กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูกของเหอจินหมิง เขายืนนิ่งอยู่ข้างหน้าประตู แววตาเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง
ภายในห้องแสงมืดสลัว ตันหวายจึงมองเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้มาเยือนไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกได้ว่าสายตาของผู้มาเยือนจับจ้องอยู่ที่เขา สถานการณ์ศัตรูอยู่ที่มืดตนเองอยู่ที่แจ้งเช่นนี้ทำให้เขาเกร็งไปทั้งตัว
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม” เหอจินหมิงเบือนสายตาของตนจากร่างของตันหวาย “ข้ามารับเจ้าแล้ว”
ประโยคนี้ฟังทีแรกเหมือนจะอบอุ่น ข้ามารับเจ้าแล้ว ช่างเป็นถ้อยคำที่ชวนให้รู้สึกซาบซึ้งใจ หากไม่มีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม ไม่แน่ว่าตันหวายอาจจะรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
วันนี้เป็นวันที่เหอจินหมิงแต่งตั้งฮองเฮา ว่าที่ฮองเฮาก็คือน้องสาวแท้ๆ ของซีหนานอ๋อง นามว่าจวินฉิง และสาเหตุที่เขามารับเจ้าของร่างเดิมไปดูเขาแต่งตั้งฮองเฮา ก็ไม่มีอะไรนอกเสียจากต้องการทารุณเขาให้สาแก่ใจ เจ้าของร่างเดิมยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น นี่มันพวกโรคจิตชัดๆ
เมื่อเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าเหอจินหมิงคิดอะไรอยู่ ตันหวายก็นึกอยากจะกลอกตาใส่ นายไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน คิดว่าประหารครอบครัวเขาทั้งตระกูล แล้วเขายังจะรักนายหมดหัวใจอยู่อีกหรือไง?
เห็นตันหวายไม่พูดไม่จา เหอจินหมิงก็ไม่ใส่ใจใยดี เพียงแค่โบกมือให้คนไปเอาเสื้อผ้าสะอาดเข้ามา ส่วนตนเองหันกายออกจากประตูไป
ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบงัน ตันหวายจ้องมองเสื้อผ้าที่อยู่ห่างเพียงเอื้อม เส้นเลือดบนหน้าผากแทบจะปูดโปนออกมา
“ผมต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเหรอ?” ตันหวายสีหน้าบูดเบี้ยว เขาคิดว่าระบบกำลังแกล้งทรมานเขา “ถ้าไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น?”
(ทุกภารกิจล้วนมีกำหนดเวลา เมื่อเริ่มต้นการนับเวลาถอยหลัง ศูนย์บัญชาการจะส่งข้อความแจ้งเตือนท่าน หากเกินกำหนดเวลา ภารกิจล้มเหลว ท่านจะหลุดจากระบบ และถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง)
ตันหวายนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ถามว่า “กำหนดเวลานานแค่ไหน?”
ระบบ H3883 ลำบากใจเล็กน้อย
(ท่านเพิ่งเข้าสู่ระบบ ทางเรายังจัดการข้อมูลจำนวนมากไม่สมบูรณ์ ขณะนี้กำหนดเวลายังไม่แน่นอน ศูนย์บัญชาการจะส่งข้อมูลให้ทราบในอีกสักครู่)
ตันหวายหรี่ตาลง “ศูนย์บัญชาการ? พวกคุณมีศูนย์บัญชาการด้วย แปลว่ายังมีเจ้าของร่างเหมือนผมอีกเยอะน่ะสิ?”
(ถูกต้อง ระบบของเราเป็นระบบขนาดใหญ่ ต้องการเจ้าของร่างจำนวนมาก)
ตันหวายใจกระตุกวูบ จู่ๆ ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ความหวังนี้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจเขาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้เขาแทบจะโพล่งถามออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “แล้วคนที่ประสบอุบัติเหตุพร้อมกับผมล่ะ? เชื่อมต่อระบบของพวกคุณ กลายเป็นเจ้าของร่างเหมือนกันไหม?”
“ขออภัยท่านเจ้าของร่าง เราไม่ทราบสถานการณ์ของเจ้าของร่างท่านอื่น และไม่ทราบบุคคลที่ท่านสอบถามได้กลายเป็นเจ้าของร่างหรือไม่”
ตันหวายใจหล่นวูบ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าคงไม่มีผล แต่ก็ผิดหวังอยู่ไม่น้อย ก่อนกระตุกยืมอย่างฝืนๆ ตันหวายกล่าวว่า “ไม่เป็นไร จริงสิ คุณบอกให้ผมประจบประแจง จะให้ประจบใครล่ะ?”
(ขออภัยท่านเจ้าของร่าง ท่านต้องพบเขาก่อน เราจึงจะทราบ)
ตันหวายพยักหน้า ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงแต่คิดว่าเจ้าระบบนี่ออกจะกระจอกไปสักหน่อย ทำไมถึงไม่รู้อะไรสักอย่างเลย!
ทนเจ็บแผลบนตัวพลางรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ตันหวายสูดหายใจลึกแล้วเปิดประตูออกไป เนื่องจากอยู่ในที่มืดเป็นเวลานาน ตันหวายที่สัมผัสโลกภายนอกกะทันหันจึงถูกแสงแดดส่องกระทบจนแสบตา เจ็บจนเขาต้องหลับตาปี๋ทันใด
รอบด้านเงียบสงัด ตันหวายหลับตาสัมผัสสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างเต็มที่ หากไม่ใช่เพราะมองเห็นเงาคนเลือนรางปรากฏอยู่ตอนออกมา ตันหวายก็คงคิดว่าไม่มีใครอยู่รอบกาย
ตันหวายนึกอยากเอามือไปขยี้ตาที่แสบเคือง แต่ยังไม่ทันจะยกมือขึ้น ข้อมือก็ถูกคว้าจับไว้เสียก่อน
มือที่จับกุมเขาไว้หนาหยาบ เหมือนกับชาวนาที่ทำนามานานหลายปี ทำเอาเขารู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อย ตันหวายไม่คุ้นเคยกับการถูกจับเนื้อต้องตัว จึงดิ้นรนอยู่สักพักหวังจะผละหนี ทว่าเจ้าของฝ่ามือกลับยิ่งจับกุมแน่นขึ้น
ตันหวาย “…”
จะกลั่นแกล้งรังแกสุภาพบุรุษแสนดีตั้งแต่กลางวันแสกๆ เชียวเหรอ?
คนผู้นั้นฉุดเขาเดินไปข้างหน้า ตันหวายจึงเลิกดิ้นพล่าน ไม่ว่าจะพาไปทางไหนก็เดินตามเขาไปต้อยๆ รอบตัวเงียบเกินไปแล้ว ตันหวายคิดเอาเองว่าตัวเองเป็นคนชอบความครึกครื้น เลยตัดสินใจทำลายความเงียบ
“พี่ชาย” ตันหวายบีบแขนที่จับเขาไว้ “มือท่านนี่ไม่ไหวเลย ปกติคงทำงานหนักกระมัง?”
…
ไม่ยอมตอบหรือ?
“พี่ชาย” ตันหวายรู้สึกว่าตนไม่น่าพูดแทงใจดำขนาดนั้น จึงกล่าวอีกว่า “อย่าเพิ่งท้อใจ ภายใต้ระบบศักดินาอันชั่วร้าย ยังมีอีกเป็นพันเป็นหมื่นคนที่ทนทุกข์เหมือนกับท่าน”
…
ยังไม่ยอมพูดอีก?
ตันหวายกระตุกยิ้มมุมปาก “ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่พี่ชายคลายมือออกสักหน่อยได้ไหม? ท่านกำแน่นเสียจนข้าเจ็บมือ เห็นท่านใจร้อนอย่างนี้ เดาว่าคงยังไม่แต่งงานล่ะสิ”
ก็ยังไม่ยอมพูดอยู่ดี แต่ตันหวายกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคนที่จับเขาไว้ชะงักไปเล็กน้อย ตันหวายใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตลอดทางหลังจากนั้นตันหวายไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรไม่พูดเลยก็ยังดีกว่าพูดแล้วอึดอัดยิ่งกว่าเดิม ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร คงจะถูกระบบศักดินากดขี่เสียจนหมดอารมณ์ขันไปเสียแล้ว
จุดหมายอยู่ไม่ห่างจากตำหนักเย็นเท่าไหร่นัก คนผู้นั้นจูงมือตันหวายมาตลอดทาง เมื่อเดินนำเขาขึ้นมาอยู่บนบันไดหินสูงลิบแล้วก็ไม่ขยับตัวอีก คาดว่าน่าจะถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อย
พอได้ยินเสียงลมโชยพัดผ่านหู ตันหวายก็ลองลืมตาขึ้นทีละน้อย กระทั่งลืมตาขึ้นมองดูเต็มตา ตันหวายก็นิ่งอึ้งไป รอจนได้สติกลับมาแล้วหนังศีรษะก็พลันชาวาบ แทบจะยืนไม่อยู่