ตอนที่ 66-4 เจออะไรบ้าง
ภายใต้แสงเทียน สามารถมองเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของท่านผู้อาวุโสหลี่ได้อย่างชัดเจน และนางกล่าวด้วยความรำคาญใจว่า:
“เจ้ากำลังกล่าวอันใด?
มันดึกแล้ว เจ้าต้องการที่จะตรวจค้นในตอนนี้เลยหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่กล่าวออกมาว่า:
“ใช่…ถูกต้อง”
ท่านผู้อาวุโสหลี่หน้านิ่ว และคิ้วของนางขมวดแน่น ซึ่งทำให้เห็นริ้วรอยของประสบการณ์บนใบหน้าอย่างชัดเจน
นางกำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่าง แต่ได้ยินหลี่เสี่ยวหรันกล่าวว่า:
“ท่านแม่ ช่วงนี้สุขภาพของค่าค่อนข้างย่ำแย่
ข้าแค่กลัวว่าจะมีปีศาจมาก่อความวุ่นวายในบ้านของเรา ดังนั้นจึงต้องการตรวจสอบอย่างละเอียด”
ท่านผู้อาวุโสหลี่กล่าวว่า
“หากเป็นเช่นนั้น จะมิทำให้เกิดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกโดยมิจำเป็น และทำให้ครอบครัวเกิดความมิสบายใจหรือ?”
บริเวณใต้ดวงตาของหลี่เสี่ยวหรันคล้ำลงเป็นเงาดำอย่างเห็นได้ชัด
เพราะเขานอนมิหลับมาหลายคืนแล้ว บุตรชายผู้นี้จึงจ้องมองไปยังมารดา และกล่าวด้วยความจริงใจว่า:
“ข้ามิมีทางเลือกอื่น และหากมันยังเป็นเช่นนี้ คงจะมิมีวันที่ข้าจะสบายใจได้”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า:
“มันเป็นเพียงการค้นหาเพื่อความสบายใจเท่านั้น หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นจริงก็จะมิสายเกินไปที่จะแก้ไข”
หลี่เว่ยหยางก้มศีรษะของตนเองลงและมิได้แสดงอาการพิรุธอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่าคำคำกล่าวของฮูหยินใหญ่มิได้มีความเกี่ยวข้องกับนางเลย
ฮูหยินรองยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนที่จะกล่าวว่า:
“อันใดนะ? ท่านตั้งใจจะค้นห้องนอนของเราด้วยหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ตอบอย่างใจเย็นว่า:
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าสะใภ้รองมีบางอย่างที่มิต้องการให้ผู้อื่นเห็น!”
ฮูหยินรองเกิดอาการตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นขณะที่กล่าวว่า:
“ท่านกำลังพยายามจะกล่าวอันใด?”
นางจ้องมองไปยังฮูหยินใหญ่ และกล่าวอีกว่า:
“ท่านเรียกพวกเรามากลางดึก เพื่อสร้างเรื่องให้พวกเราเกิดความอับอายเช่นนั้นหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มอย่างเย็นชา:
“เอ่อ…สะใภ้รอง ค่าเพียงแค่กล่าวว่า ผู้ที่มิต้องการถูกตรวจค้นต้องมีปีศาจอยู่ในใจ”
สะใภ้รองโกรธจนแทบจะกระโจนเข้าไปบีบคอนาง:
“ฮูหยินใหญ่…ท่าน..”
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว หลี่ฉางหลูจึงดึงแขนเสื้อของมารดาเพื่อเป็นการเตือนสติ
“ท่านแม่”
สะใภ้รองจึงตั้งสติได้อีกครั้ง โดยตระหนักว่า ผู้อาวุโสหลี่และหลี่เสี่ยวหรันกำลังจ้องมองมาที่นาง
จากนั้นนางจึงหุบปากลงทันที ขณะที่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง และนั่งลงด้วยอาการเงียบสงบ:
“หากท่านต้องการตรวจค้นก็เชิญตามสบาย แต่หากมิพบอันใดเล่า ท่านจะว่าอย่างไร?”
ฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างใจเย็นว่า:
“ปรมาจารย์ลัทธิเต๋ากล่าวว่า มีของสกปรก ดังนั้นจึงมิสามารถเป็นอย่างอื่นได้”
ทันใดนั้นฮูหยินสามได้เอ่ยขึ้นว่า:
“แล้วตกลงท่านจะให้ผู้ใดมาทำการตรวจค้นที่สนามหญ้า”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มเล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า:
“แน่นอนว่า มีการเตรียมการแล้ว”
ฮูหยินรองยิ้มอย่างเย็นชา:
“สะใภ้ใหญ่ หากว่าเป็นคนรับใช้ของท่านที่สามารถตรวจค้นพบบางอย่าง ข้าเกรงว่า มันอาจจะมิยุติธรรมกับคนผู้นั้น”
ในขณะนั้นหลี่เว่ยหยางซึ่งมิแยแสต่อสิ่งใดในตอนแรก ตัดสินใจกล่าวขึ้นมาว่า:
“ข้าเชื่อว่าการตัดสินใจของท่านแม่ในครั้งนี้เป็นไปโดยเจตนาดี
ดังนั้นทุกตำหนักควรส่งคนมาร่วมค้นหา จึงจะเป็นการยุติธรรมที่สุด”
หากเป็นเช่นนั้นก็จะมีคนอื่นนอกเหนือจากฮูหยินใหญ่และฮูหยินรอง ซึ่งทำให้สถานการณ์ในตอนนี้นี้ดีขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าผู้คนมากมาย ฮูหยินใหญ่จะมิสามารถจัดการกับหลักฐานใด ๆ ได้
ฮูหยินใหญ่มองเห็นความตั้งใจของหลี่เว่ยหยางอย่างลึกซึ้ง และใช้หางตามองอย่างเย้ยหยันและเย็นชา
เด็กผู้หญิงที่ต่ำต้อยผู้นี้มิรู้ว่าทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วและยังคงต้องการต่อสู้ก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต
ท่านผู้อาวุโสหลี่กล่าวว่า:
“จะทำอันใดก็จงรีบเข้า ตอนนี้ดึกมากแล้ว!”
ฮูหยินใหญ่รีบพยักหน้าด้วยความรวดเร็ว และแสดงท่าทางไปยังแม่นมหลิน เพื่อพาคนอื่นไปค้นหาทันที
ฮูหยินรองและฮูหยินสามได้สั่งให้สาวใช้คนสนิทสามารถที่ไว้ใจได้ของท่านผู้อาวุโสหลี่ติดตามพวกนั้นออกไป
“แม่นมหลัวไปกับพวกเขา”
“รับทราบ”
ท่าทางของหลี่เว่ยหยางรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ขณะที่ผู้คนเหล่านั้นเดินออกไปจากบริเวณห้องโถง
นางหลับตาลงช้า ๆ ทันใดนั้นได้มีมือของผู้ใดบางคนยื่นมาดึงแขนเสื้อของนาง
หลี่เว่ยหยางลืมตาขึ้น และเห็นหลี่หมินเต๋ออยู่ตรงหน้านาง
สายตาของหลี่หมินเต๋อจับจ้องมายังผู้เป็นพี่สาวขณะที่ขนตายาวของเขาสั่นไหว
ด้านล่างของดวงตาของเขาถูกสะท้อนโดยเงาดำ แต่ความเป็นมิตรในดวงตาของเขานั้นชัดเจนจนรู้สึกซาบซึ้งใจ
“พี่สาว ท่านรู้สึกมิสบายหรือไม่? เหตุใดหน้าของท่านจึงซีดถึงเพียงนั้น?”
หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย
“ข้าสบายดี เมื่อถูกลากมาที่นี่กลางดึก จึงรู้สึกง่วงเท่านั้น”
“อา.”
หลี่หมินเต๋อกล่าวเมื่อเขาเห็นความตั้งใจในการยิ้มในดวงตาของนาง
หลี่จางเล่อมองพวกเขาอย่างเย็นชา พร้อมกับแสยะยิ้มเล็กน้อย
นางมิอาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดแม้จะใช้การแสดงออกที่อ่อนโยนที่สุดของนางกับหลี่หมินเต๋อแล้ว เขาก็ยังคงเย็นชาเหมือนน้ำแข็งต่อนาง
แต่ต่อหน้าหลี่เว่ยหยาง เขากลับเชื่อฟังนางเหมือนลูกแมวที่ว่านอนสอนง่าย
หลี่หมินเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นเดียวกัน
เขายิ้มอย่างเย็นชา ขณะที่คิดอยู่ในใจว่า หลี่เหว่ยหยางวันตายของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว จงพยายามใช้ช่วงเวลาที่มีค่าก่อนที่จะตายให้คุ้มที่สุด
ขณะนี้ทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยความประสับกระส่าย และมิมีผู้ใดอยู่ในอารมณ์สำหรับการสนทนาเลย
พวกเขาทุกคนต่างก็กำลังอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
แต่บางครั้งได้ยินเสียงของหลี่หมินเต๋อและหลี่เว่ยหยางกระซิบกระซาบกันอย่างแผ่วเบา
แต่นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงเสียงลูกประคำพุทธะในมือของท่านผู้อาวุโสหลี่
จากนั้นสองชั่วโมงผ่านไป ทุกคนที่ไปค้นหาก็กลับมา ผู้ที่เป็นผู้นำมิใช่แม่นมหลิน แต่นางเดินกลับมาเป็นคนสุดท้าย และผู้นำของกลุ่มคือแม่นมหลัว
แม่นมหลัวปรบมือเป็นสัญญาณและกล่าวว่า:
“นำสิ่งนั้นมาที่นี่”
เมื่อได้ยินดังนั้นแล้ว มุมริมฝีปากของฮูหยินใหญ๋เผยให้เห็นรอยยิ้มที่บอบบางเล็กน้อย
คนรับใช้ยกถาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่
มีบางอย่างปูดอยู่ใต้ผ้าบนถาด และดูเหมือนว่า จะซ่อนอยู่มิน้อย
ฮูหยินใหญ่หัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะที่กล่าวว่า:
“เจ้าพบอันใด?”
แม่นมหลัวมองไปที่ฮูหยินใหญ่ อย่างสงสัยและกล่าวว่า:
“เรียนฮูหยินใหญ่ทุกตำหนักสะอาดหมดจดมาก แต่มีการค้นพบสิ่งผิดปกติในห้องครัวของคุณหนูใหญ่”
ทันใดนั้นหลี่จางเล่อได้ลุกขึ้นยืนและนึกถึงรกที่ถูกค้นพบ แต่นางรู้สึกว่า มันมิน่ามีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวลใจ
เป็นเพียงการบำรุงความงามเท่านั้น แม้ว่ามันจะเป็นที่มิพอใจ แต่ก็มิใช่อาชญากรรมที่ร้ายแรงเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก
เพราะท่านแม่ตั้งใจจะค้นหาสนามหญ้า นางคิดว่าจะมีการค้นพบบางอย่างที่ลานบ้านของหลี่เว่ยหยาง
แต่เหตุใดจึงมิพบอันใดเลย?
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮูหยินใหญ่จึงเกิดความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก:
“อะไรนะ?”
แม่นมหลัวเปิดผ้าที่ปิดบางอย่างเอาไว้บนถาด เมื่อพิจารณาจากสีที่ผิดปกตินั้นแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นก้อนเนื้อ
หลี่ฉางหลูขมวดคิ้วขึ้นทันทีเมื่อเห็นสิ่งนั้น
“นี่มันชิ้นเนื้ออันใดกัน?”
หลี่จางเล่อขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด ขณะที่นึกตำหนิตนเองอยู่ภายในใจ
เป็นเพราะความโลภของนาง จึงได้นำรกมาจากฉางซี
และเมื่อสิ่งเหล่านั้นยังมิได้ถูกจัดเตรียมเป็นอาหาร มันจึงดูน่าขยะแขยงอยู่บ้าง
คุณหนูใหญ่รู้สึกลังเลใจ และมิรู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ฮูหยินใหญ่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า:
“สิ่งนั้นมันคือรก”
เป็นเพียงการบำรุงความงามเท่านั้น แต่จางเล่อเป็นผู้ที่ค่อนขี้กลัว แล้วเหตุใดนางจึงกล้ากินอะไรเช่นนี้
หลังจากนั้นนางจึงยิ้มและกล่าวกับแม่นมหลัวว่า
“นอกจากนี้ในห้องอื่น ๆ มิมีอันใดที่ผิดปกติอีกหรือ?”
เห็นได้ชัดว่า มีคนฝังตุ๊กตาไม้เจ็ดตัวไว้ที่สนาม แล้วเหตุใดจึงมิพบมันแม้แต่ตัวเดียว พวกเขาค้นหากันอย่างไร?”
แม่นมหลัวกล่าวว่า:
“ทุกห้องถูกค้น แต่ก็มิพบว่ามีอันใด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของฮูหยินใหญ่จึงแสดงถึงความผิดหวังอย่างแรง
แม่นมหลัวหยุดมองไปที่การแสดงออกของทุกคนก่อนที่จะกล่าวว่า:
“แต่มีบางอย่างผิดปกติอยู่ในรก…”