ตอนที่ 100 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (23)
หมู่นี้เด็กรับใช้ข้างกายท่านกุนซือทำตัวผิดปกติอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เอะอะเขาก็มักจะวิ่งไล่ซักไซ้ท่านแม่ทัพว่าเขามีปณิธานอะไร เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นว่ามักจะติดตามถามไถ่สารทุกข์ดิบอยู่ข้างหลังท่านกุนซือ
เหล่าทหารหาญในกองทัพพากันนิยามความสัมพันธ์ของพวกเขาเอาเองว่าเป็นรักสามเส้า พอเห็นสีหน้าพวกเขาสามคนพร้อมกันช่างเหมือนกับดูฉากละครที่พวกหญิงสาวในหมู่บ้านพูดคุยกันสนุกปากอย่างไรอย่างนั้น
โหลวชิงอันวางตำราพิชัยยุทธ์ในมือลง มองไปยังตันหวายที่ฉุดแขนเสื้อของเขาด้านข้างอย่างจนใจ “ข้ายังไม่เอายาในคืนตอนนี้หรอก เจ้าไม่ต้องออเซาะข้า”
ตันหวายนิ่งตะลึง กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านคิดว่าตอนนี้ข้าออเซาะท่านอยู่?”
โหลวชิงอันไม่กล่าววาจา ทว่าในแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าใช่
ตันหวายอัดอั้นตันใจ เห็นชัดว่าเขากำลังทะนุถนอมดูแลภรรยาของตนด้วยความรัก ทำไมในสายตาเขากลับกลายเป็นออเซาะไปเสียอย่างนั้น?
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพลีกายถวายชีวิตให้อวี๋อิงฉือ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้าถึงเพียงนี้เลยจริงๆ” โหลวชิงอันปากพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจยังคงกระสับกระส่าย เพียงแค่นึกภาพเจ้ากระต่ายไร้เดียงสาตัวนี้พลีกายถวายชีพให้คนอื่น เขาก็ชักอยากจะกินกระต่ายย่างด้วยความเดือดดาล
ตันหวายโมโหเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนคว้ามือของโหลวชิงอันที่ถือตำราอยู่ ดึงตำราออกมาแล้วกุมมือของเขาเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ใครบอกว่าข้าต้องการพลีกายถวายชีวิต หรือต่อให้ต้องการก็ไม่ยกให้เขาหรอก ท่านต่างหากคือภรรยาของข้า”
โหลวชิงอันตะลึงงัน มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย เจ้ากระต่ายตัวนี้ท่าจะโง่จริงๆ เสียกระมัง จิ้งจอกที่บำเพ็ญเพียรนับพันปีโดยไม่เคยพบรักมาก่อนเช่นเขา จะกลายเป็นภรรยาของเขาได้อย่างไรกัน
ตันหวายมองสีหน้าของโหลวชิงอันก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของตน จึงรีบร้อนกล่าวชี้แจง “ท่านอย่าลบหลู่เชียว ชาติที่แล้วท่านเป็นภรรยาข้า”
โหลวชิงอันหรี่ตา เอื้อมมือไปเชยคางของตันหวายพลางกล่าว “พูดเหลวไหลอะไรกัน ข้ามีชีวิตอยู่มาตั้งกี่ปี แล้วเจ้ามีชีวิตอยู่มาสักกี่ปี?”
ตันหวาย “ท่านอย่าลบหลู่เชียว ตอนนี้ท่านเพียงแค่นึกไม่ออกเท่านั้น ข้าเล่าให้ท่านฟังก็ได้!”
“เอาเถอะ” โหลวชิงอันลูบศีรษะที่สวมหมวกหูกระต่ายของเขา กล่าวอย่างเนิบช้า “เจ้าต้องการตอบแทนบุญคุณไม่ใช่หรือ? รอเจ้าตอบแทนบุญคุณเสร็จสิ้น ข้าค่อยสกัดเอายาในคืนมา หากว่าเจ้าเต็มใจ จะช่วยเจ้าบำเพ็ญเพียรก็ย่อมได้”
พูดจบก็ไม่รอให้ตันหวายตอบโต้ โหลวชิงอันสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย
ตันหวายแววตาหม่นหมอง รู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเชื่อ นายคนนี้นี่ยังไงกัน แต่ก่อนอยากให้ตนเล่าเรื่องในอดีตให้เขาฟังเสียขนาดนั้น เดี๋ยวนี้ตนอยากจะเล่าเขากลับไม่ยินดีรับฟัง
บริเวณด้านข้างของฐานที่ตั้งค่ายทหารนอกเมืองซีโจวมีป่าผืนเล็กๆ แห่งหนึ่ง โหลวชิงอันมองหาบริเวณลับตาคนนั่งทำสมาธิ
“แก่นปราณมารของท่าน ยังมิได้ทวงคืนมาอีกหรือ?” มารฝันโฉบฉวัดเฉวียนไปมารอบๆ โหลวชิงอัน น้ำเสียงเจือแววเปี่ยมสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
โหลวชิงอันไม่ลืมตา กล่าวเสียงเย็นยะเยือก “แม้ไม่มีแก่นปราณมารอีกครึ่งหนึ่ง ข้าก็ยังขยี้เจ้าให้แหลกเป็นผุยผงได้”
มารฝันหวาดกลัวอย่างแท้จริง ถึงจะสามารถชักนำคนเข้าสู่จิตมารได้ ทว่านับแต่มันปรากฏกายจนถึงบัดนี้เพิ่งจะไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ไม่ใช่คู่มือของโหลวชิงอันแม้แต่น้อย
แม้มารฝันเช่นมันจะกล่าวไม่ได้ว่าเป็นมารดีอะไร แต่ก็ไม่เคยทำลายชีวิตคนมาก่อนจริงๆ หากโหลวชิงอันตั้งใจจะสังหารมัน เทียนเต้าย่อมไม่มีวันให้เขาเป็นเซียน
มารฝันหัวร่อฝืดเฝื่อนพลางกล่าว “ท่านเซียนจิ้งจอกอย่าพูดเป็นเล่นเลย หากท่านตั้งใจขยี้ข้าให้ดับสลายจริงๆ ก็ไม่ต้องเป็นเซียนกันแล้ว”
โหลวชิงอันลืมตาขึ้น สายตาที่จ้องมองมารฝันแฝงด้วยจิตสังหาร ไม่เหมือนว่ากำลังหยอกล้อเล่นหัว
มารฝันหวาดกลัวสายตาเช่นนี้ของเขาจริงๆ จึงรีบเหาะหนีห่างออกไป ก่อนเสกขวดแก้วใบหนึ่งออกมาแล้วกล่าว “อย่าเพิ่งโกรธเคืองอย่าเพิ่งโกรธเคือง เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้ของดีมา รูปโฉมไม่แพ้เจ้ากระต่ายของท่านทีเดียว”
กล่าวจบก็ไม่รอให้โหลวชิงอันตอบสนอง มารฝันปลดปล่อยของที่อยู่ข้างในขวดออกมา
สัตว์อสูรขนาดเล็กที่รูปร่างคล้ายกระต่ายทว่าหน้าผากมีตราสีแดงปรากฏขึ้นบนพื้น ท่ามกลางขนขาวราวหิมะดุจแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกเหมย สวยสดงดงามเป็นที่สุด
โหลวชิงอันรูม่านตาหดเล็กลง เงยหน้าขวับขึ้นมาจ้องมองมารฝัน “เอ๋อโซ่ว?[1]”
“สายตาเฉียบแหลมนัก เจ้าตัวนี้เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกข้าจับตัวมา เผื่อวันข้างหน้าเลี้ยงไว้เป็นเตาหลอมยาได้ก็คงจะดียิ่งนัก”
โหลวชิงอันมิได้หวั่นไหว กล่าวเย้ยหยันว่า “นี่คืออสูรเทพบรรพกาล เจ้ามันช่างเหิมเกริมนัก”
มารฝันไม่สนใจไยดี กล่าวว่า “อสูรเทพบรรพกาลเสื่อมอำนาจ เอ๋อโซ่วเดิมก็น้อยเต็มที บัดนี้ยิ่งถูกมนุษย์ข่มเหงรังแก ยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า”
โหลวชิงอันหลุบตาลง แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด แล้วจึงวางเอ๋อโซ่วใส่ในแขนเสื้อของตน ผงกศีรษะกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องขอบใจแล้ว”
——
[1] เอ๋อโซ่ว (讹兽) คือสัตว์อสูรโบราณที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกระต่ายครึ่งมนุษย์ ชอบพูดโป้ปดหลอกลวงผู้อื่นอยู่เป็นนิจ
ตอนที่ 101 จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับกระต่ายน้อยน่ารัก (24)
ยามโหลวชิงอันกลับมา ตันหวายกำลังไล่ตามอวี๋อิงฉือพลางซักถามปณิธานของเขา เมื่อมองเห็นโหลวชิงอันก็พลันตกตะลึง จากนั้นก็ทิ้งอวี๋อิงฉือไว้แล้ววิ่งระริกระรี้เข้ามาหา
“เมื่อครู่ท่านไปไหนมา ข้าตามหาท่านไม่เจอเลย” ตันหวายน้อยอกน้อยใจ
นายคนนี้มันจริงๆ เลย หนีไปไหนไม่บอกกันสักคำ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ รู้บ้างไหมว่าเขาเป็นห่วงแทบตาย นึกว่าตนขู่ขวัญเขาจนหนีเตลิดไปแล้วเสียอีก
โหลวชิงอันชำเลืองมองเขา โอนอ่อนผ่อนปรนลงเล็กน้อย ก่อนจับตัวเอ๋อโซ่วในอ้อมแขนของตนให้เขาดู
ตันหวายตะลึงงัน จ้องมอง ‘กระต่าย’ ในอ้อมกอดของโหลวชิงอันอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เงยหน้าขึ้นถาม “นี่คือกระต่ายจากที่ไหนกัน?”
หน้าตาสวยงามขนาดนี้หมายความว่าอะไร อย่าคิดว่าเจ้าแต่งหน้าทาปากแล้วจะแย่งภรรยาคนอื่นเขาได้นะ
อาจเป็นเพราะตันหวายคิดแค้นพยาบาทเสียงดังเกินไป อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาอสูรเทพก็มีประสาทสัมผัสเฉียบคมอย่างยิ่ง จึงถูกตันหวายก่นด่าเสียจนสะดุ้งตื่น
เอ๋อโซ่วที่ลืมตาตื่นขึ้นแลดูอ่อนโยนไร้พิษสงยิ่งกว่าเก่า พลางยืดเหยียดร่างกายด้วยความเกียจคร้าน แล้วจึงอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของโหลวชิงอัน
กลิ่นอายบนตัวอสูรตนนี้ทำให้มันผ่อนคลาย ขอยึดไว้เป็นฟูกรองนอนชั่วคราวก่อนแล้วกัน
พอตันหวายเห็นเข้าก็โมโหขึ้นทันควัน เอื้อมมือไปอุ้มเอ๋อโซ่วในอ้อมกอดของโหลวชิงอันวางลงกับพื้นแล้วเขม่นตาจ้องมองเขา
โหลวชิงอันไม่คัดค้านเรื่องนี้แต่อย่างใด เอื้อมมือปัดรอยยับบนแขนเสื้อราวกับรู้สึกรังเกียจ
เอ๋อโซ่วกะพริบตาปริบ เอ่ยปากกล่าวเรียบๆ “พวกเจ้าช่างจงเกลียดจงชังกันเสียจริง หากพวกเจ้าจะอยู่ร่วมกัน คงต้องรอไปอีกหลายร้อยชาติ”
โหลวชิงอันตะลึงค้าง หันไปมองหน้าตันหวายราวกับครุ่นคิดบางอย่าง
ตันหวายตกใจกระต่ายที่จู่ๆ ก็เอ่ยปากพูดจนสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่ หนังศีรษะพลันชาวาบ พลางรีบบังเอ๋อโซ่วตรงหน้าเอาไว้ กลัวจะถูกใครเห็นเข้าว่าตรงนี้มีกระต่ายพูดได้ตัวหนึ่ง
“ข้าร่ายอาคมบังตาแล้ว พวกเขามองไม่เห็นหรอก” โหลวชิงอันเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ตันหวายผ่อนลมหายใจออกทันใด คิดในใจว่ามีอาคมย่อมดีกว่าจริงๆ ร่ายมนต์สักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว
ในเมื่อไม่มีใครเห็นก็คุยกันง่ายล่ะ ตันหวายย่อตัวลงอย่างดุร้าย ตะปบใบหูของเอ๋อโซ่วไว้แน่นพลางกล่าวเสียงเ**้ยมเกรียม “เจ้าบังอาจแช่งข้ากับภรรยาข้าเชียวหรือ เจ้าเชื่อไม่เชื่อว่าข้าจะจับเจ้าทำเป็นกระต่ายย่าง?”
“เฮอะ เจ้าช่างเป็นกระต่ายแสนฉลาดเสียจริงๆ” เอ๋อโซ่วกล่าวเสียงเรียบเฉย ก่อนลุกขึ้นมาเหยียดกายบิดขี้เกียจ จ้องมองอ้อมกอดของโหลวชิงอันด้วยแววตาปรารถนา
“แค่กๆ …” โหลวชิงอันเกือบจะหลุดหัวเราะเพราะคำพูดประโยคเดียวของเอ๋อโซ่ว
ตันหวายถลึงมองเขา “เจ้ากระต่ายโง่ตัวนี้มีปัญหากับข้าชัดๆ ท่านกลับยังหัวเราะอีก!”
โหลวชิงอันหุบรอยยิ้มลง แก้ตัวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “มันไม่ใช่กระต่าย เป็นเอ๋อโซ่ว”
ตันหวายนิ่งตะลึง “เอ๋อโซ่ว?”
โหลวชิงอันพยักหน้า ดวงตาฉายแววขบขันโดยไม่รู้สึกตัว
เจ้าตัวเอ๋อโซ่วพรรค์นี้ตันหวายรู้จัก สมัยเรียนอยู่ปีหนึ่งเขาถ่อไปยืมเสินอี้จิง[1]ในห้องสมุดมาอ่านเพราะต้องออกแบบโฆษณา ข้างในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับเอ๋อโซ่ว
เจ้าตัวเอ๋อโซ่วพรรค์นี้หน้าตาเหมือนกระต่าย แต่ทว่าไม่เคยพูดความจริง ทุกคำพูดล้วนกลับตาลปัตรกันหมด ถ้าเช่นนั้นมันพูดว่าพวกเขาจงเกลียดจงชังกัน ก็หมายความว่าพวกเขาชอบพอกันและกัน พูดว่าชาติหน้าพวกเขาไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน ก็หมายความว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน พูดว่าเขาเป็นกระต่ายแสนฉลาด ก็หมายความว่า…
ตันหวาย “…” หมดคำจะพูด
โหลวชิงอันกระแอมสองทีแล้วสะบัดแขนเสื้อ เอ๋อโซ่วที่เดิมทีมองเขาตาปริบๆ ตกเข้าสู่อ้อมแขนของตันหวาย
“นี่คือ?” ตันหวายอุ้มเจ้าเอ๋อโซ่วในอ้อมแขนอย่างแข็งทื่อ จ้องมองโหลวชิงอันตรงหน้าด้วยใบหน้าฉงนฉงาย
“เอ๋อโซ่วคืออสูรเทพบรรพกาล นำพาสิริมงคลแต่กำเนิด ยามนี้เจ้าไม่มีอาคม มันสามารถคุ้มครองดูแลเจ้าได้ในหลายเรื่อง”
เอ๋อโซ่วมองโหลวชิงอันอย่างตื่นตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าตนจะกลายเป็นตัวนำโชคให้เจ้ากระต่ายผู้มีอาคมแกร่งกล้าทั้งอย่างนี้
คำพูดของโหลวชิงอันเมื่อได้ยินถึงหูตันหวายเปรียบดั่งคำหวานอันไพเราะจับใจ ฟังแล้วปลายหูเขาก็แดงเรื่อขึ้นรื่อยๆ
เอ๋อโซ่ว “เจ้าช่างหน้าหนาเสียจริงๆ”
ตวัดฝ่ามือเงื้อขึ้นอย่างหนักหน่วง ก่อนจะตบลงบนตัวเอ๋อโซ่วเบาๆ ตันหวายขุ่นเคือง “หุบปาก!”
——-
[1] เสินอี้จิง คือคัมภีร์ที่ว่าด้วยการพยากรณ์ชนิดหนึ่ง