ยอดหญิงแห่งวังหลัง – ตอนที่ 61.2

ตอนที่ 61.2

ตอนที่ 61-2 นางบำเรอ

เมื่อเห็นทุกคนกล่าวเช่นนี้ หลี่เสี่ยวหรันจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าและกล่าวว่า:

“เช่นนั้นเราทุกคนจะไปด้วยกัน!”

ฮูหยินใหญ่เกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก นางรีบหันไปมองที่แม่นมหลิน ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความร้อนใจ

จากนั้นจึงสั่งให้แม่นมหลินรีบออกไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ต้นบ๊วย ก่อนที่ผู้อื่นจะออกไป

นางต้องไปที่นั่นก่อนผู้อื่น เพื่อจัดการกับร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

อย่างไรก็ตามเมื่อแม่นมหลินเดินมาถึงบริเวณประตูทางออกของงานเลี้ยง ก็ได้พบว่าผู้คนอื่น ๆ ในงานก็กำลังรีบร้อนเดินออกมาจากงานเลี้ยงเช่นเดียวกัน

กล้าของนางจึงถูกเบียดบังจนมิสามารถเดินออกไปให้ถึงที่เกิดเหตุก่อนผู้อื่นได้

หลี่เว่ยหยางเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจน และเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

เมื่อองค์ชายเจ็ด ทัวเป่าหยูได้เห็นรอยยิ้มของเด็กสาวผู้นี้ เขาจึงเลิกคิ้วด้วยความสนใจอย่างช่วยมิได้

ขณะที่มีความคิดอยู่ภายในใจว่าคุณหนูสามผู้นี้ช่างมีนิสัยที่แปลกประหลาดยิ่งนัก

“น้องเจ็ด เจ้ามิออกไปด้านนอกเพื่อดูเหตุการณ์หรือ?” ทัวเป่าเจิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ทัวเป๋าหยูหันกลับมายิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า:

“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน แต่สักครู่ข้าจะเดินตามพี่สามออกไป”

ส่วนองค์ชายห้านั้นได้ลุกจากที่ประทับ และเดินตามหลี่จางเล่อออกไปนานแล้ว

เมื่อเดินมาถึงบริเวณสวน ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปที่ต้นดอกบ๊วยตามคำกล่าวของฮูหยินสามด้วยความหวัง

ตอนนี้ดอกบ๊วยกำลังเบ่งบานอย่างงดงามอยู่ด้านข้างทะเลสาบ จึงสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด

นางเดินนำหน้าผู้อื่นออกไปด้วยความตื่นตระหนกโดยมิได้คำนึงถึงมารยาทของความเป็นสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย

และมุ่งเน้นไปที่การค้นหาบุตรชายของตนเองเท่านั้น

เมื่อมาถึงใต้ต้นดอกบ๊วยก็ได้เห็นภาพเงาห้อยลงมาจากต้นไม้ในทันที

ฮูหยินหลูเกิดความรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก และถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อต้องการเห็นภาพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่นางเห็นคือ ภาพเงาของผู้ใดบางคน ทันใดนั้นนางได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่ร่างนั้นมิใช่บุตรชายของนาง!

ทุกคนรีบวิ่งตามกันออกมา และมีผู้ใดบางคนสามารถจำร่างนั้นได้ว่าเป็นร่างของผู้ใด

จากนั้นจึงได้ยินเสียงของสาวใช้ผู้ร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า:

“มันคือจื่อหยาน! มันคือจื่อหยาน!”

ไป๋จือรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่น:

“จื่อหยาน! เกิดอันใดขึ้น? จื่อหยานเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า!”

หลี่หมินเฟิงที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นที่เกิดเหตุก็ตกตะลึงจนกล่าวอันใดมิออก

เขามิเคยคิดมาก่อนว่า จื่อหยานจะปรากฏตัวที่นี่

หลี่เว่ยหยางกล่าวอย่างเย็นชา:

“นำร่างของนางลงมา”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว บรรดาแม่นมทั้งหลายจึงช่วยกันนำร่างของนางลงมาจากต้นบ๊วย

และรีบตรวจดูลมหายใจของนางในทันที แต่พบว่านางได้หมดลมหายใจไปแล้ว

เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของจื่อหยานแล้ว ไป๋จื่อจึงมิสามารถควบคุมน้ำตาของตนเองได้ โดยมีน้ำตาไหลรินลงมาโดยมิขาดสาย

หลี่หมินเฟิงกำหมัดแน่น ขณะที่ดวงตาของเขาแดงก่ำ

“เป็นไปมิได้! นางจะทำไปเพื่ออันใด?…”

เขาสั่งบรรดาคนรับใช้เหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้วว่า ให้จัดการกับจื่อหยานและนำศพออกจากที่พักอย่างเงียบ ๆ

แล้วร่างนั้นมาแขวนอยู่บนต้นบ๊วยได้อย่างไร?!

ตอนนี้หลี่เว่ยหยางได้จ้องมองไปยังพี่ชายใหญ่ด้วยอาการที่เรียบเฉย ขณะที่กล่าวว่า:

“พี่ชายใหญ่ สาวใช้ที่สมบูรณ์แบบผู้นี้ เป็นท่านเองที่ต้องการนาง ข้าจึงมอบนางให้กับท่าน

แต่ตอนนี้ผ่านไปเพียงมิกี่วัน เหตุใดนางต้องตายเช่นนี้?!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่หมินเฟิงถึงกับเกิดอาการสะดุ้งด้วยความตกใจและมิสามารถระงับความโกรธบนใบหน้าของตนเองได้:

“เจ้าสงสัยอันใดในตัวข้าเช่นนั้นหรือ?!”

ในเวลานี้หลี่หมินเต๋อขมวดคิ้วขึ้นและกล่าวว่า:

“พี่ชายใหญ่, ตอนนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้พี่สามเป็นสุภาพสตรีแห่งอันผิงแล้ว

ส่วนท่านยังมิได้รับยศอย่างเป็นทางการ เช่นนั้นท่านควรมีมารยาทและท่านต้องแสดงความเคารพเมื่อได้พบหน้านาง

นี่พี่สามมิได้ถือสาท่าน แล้วท่านยังจะมากล่าวเช่นนี้กับนางอีกหรือ?!”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว คิ้วของหลี่หมินเฟิงจึงกระตุกขึ้นในทันที

แต่เมื่อคำนึงถึงการปรากฏตัวของทุกคนเขาจึงต้องระงับความโกรธแค้นของตนเองเอาไว้ในหัวใจ

เมื่อเห็นภาพนี้ การแสดงออกของหลี่เสี่ยวหรันก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น และเขากล่าวอย่างเย็นชาว่า:

“เกิดอันใดขึ้น?!”

ฮูหยินใหญ่กล่าวด้วยอาการเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดว่า:

“ท่านพี่…วันนี้จื่อหยานมิได้อยู่ในตำหนัก ข้าจึงคิดว่านางขอลาไปเยี่ยมครอบครัว”

หลี่เว่ยหยางมองไปที่หลี่หมินเฟิง และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า:

“พี่ชายใหญ่, จื่อหยานเป็นนางบำเรอของท่าน หากนางขอลาไปพบญาติจริง แล้วนางจะมิกล่าวอันใดกับท่านล่วงหน้าได้อย่างไร

ฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างเย็นชา:

“หลี่เว่ยหยางเจ้าคงจะสับสนแล้ว จื่อหยานเป็นแค่สาวใช้ มิใช่นางบำเรอ”

เพราะหากชายหนุ่มยังมิได้แต่งงานแล้วมีนางบำเรอ จะถือว่าเป็นการดูหมิ่นลูกสะใภ้คนใหม่ และมิใช่ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ที่อยู่ในตระกูลใหญ่

ซึ่งตอนนี้ฮูหยินใหญ่กำลังคัดเลือกหญิงสาวที่มีความเหมาะสมที่สุดให้มาเป็นภรรยาของหลี่หมินเฟิง

และหากทุกคนทราบว่า คุณชายใหญ่มีนางบำเรออยู่แล้ว พวกเขาต้องคิดว่าบ้านตระกูลหลี่มิได้ใส่ใจที่จะอบรมสั่งสอนบุตรชาย

หลี่เว่ยหยางยิ้มกว้างขณะที่กล่าวออกมาว่า:

“เป็นเรื่องจริงหรือไม่ พี่ชายใหญ่เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด”

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

ยอดหญิงแห่งวังหลัง

Status: Ongoing

ชีวิตเป็นสิ่งที่มิคาดเดาได้เลย สามีของนางได้ตกหลุมรักพี่สาวของนางเอง

จึงปลดหลี่เว่ยหยางออกจากการเป็นจักรพรรดินี และเขาเป็นต้นเหตุให้บุตรชายต้องตาย

ในวังเย็นแห่งนั้น หลี่เว่ยหยางถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ

จึงให้สาบานกับตนเองเอาไว้ว่า หากชาติหน้ามีจริง จะมิทำความดีอีก จะมิช่วยเหลือผู้อื่น จะมิก้าวเข้าไปในวังหลวง และจะมิมีวันเป็นจักรพรรดินี!

และในวันนั้น ที่บ้านพักขุนนางระดับสูง นายหญิงได้ให้กำเนิดบุตรสาว แต่ทว่า เด็กผู้นั้นเกิดมาเป็น’นางมารร้าย’ นังแม่เลี้ยงใจร้าย?

ข้าจะส่งเจ้าไปนรก! นังพี่สาวสับปรับ หน้าซื่อใจคด? ข้าจะแยกลอกหนังหน้าอันงดงามของเจ้าออก!

ส่วนน้องสาวที่คิดชั่วต่อข้า? ข้าจะโยนเจ้าลงหลุมฝังศพ!

พวกเจ้ามิเคยปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นสมควรแล้ว ที่จะมีชะตากรรมเช่นนี้!

ในตอนแรก นางตั้งใจที่จะอยู่ให้ห่างจากหายนะให้มากที่สุด แม้กระนั้นหัวใจของมนุษย์ก็เหมือนเข็มในทะเล

มิอาจรู้ว่าเหตุใด และมิสามารถเข้าใจได้ ผู้ที่เคยสาบานว่าจะมิเหลียวแลเว่ยหยาง

กลับกลายเป็นผู้ที่ขาดนางมิได้ จากผู้ที่ฆ่านางในชาติที่แล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท