ตอนที่ 52-2 โกรธจนหัวหมุน
หลี่เว่ยหยางกระพริบตาและแสร้งกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า:
“ท่านพ่อ คิดว่าเว่ยหยางคิดอันใดหรือ?”
หลี่เสี่ยวหรันรู้สึกกระดากปากที่จะกล่าว แต่ในท้ายที่สุดเขาได้กล่าวออกมาว่า:
“…ก็…นโยบายภัยพิบัติห้าขั้นตอน…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหลี่เว่ยหยางจึงเป็นประกาย ขณะที่ใบหน้าของนางยังคงแสดงออกอย่างไร้เดียงสา:
“ท่านพ่อ ท่านคงจำผิดเเล้ว แผนนี้เป็นพี่ใหญ่ที่คิดค้นขึ้น”
หลี่เสี่ยวหรันเบิกตาขว้างขณะที่เขาพยายามระงับความโกรธและกล่าวว่า:
“ความหมายเบื้องหลังคำกล่าวของเจ้าคืออันใดกัน?”
หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างใจเย็น:
“ท่านพ่อ ในตอนนั้นท่านได้กล่าวว่าความคิดที่ยอดเยี่ยมของพี่ใหญ่มิมีผู้ใดสามารถเทียบได้ และนางเป็นเหมือนดั่งนักปราชญ์หญิงที่มากความสามารถ
หากเกิดปัญหาขึ้น ท่านควรไปถามพี่ใหญ่จึงจะถูกต้อง!”
คำกล่าวนั้นทำให้หลี่เสี่ยวหรันมีความรู้สึกโกรธเป็นที่สุด:
“เว่ยหยาง! เจ้าเป็นผู้ที่คิดแผนการนี้!
ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้!”
หลี่เว่ยหยางยิ้มอย่างสดใส:
“แล้วในตอนนั้น เหตุใดท่านจึงกล่าวว่า เป็นแผนการของพี่ใหญ่?”
หลี่เสี่ยวหรันโกรธมากจนเขามิสามารถกล่าวได้อีกต่อไป
“เป็นเพราะข้ามิได้เติบโตมาข้างท่าน ดังนั้นจึงได้มอบความดีความชอบให้กับพี่ใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นที่รักของท่าน
แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ข้าต้องก้าวออกมา และแก้ไขเช่นนั้นหรือ?”
นางกล่าวแต่ละคำ และแต่ละวลีอย่างฉะฉาน
“เว่ยหยาง! กล่าวเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร! ลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าเป็นพ่อของเจ้า!”
หลี่เสี่ยวหรันเปล่งเสียงอย่างโมโห
หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปที่เขา โดยที่สีหน้าของนางมิได้แสดงถึงความเป็นศัตรูเลยแม้แต่น้อย:
“แล้วท่านพ่อต้องการให้ข้าทำอันใด?”
หลี่เสี่ยวหรันเดินเข้ามาหานางอย่างลืมตัว ขณะที่กล่าวว่า:
“แน่นอนว่า มันต้องมีมาตรการรองรับใช่หรือไม่?!”
“ท่านพ่อ ข้าเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่เติบโตมาจากชนบทเท่านั้น ข้าจะมีความคิดที่ลึกซึ้งเช่นนั้นได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของหลี่เว่ยหยางนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนยิ่งนัก
ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า นางเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยน และไร้มารยาใด ๆ
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ออกมาจากปากของนางนั้น ทำให้หลี่เสี่ยวหรันโกรธมากจนถึงขั้นลมออกหู
แต่เขาต้องพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
เพราะยังต้องการความช่วยเหลือจากนาง จากนั้นเขาจึงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางด้วยความมุ่งมั่น:
“เว่ยหยาง พ่อรู้ว่า ที่เจ้าทำเช่นนี้เพราะมีความอาฆาต แต่ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมาล้างแค้น
เป็นเพราะเราใช้ความคิดของเจ้าจึงทำให้เกิดการจลาจลในพื้นที่ภูมิภาค
แม้ว่าจะส่งทหารออกไปที่นั่นแล้วก็ตาม แต่การปราบปรามด้วยกำลังมิใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาได้
เจ้ามีวิธีแก้ไขใช่หรือไม่?”
หลี่เว่ยหยางยิ้ม:
“ท่านพ่อ ท่านมีความเชื่อมั่นในตัวข้ามากเกินไป ข้าจะกล่าวกับท่านอีกครั้งว่า มิมีหนทางแก้ไขได้”
หลี่เสี่ยวหรันกระทืบเท้าอย่างแรง:
“เว่ยหยาง!”
หลี่เว่ยหยางจ้องตาเขาอย่างจริงจังขณะที่นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า:
“ท่านพ่อ! เป็นเพราะท่านเป็นผู้ที่ข้าเคารพที่สุด ดังนั้นข้าจึงกล่าวกับท่านตามตรง
ถึงแม้ว่าข้าจะคิดแผนการเช่นนั้นได้ แต่ข้าก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบสามปี
ท่านคิดว่าความสามารถของข้าจะมีมากมายสักเพียงใดกัน?
แทนที่จะพึ่งพาข้า เหตุใดท่านจึงมิไปเอ่ยถามผู้อื่น ที่อยู่ในบ้านตระกูลหลี่แห่งนี้บ้าง!
หรือเอ่ยถามพี่ชายใหญ่ผู้ชาญฉลาด!
หรือแม้แต่พี่ใหญ่ หญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์!
ท่านพ่อทุ่มเททุกอย่างให้กับคนเหล่านี้มากมาย ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านแล้ว!”
หลี่เสี่ยวหรันถูกรั้งไว้ด้วยท่าทีอวดดีของนาง ปากของเขาปิดสนิทและบิดเบี้ยว ขณะที่จ้องมองบุตรสาวของตนเอง
เขาจะถูกเด็กสาวอายุสิบสามปีข่มขู่ได้อย่างไรกัน?
เหตุใดเขาจึงรู้สึก ราวกับว่า นางมีบางอย่างที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างมิน่าเชื่อ?
เหตุใดเขาจึงรู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะใช้มาตรการที่อ่อนโยนหรือแข็งกร้าวหลี่เว่ยหยางก็จะมิให้คำตอบที่เขาต้องการ?
หรืออาจจะเป็นได้ ที่นางมิรู้จริง ๆ ?
ในความเป็นจริง นางเป็นเพียงเด็กสาว นางสามารถคิดแผนการนั้นได้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อแล้ว
แต่ตอนนี้ปัญหาได้เกิดขึ้น นางคงมิยอมรับแน่นอน…
หลี่เสี่ยวหรันมิได้เปล่งเสียงออกมาอีกต่อไป
ทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับบุตรสาวผู้นี้ เขาจะรู้สึกผิดและเสียใจอยู่มาก
และต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบกับหลี่จางเล่อแล้ว สิ่งที่เขาให้กับเด็กผู้นี้ยังน้อยเกินไป
หลังจากนั้นมินาน เขาได้กล่าวออก มาว่า:
“เจ้ามิมีหนทางแก้ไขจริง ๆ หรือ?”
หลี่เว่ยหยางตาเป็นประกายขณะที่น้ำเสียงของนางมีความจริงใจ:
“ท่านพ่อ เว่ยหยางมิมีวิธีแก้ไข”
หลี่เสี่ยวหรันอัดอั้นความโกรธเอาไว้ในใจ ขณะที่จ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยาง เพื่อสังเกตท่าทีของนาง
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง แล้วเดินจากไปอย่างสิ้นหวัง
เมื่อยืนฟังอยู่ด้านข้างเป็นเวลานาน ไป๋จื่อจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจนหลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางมิรู้ว่า เหตุใดคุณหนูของตนเองจึงมีความกล้ามากมายถึงเพียงนี้
เหตุใดนางจึงกล้าตอบโต้ผู้เป็นบิดาโดยมิได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
จากนั้นโม่ฉูได้เดินเข้ามาอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า:
“คุณหนู เหตุใดนายท่านจึงโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปเช่นนั้น?”
หลี่เว่ยหยางยิ้ม:
“ต่อไปท่านคงต้องโกรธมากกว่านี้อีกหลายเท่านัก!”