ยังหนุ่มมากอีกด้วย เขาคอยขับไล่เหล่าอสูรออกไปตลอดชั่วอายุ 300 ปีของเขา นามของเขาคือราชันหยานฉุ่ย! เขาทําหน้าที่ปกป้องเมืองด่านขนาดใหญ่อยู่ตลอด ด่านหยานฉุ่ย
เหล่าอสูรพยายามเข้าโจมตีด่านหยานนุ่ยอย่างเต็มที่ แต่พวกมันก็พลาดซ้ําแล้วซ้ําเล่า! ราชันอสูรจํานวนนับไม่ถ้วนต้องตกตายภายใต้หอกของราชันหยานฉุ่ย
แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดศึกที่น่าสลดขึ้น! ทางผ่านโลกเปิดขึ้นที่ด่านหยานฉุ่ยและขยายตัวโดยไม่มีคําเตือนใดๆ เหล่าอสูรนําราชาอสูรระดับห้าสามตนพร้อมกับราชันอสูรระดับสี่อีกเป็นจํานวนมาก เข้ามาโจมตี! ราชันหยานฉุ่ยต่อสู้อย่างกล้าหาญไปพร้อมกับหอกของเขา! เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับห้าทั้งสามตนและราชาอสูรระดับสี่อีกกว่ายี่สิบตนไปได้ จนทําให้การต่อสู้นั้นจบลง
แต่ในไม่ช้า ราชาอสูรระดับห้าอีกเก้าตนก็นําทัพอสูรที่ใหญ่กว่าเดิมเข้ามาบุกอีกรอบ
ราชันหยานฉุ่ยโกรธจัด
ในการต่อสู้นั้นเต็มไปด้วยเสียงปะทะดังราวกับฟ้าฟาด เปลี่ยนพื้นที่กว่าพันลี้ของสนามรบไปโดยสิ้นเชิง ทะเลสาบหยานฉุ่ย ที่กว้างกว่าร้อยลี้ ก็ถูกตัดผ่านจนไปเชื่อมกับทะเลตะวันออกเลยทีเดียว!
ราชันหยานฉุ่ยตายในการต่อสู้นั้น! สรุปแล้ว เขาสามารถสังหารราชาอสูรระดับห้าไปได้ถึงเก้าตน หลังจากที่ตาย แม้แต่อสูรก็ไม่อยากทําให้ร่างของเขาต้องแปดเปื้อน พวกมันนําร่างของเขากลับไปที่แดนปีศาจด้วยซ้ํา และร่างนั้นก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
เมื่อปรมาจารย์ระดับสรรค์สร้างจากเขาหยวนซูรีบรุดไปจากระยะทางกว่าหมื่นลี้ เมืองด่านนั้นก็กลายเป็นซากไปแล้ว ร่างของราชันหยานฉุ่ยไม่สามารถถูกนํากลับมาได้ด้วยซ้ํา! มนุษย์ได้แต่ต้องสร้างเมืองด่านขนาดใหญ่บนซากปรักหักพักแห่งนั้นเพื่อป้องกันทางผ่านโลกขนาดใหญ่ แบบนั้น นั่นจึงทําให้เกิดด่านลู่ถางขึ้น เมืองด่านที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่! โดยมีปรมาจารย์เป็นคนคอยคุมด่านนี้ด้วยตนเอง
การต่อสู้ของราชันหยานฉุ่ยนั้นทําให้เหล่ามนุษย์และอสูรต้องตกใจ มนุษย์ได้ยืนยันว่ามีราชาอสูรระดับห้าเก้าตนและราชาอสูรระดับสี่อีกกว่าร้อยตน เรียกได้ว่าเกือบครึ่งของพวกมันต้องตกตายไปเพราะหอกของราชันหยานฉุ่ยในด่านแห่งนี้
ราชันหยานฉุ่ย เมิ่งชวนวาดภาพเขาด้วยความระมัดระวัง ในตอนที่เขาตายในการต่อสู้ ผมของเขาก็กลายเป็นสีขาวไปแล้ว เมิ่งชวนเคยเห็นแต่ภาพของราชันหยานฉุ่ยในตอนยังหนุ่มเพียงเท่า
เขาเคยเป็นชายหนุ่ม ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้
ครืนนน!
เมิ่งชวนรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแก่นสารแห่งจิตของเขา
แก่นสารแห่งจิตของเขาที่ไปถึงจุดสูงสุดเมื่อนานมาแล้ว ได้ขึ้นไปสู่ระดับสอง จิต ขอบเขตสัมผัสของเขาได้ขยายขึ้นไปเป็นยี่สิบจั้ง และการรับรู้พลังของเขาก็กว้างไปถึงสองลี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เมิ่งชวนตั้งใจวาดภาพอย่างเต็มที่ เขาไม่สนใจในการเปลี่ยนแปลงแก่นสารแห่งจิตแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งวาดภาพของราชันหยานฉุ่ยเมื่อยังหนุ่มไปต่อ
จากนั้นเขาก็วาดร่างของคนอีกคน เฟิงโหววู่หยาง
เฟิงโหววู่หยางเองก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นมากเช่นกัน เขาขึ้นเป็นเฟิงโหวตั้งแต่อายุยังน้อย! ความสามารถของเขานั้นสุดยอด ในตอนนั้นเขาลงจากเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เขาแต่งงานและมีลูกในขณะที่คอยปกป้องด่านวู่หยาง ลูกชายและลูกสาวของเขาทั้งสองคนก็ได้ขึ้นเป็นเทพอสูร เช่นกัน พวกเขาขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันตั้งแต่อายุสามสิบและคอยปกป้องด่านวู่หยาง พร้อมกับพ่อของพวกเขา
แต่ว่าเขาก็ได้เจอกับมนุษย์ที่ทรยศ หัวหน้าสาขานิกายอสูรฟ้า หวางชีรู่ มันแทรกซึมเข้าไปในด่านวู่หยางและทําให้เฟิงโหววู่หยางต้องบาดเจ็บสาหัสในการลอบสังหาร จากนั้นมันก็ได้ร่วมมือกับอสูรและเหล่าอสูรก็ทําลายด่านวู่หยางไปได้โดยสิ้นเชิง
ในการต่อสู้นั้น เฟิงโหววู่หยางและลูกๆของเขาต้องตายในการต่อสู้ หวางชีรู่มีเพียงอาการบาดเจ็บสาหัส ในตอนนี้ มันเป็นเพียงหนึ่งในสองอสูรฟ้าของนิกายอสูรฟ้า
ความสามารถของเฟิงโหววู่หยางนั้นโดดเด่น ลูกๆของเขาเองก็มีความสามารถมากเช่นกัน หากใช้เวลาอีกสิบหรือยี่สิบปี เพิ่งโหววู่หยางคงจะได้กลายเป็นราชันเป็นแน่ ลูกๆของเขาเองก็มีโอกาสจะได้เป็นเฟิงโหว เมิ่งชวนอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ มีความสูญเสียที่น่าเศร้ามากเกินไป อย่างไรก็ตาม หวางชีรู่ที่แอบลอบสังหารเฟิงโหววู่หยางนั้นก็ทรงพลังเกินไป เพราะอย่างน้อยสถานะของมันก็คืออสูรฟ้าระดับห้า
หลายคนรู้สึกเสียใจที่เฟิงโหววู่หยางและลูกๆของเขาต้องตายในการต่อสู้
เมิ่งชวนวาดภาพพวกเขาในตอนที่ลงจากเขาอย่างตั้งใจ ตรงกลางคือเฟิงโหววู่หยาง ข้างๆเขา คือลูกชายและลูกสาว ราวกับพ่อเป็นผู้นําทางลูกๆในการต่อสู้
…
เมิ่งชวนวาดภาพต่อไป ทุกๆครั้งที่เขาวาดภาพ เขาก็จะนึกถึงเรื่องราวของคนๆนั้นขึ้นมา เขาใช้อารมณ์ทั้งหมดที่มีในการวาดภาพ น้ําตาเอ่อนองขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว
เขาวาดภาพเทพอสูรผู้กล้าหาญสิบแปดคนที่ตายในการต่อสู้ เขาวาดทุกๆคนอย่างตั้งใจ! จากนั้นเขาก็วาดภาพคนอื่นๆ แม้ว่ามันจะสะบัดพู่กันแค่สองสามที หรือบางคนก็เห็นจากด้านหลัง แต่พวกเขาต่างเป็นผู้กล้าในสายตาของเมิ่งชวน แม้จะอ่อนแอกว่าก็ตาม ส่วนมากต่างเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยันหรือแดนอมตะในตอนที่จากไป
แต่ถึงอย่างนั้นเมิ่งชวนกวาดพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ เขาก็จะใส่อารมณ์เข้าไปในการสะบัดพู่กันนั้นด้วย พวกเขาทุกคนต่างมีสิ่งที่พิเศษเป็นของตัวเอง
เมิ่งชวนไม่หยุดวาดภาพนี้แม้แต่น้อย! เขาไม่ดื่มหรือกินอะไร วันคืนผ่านไปเขาก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับภาพวาดของเขา
ผู้กล้าทั้งสิบแปดต่างถูกวาดด้วยความละเอียดสูง ผู้กล้าอีกทั้ง 127 คนถูกวาดที่ด้านหลัง มันดูเหมือนราวกับพวกเขาไปถึงขอบของเขาหยวนชู ภาพของพวกเขานั้นเล็ก ถูกวาดด้วยการสะบัดพู่ กันเพียงนิดหน่อย แต่ว่าแต่ละร่างกลับดูราวกับมีชีวิต
จากนั้นเมิ่งชวนก็เริ่มวาดคนที่ยังมีชีวิต
นักดาบไร้เทียบทานเชวเฟิง เซี่ยวหยุนเยว่ที่อ่อนโยนและเป็นมิตร เฉียนหยูที่มองไปในที่ห่างไกลพร้อมกับดวงตาที่มีประกายความเศร้า เฟิงโหวเทียนซิงโหวที่โดดเด่น เฟิงโหวเมฆาใต้ที่สุภาพและเพียบพร้อม ราชันตงเหอที่กล้าหาญ เมิ่งชวนพบเจอกับพวกเขาทุกคนด้วยตาของตนเอง พวกเขาต่างเป็นเทพอสูรที่ยังหนุ่ม เช่นเดียวกันกับเฟิงโหวและราในเทพอสูร พวกเขาเหล่านี้คอยช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมหาศาล
เขาวาดเทพอสูรที่ยังมีชีวิตทั้ง 18 ร่างอย่างตั้งใจ เขาเองก็ยังวาดภาพของเหล่าศิาย์เทพอสูรที่เขาเคยพบ เมิ่งชวนได้พบกับศิษย์กว่า 200 คนที่ลงจากเขาไปแล้ว! เมิ่งชวนวาดเทพอสูรอีก 127 คน ทุกๆคนถูกวาดด้วยการสะบัดพู่กันเพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขานั้นยังเยาว์วัย เหมือนกับภาพที่เมิ่งชวนเห็นตอนที่ส่งพวกเขาไปที่ผาแดงโลหิต
ผู้กล้าจํานวนนับไม่ถ้วนที่ต่อสู้อยู่ในทุกแนวหน้า เมิ่งชวนมองดูภาพวาดและเขาก็เห็นการต่อสู้ในระหว่างที่ความคิดกําลังแล่น มันเป็นการต่อสู้ที่เทพอสูรเหล่านี้เข้าไปต่อสู้
ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน
ไม่มีใครอยู่ได้ตลอดกาล
แม้แต่ผู้ที่ทรงพลังอย่างราชันหยานนุ่ยยังตายในการต่อสู้ ร่างของเทพอสูรที่ผาแดงโลหิตแสดงให้เห็นถึงทุกอย่างแล้ว ศิษย์ของเขาหยวนชูทุกคนที่ลงจากเขาเข้าใจว่าพวกเขาอาจต้องตายในการต่อสู้ แต่ว่า พวกเขาต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของมนุษย์ ไม่มีใครถอยไม่มีใครทิ้งหน้าที่ของตน
“เราจะชนะสงครามครั้งนี้ แม้มันจะไม่เกิดในชั่วชีวิตของข้า แต่ซักวันหนึ่ง แม้ข้าจะตายไปมนุษย์ก็จะได้พบกับชัยชนะอย่างแน่นอน” เมิ่งชวนกระซิบ จากนั้นเขาก็เขียนคําห้าคําลงบนมุมขวาบนของภาพวาด “ผู้กล้าสู่แนวหน้า”
จะเป็นเทพอสูรที่ตายในการต่อสู้หรือเทพอสูรที่คอยปกป้องเมืองด่านอยู่ พวกเขาทุกคนนั้นคือผู้กล้า
หลังจากวาดภาพเสร็จ เมิ่งชวนก็มองดูภาพวดอย่างตั้งใจ ภาพวาดภาพนี้สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย มันแสดงให้เห็นถึงเหล่าเทพอสูรที่ลงจากเขาไปและต่อสู้ในทุกๆหนแห่ง อารมณ์อันแรงกล้าที่ถูกใส่ลงไปในภาพนี้ทําให้เขาไม่สามารถหยุดวาดได้จนกว่าจะเสร็จ
“ข้าวาดเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของข้าที่จะต้องลงจากเขาแล้ว” เมิ่งชวนวางพู่กันลงและเปิดประตูห้องหนังสือ
ข้างนอกมีหิมะกองหนา
เมิ่งชวนยืนอยู่ในสวน สูดความเป็นธรรมชาติเข้าไป เขารู้สึกสงบนิ่ง
หลังจากผ่านไปนาน หลิวชีเยว่ก็กลับมาที่ถ้ําของเมิ่งชวน เมื่อเธอเห็นเมิ่งชวนเธอก็พูดอย่างมีความสุข “อาชวน เจ้าวาดภาพเสร็จแล้วเหรอ? เจ้าวาดภาพติดกันเกือบสองวันสองคืนเลยนะ”
“ข้าอยากวาดและไม่อยากจะหยุด” เมิ่งชวนกล่าวยิ้มๆ “แต่ข้าทําเสร็จแล้วล่ะ”
หลิวชีเยว่ได้แต่เข้าไปที่ห้องหนังสือของเขาเมื่อได้ยินคําพูดของเขา เธอเห็นคัมภีร์ยาวบนโต๊ะในทันที แค่เพียงมองดูก็รู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ เธอจําเหล่าเทพอสูรที่เพิ่งชวนวาดตรงข้างหน้าได้ แต่ว่าเธอเองก็ยังจําเทพอสูรกว่าสองร้อยคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้เช่นกัน แม้เธอจะจําเทพอสูรที่ตายในการต่อสู้ส่วนมากไม่ได้ แต่ว่าเธอก็รู้สึกว่าเทพอสูณทุกคนนั้นดูเสมือนจริงมากเพียง
หลิวชีเยว่มองดูมันทั้งน้ําตา
” ทําไมเจ้าถึงร้องไห้?” เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะเข้ามาถามเมื่อไปถึง
“ พวกเขายังเยาว์ในตอนที่เข้าสู่สนามรบ พอคิดว่าพวกเขาหลายคนต้องตายในการต่ อสู้มันก็ทําให้ข้าร้องไห้” หลิวชีเยว่กล่าว
หลิวชีเยว่มองดูชื่อที่เขียนอยู่บนมุมขวาของภาพและกระซิบ “ผู้กล้าสู่แนวหน้า? อาชวน ภาพวาดนี้ต้องเก็บเอาไว้อย่างดี หากพวกเราชนะสงครามนี้ได้จริงๆ ภาพวาดภาพนี้จะถูกทิ้งไว้ให้รุ่นลูกหลานต่อไปแม้พวกเราจะตายไปแล้วก็ตาม”
“ใช่ ข้าเก็บไว้อย่างดี” เมิ่งชวนยิ้มและพยักหน้า
“อ่า นี่เจ้าไม่ได้กินดื่มอะไรมาสองวันแล้วนี่ ข้าจะไปหาคนมาเตรียมอาหารให้นะ” หลิวชีเยว่กล่าวและรีบรุดออกไป
เมิ่งชวนยิ้มและตะโกนตามไปว่า “ไม่ต้องรีบ พวกเราเป็นเทพอสูร ข้าทนได้”
” จ้าจ้า” หลิวชีเยว่โบกมือแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งชวนหยิบกระบอสูรสังหารและเดินไปที่ลานฝึก
ในตอนนี้แก่นสารแห่งจิตของเขาพัฒนาขึ้นมาแล้ว เขาต้องลองทดสอบดูว่าแก่นสารแห่งจิตระดับสองเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้เพียงใด